หนึ่งปีผ่านไป
ปกรณ์พาร์ท
ทุกคนมีภารกิจที่แตกต่างกันไปตามพื้นฐานบริบถ ส่วนน้องหนูอัญญารินทร์ของผมเป็นนักศึกษาปีหนึ่งที่กำลังขึ้นปีสองในภาคการศึกษาถัดไป เปรมมนัสไอ้หมอกีเพื่อนรักอีกคนของผมก็ทำในหน้าที่ผู้บริหารอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ถือเป็นการเรียนรู้งานที่ก้าวกระโดดเลยก็ว่าได้ แต่มันก็แอบไปหาที่เปิดคลินิกของมันอยู่ ก็มาชวนผมนี่แหละให้ออกหน้าแทนมันที เพราะมันต้องบริหาร 80-90% เวลาที่จะเอามาดูแลคลินิกก็เท่ากับประมาณ 10-20% เท่านั้น แต่ก็ไม่อยากทิ้งวิชาที่ร่ำเรียนมา มันก็โยนมาให้ผมนี่ซิ!! เวรแล้วมั๊ยล่ะ โรงพยาบาลของครอบครัวก็ต้องบริหาร คลินิกก็ต้องทำเพราะรักเพื่อน อีกอย่างได้ลงมือปฏิบัติเองก็ดีถือเป็นการปัดฝุ่นวิชาที่เรียนมา เพราะอยู่ที่โรงพยาบาลได้แต่นั่งเป็นผู้บริหาร
ส่วนเรื่องของเฮียเปรมกิจกับแม่ของน้องเอ๋ย ถ้าไม่ช่วยก็คงไม่คืบหน้าอย่างแน่นอน เอาว๊ะ เป็นไงเป็นกัน คงต้องไปปรึกษาหารือกับบ้านโน้นอีกครั้ง ถือโอกาสไปเยี่ยมอาการของเฮียแกไปในตัว
@บ้านอนันตวรรณาวงษ์
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในบ้านปกรณ์ก็ถูกเรียกทักทายอย่างกระตือรือร้นจากบิดาของเพื่อนรัก
"อ้าว เป็นไงมาไงล่ะหลานกร เข้ามาก่อนซิ" เปรมชัยที่กำลังยืนดูต้นไม้ต้นไร่อยู่ที่หน้าบ้านเอ่ยทักทัยเพืื่อนลูกชายคนเล็กด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"สวัสดีครับลุงชัย ผมมาเยี่ยมครับ อยากมาคุยกับเฮียกิจด้วย อาการเป็นไงบ้างแล้วครับ"
"ก็ดีขึ้นมากเลย อยากไปดูมั๊ยล่ะ ลุงจะพาไป" ทั้งสองพากันขึ้นบันไดจนไปถึงหน้าห้องที่คุ้นเคย แต่กลับพบใครอีกคนอยู่ในห้องนั้นด้วย ทั้งสองจึงหยุดดูอยู่อย่างนั้นสักพัก
//////////////////////////////
ต่อไปนี้เป็นบทสนทนาที่ใครอีกคนพูดคุยกันอยู่ในห้อง
"พี่กิจต้องสู้นะครับ ผมกลับมาแล้ว ผมจะช่วยพี่กิจเอง หลานจะขึ้นปี 2 แล้วนะครับ วันรับปริญญาหลานต้องมีรูปครอบครัว พ่อแม่ลูกให้ได้นะครับพี่" เปรมมนัสพูดคุยให้กำลังใจพี่ชายขณะทีกำลังยืนดูพี่ชายฝึกเดิน
"ได้ พี่สัญญา พี่จะตามเมียของพี่กลับมาให้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีไหนพี่ก็ทำทั้งนั้นแหละ" เปรมกิจกล่าวยิ้ม ๆ
"ดีมากครับพี่กิจ ผมเอาใจช่วย"
ปกรณ์และเปรมชัยสบสายตากันเล็กน้อย เปิดประตูให้กว้างกว่าเดิมแล้วเดินเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย
"มันต้องแบบนี้ซิ่ไอ้ลูกชาย พูดเร็วขึ้นแล้วนิ่ เดินก็มั่นคง ก้าวฉับ ๆ ได้ดีกว่าพ่ออีก ได้เวลาทวงคืนลูกสะใภ้ให้พ่อแล้วใช่มั๊ย" เปรมชัยเอ่ยถามยิ้ม ๆ อย่างคนอารมณ์ดี
"พร้อมที่สุดเลยครับพ่อ ยัยอันเสร็จผมแน่ครับ" เปรมกิจหมายมั่น
"ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ คราวก่อนเห็นแต่น้ำหูน้ำตา ไอ้เราก็พลอยใจเสียไปด้วย ได้ยินแต่เสียงลูกสะใภ้ขู่ฟ่อ ๆ"
"จริงหรือครับพ่อ" เปรมมนัสเอ่ยขึ้นบ้าง
"ก็เออซิ ถ้าพี่สะใภ้เราไม่เป็นลมไปซ๊ะก่อน พ่อว่าไม่พ่อก็พี่ชายเรานั่นแหละจะแย่เสียเอง" เปรมชัยกล่าวจากความทรงจำที่มี
"โอ้ นี่เราเจอเล็กพริกขี้หนูเหรอเนี่ย..เฮ๊อ..." เปรมมนัสกล่าวยิ้ม ๆ สมองก็พลันนึกถึงยัยเด็กตัวซีดที่เดินตัวงอข้ามถนนไม่ดูเสียบ้างเลยขึ้นมา
"หาที่หาทางได้มั่งหรือยังนายนัท" ปกรณ์เอ่ยถามขึ้นเพราะเขาไม่ได้ปิดบังครอบครัวเรื่องที่จะร่วมกันทำคลินิกเฉพาะทางนรีเวชฯ
"ยัง พอดีเจออุปสรรคนิดหน่อย ประกอบกับมารับงานบริหารใหม่ปวดหัวชะมัด เลยไม่ได้สานต่อน่ะ" เปรมมนัสเล่าอย่างเหนื่อยหน่าย
"เหรอ เดี๋ยวจะช่วยดูให้อีกทางละกัน" ปกรณ์กล่าว
"อืม..ดีเหมือนกัน ขับรถด้วยหาทำเลไปด้วยไม่เวิร์คว่ะ เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนชาวบ้านได้ง่าย ๆ เดี๋ยวจะเป็นแบบคราวก่อน ไม่รู้เป็นไงบ้าง ยิ่งซีด ๆ แห้ง ๆ อยู่" เปรมมนัสพูดไปตามความน่าจะเป็นแต่ดันไปคิดถึงใครบางคนที่เพิ่งพบกันก็ประคารมย์กันแล้ว แต่ทำไมถึงไม่ลืม กลับจำขึ้นใจและรