ความรู้สึกแรกหลังจากตื่นขึ้นมาคือ ‘ปวดหัว’ หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงโวยวายเหมือนดังมาจากที่ไกล ๆ น่ารำคาญ! เขาเลยยกหมอนขึ้นปิดหน้าตัวเอง แล้วนอนตะแคงหันหลังให้ที่มาของเสียงนั่น
“ตื่น! ตื่นเดี๋ยวนี้นะพล! เดี๋ยวนี้แกกล้าหันหลังให้แม่เหรอ ห๊า!”
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!
แรงฟาดที่ต้นแขนทำให้ ‘ขุนพล’ ลืมตาตื่นงัวเงีย เขาเห็นภาพตรงหน้าเป็นภาพเลือนราง ๆ เหมือนเห็นคนหลายคนยืนอยู่ในห้องนอนของเขาเลย แต่ทำไมห้องนอนของเขาถึงเป็นห้องสีชมพูไปได้วะ พอกะพริบตาหลาย ๆ ที เขาก็เห็นว่ามีคนนั่งอยู่บนเตียงด้วย
เป็นผู้หญิง... เปลือยกาย
มีแค่ผ้าห่มผืนเดียวกับที่เขาห่มอยู่ ที่หล่อนดึงไปพันร่างกายเปลือยเปล่าของตัวเองไว้ และผู้หญิงคนนั้นกำลังกอดเอวหญิงสูงวัยกว่าที่ยืนอยู่ข้างเตียง
“ฮือ ๆ แม่ขา”
หล่อนกำลังร้องไห้...
ขุนพลลุกพรวดขึ้นนั่งด้วยความตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผ้าห่มหลุดร่วงออกจากร่างกายของเขาทันทีเพราะแรงถีบของเขาเอง ทำให้ความเป็นชายที่กำลังตื่นมาเคารพธงชาติตอนเช้าเด้งผึงต่อหน้าธารกำนัลทันใด
“ว้าย! ตาเถร”
เสียงนั่นมาจากหญิงสูงวัยที่กำลังกอดสาวน้อยเนื้ออ่อนอยู่ ขุนพลหันไปมอง เห็นว่าหล่อนคือ ‘น้ามะลิ’ เพื่อนสนิทของแม่ ส่วนที่ยืนอยู่ข้างน้ามะลิก็คือ ‘น้ามนัส’ ผู้เป็นสามี แล้วพ่อกับแม่ของเขาอยู่ยืนอยู่ข้างเตียงทางนี้
“ตาพล! ทุเรศ!”
แม่ดึงผ้าห่มมาปิดร่างกายท่อนล่างของเขา แต่ดึงแรงเกินไปจนผ้าหลุดจากทรวงอกของสาวน้อยจากอีกฝั่งของเตียงที่กำลังนั่งร้องไห้ หล่อนร้องอุทานด้วยความตกใจ ก่อนดึงผ้ากลับไปปิดทรวงอก ทำให้ความเป็นชายของขุนพลตั้งตระหง่านโต้ฟ้าท้าลมอีกหน
“เชี่ยเอ๊ย!”
ขุนพลลนลานมองไปจนเห็นกางเกงตัวเองตกอยู่บนพื้น เขาก้าวลงไปรีบสวมกางเกงอย่างเงอะงะจนรูดซิปเสร็จ ถึงหันกลับมาหาทุกคน แล้วสถานการณ์ล่อแหลมที่เกิดขึ้นก็ปรากฏตรงหน้าเขาแบบภาพชัดเจน ฟูลเอชดีสุด ๆ
เขาแก้ผ้าหลับอยู่ โดยมีสาวน้อยวัยแรกแย้มที่พ่อแม่พยายามจับเขากับหล่อนคลุมถุงชนกันตั้งแต่ยังเป็นเบบี๋ก็แก้ผ้าและนั่งร้องไห้กอดแม่ของหล่อนอยู่ ในห้องนอนสีชมพู ที่ตรงโต๊ะทำการบ้านยังมีตารางสอนแปะอยู่เลย
นี่มันห้องของสาวน้อย ม.ปลาย ไม่ใช่ห้องของเขา
แล้วพอเขาลุกจากเตียง รอยเลือดเป็นหย่อมบนผ้าปูที่นอนก็ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสี่คนแทบจะเป็นลมรอบที่สอง เขาเองก็อึ้งไปเหมือนกัน แถมยังจำอะไรไม่ได้เลยด้วย
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่วะเนี่ย!
“ทำไมเป็นคนแบบนี้ ทำกับน้องได้ยังไงพล มาให้แม่ตีเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ
“โอ๊ย เดี๋ยวก่อนแม่”
ขุนพลวิ่งหนีเมื่อแม่หยิบเข็มขัดของเขาที่ร่วงพื้นมาฟาดใส่ก้นใส่ขา ถึงเขาจะสวมกางเกงยีนเนื้อหนา มันก็เจ็บอยู่ดี ชายหนุ่มหนีไปหลบข้างหลังพ่อที่ยืนนิ่ง ๆ แต่พอก็จับตัวเขาไว้ แล้วมองหน้าเขาขรึม ๆ
“ลูกผู้ชาย ทำอะไรไว้ก็ต้องรับผิดชอบนะพล”
“พ่อ!”
ขุนพลโวยวายเสียงหลง
“ทำอะไรท่าไหน ผมยังจำไม่ได้ จะให้ผมรับผิดชอบอะไร ผมยังเรียนไม่จบเลยนะ!”
“ฮืออออ...”
สาวน้อยเจ้าของห้องปล่อยโฮออกมาทันทีที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น ยิ่งหล่อนร้องไห้จนตัวโยน แม่ของขุนพลก็ยิ่งโกรธจนตัวสั่น
“แกกล้าพูดแบบนี้ได้ยังไง พูดต่อหน้าน้องได้ยังไง ตาพล! มานี่เลยนะ มาให้ฉันเอาเลือดหัวแกออกเดี๋ยวนี้!!!”
ขุนพลเห็นท่าไม่ดี เลยสะบัดมือพ่อแล้ววิ่งหนีออกจากห้องนอนแห่งนั้น เสียงโวยวายยังดังตามหลัง แต่พ่อของเขาก็จับแขนแม่ไว้
“ใจเย็น ๆ ก่อนคุณ ปล่อยมันไป มันหนีไปไหนไม่ได้หรอก อย่างมากก็แค่กลับบ้าน”
“หน็อย ไอ้ลูกเวร!”
‘รุ่งฤดี’ ด่าทอตามหลังด้วยความโมโห ก่อนที่หล่อนจะนั่งลงบนเตียง แล้วลูบแขนปลอบโยนสาวน้อยที่ถูกลูกชายหล่อนกระทำชำเราอย่างน่าสงสาร
“ไม่เป็นไรนะลูก... ลูกไหม ไม่ว่ายังไง แม่ก็จะให้ขุนพลแต่งงานกับหนู รับผิดชอบหนูนะลูก”
“ฮือ ๆ ค่ะ...คุณป้า”
สาวน้อยวัยมัธยมปลายตอบรับเสียงสั่นเครือทั้งน้ำตา ก่อนที่ซบหน้ากับเอวของมารดาตัวเองที่กอดปลอบอยู่
ลูกไหมหันหน้าไปอีกทาง
และโดยไม่มีใครเห็น...
ริมฝีปากอวบอิ่มกำลังยิ้มอย่างสาสมใจ!
ทางด้านขุนพล เขาออกมาจากบ้านหลังใหญ่โดยไม่ได้สวมเสื้อ สวมแค่กางเกงตัวเดียว ก่อนเดินออกมาโบกแท็กซี่ตรงหน้าบ้านแล้วบอกให้ไปส่งเขาที่บ้านตัวเองด้วยความมึนงงว่าเมื่อคืนนี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่
แล้วภาพความทรงจำก็ย้อนกลับมาทีละน้อย จนชายหนุ่มถึงกับนั่งตาลอยในรถแท็กซี่
ฉิบหาย...
เขาทำลงไปจริง ๆ ด้วยนี่หว่า!!!
เมื่อคืนนี้...
ขุนพลโคตรไม่อยากไปเลย งานเลี้ยงวันเกิดยัยเด็กตุ๊กตาบาร์บี้สีชมพูที่พ่อกับแม่จับคู่เขากับหล่อนตั้งแต่ยัยเด็กนั่นยังอยู่ในท้องน้ามะลิ แล้วตอนนั้นเขาก็เพิ่งย่างสองขวบ ยังไม่รู้เดียงสา พวกผู้ใหญ่นี่ยังไง นอกจากจับคู่ให้เขาแล้วก็ยังได้ข่าวว่าพ่อกับแม่จับคู่แม่สาวเชียงใหม่ไว้ให้พี่ชายเขาด้วยนะ
คู่หมายอะไรนั่นของพี่ชาย เขาไม่เคยเห็นหรอก ‘ขุนเขา’ เองก็ไม่เคยเจอเหมือนกัน แต่ยัยลูกไหม... บ้านอยู่ห่างจากบ้านเขาแค่ไม่กี่กิโลเมตร พ่อกับแม่เลยชอบพาเขาไปบ้านนั้น พ่อกับแม่ลูกไหมก็ชอบพาลูกไหมมาบ้านเขาด้วย
เขายังจำได้เหมือนเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ครั้งแรกที่พวกเขาเจอกันตอนที่ขุนพลเริ่มจำความได้แล้ว ก็ตอนเขาอายุห้าขวบ ยัยนั่นอายุสามขวบมั้ง
เด็กแก้มยุ้ยแดงอย่างกับก้นลิง ชอบอุ้มตุ๊กตาบาร์บี้ที่สวมชุดกระโปรงสีชมพูเหมือนตัวเองอย่างกับฝาแฝดติดมืออยู่ตลอด แต่ตอนนี้หล่อนไม่มีตุ๊กตา แถมยังยืนร้องไห้งอแงอยู่ตรงริมแอ่งน้ำตกในสวนข้างคฤหาสน์ของเขาด้วย
‘แง ๆ พี่บาร์บี้’
‘เงียบสิ พี่บอกให้เงียบ’
ขุนพลมองซ้ายมองขวา รีบเอามืออุดปากเด็กตัวเล็กด้วยความกลัวว่าจะโดนแม่ตี โธ่! เขาแค่อยากรู้ว่าใต้กระโปรงบาร์บี้มีอะไร เลยแย่งมาเปิดดู แต่หล่อนก็พยายามจะแย่งคืนอยู่ได้ ยื้อกันไปยื้อกันมา แม่บาร์บี้เอวบางร่างน้อยก็ร่วงลงไปนอนลอยอยู่ในแอ่งน้ำตกดังจ๋อม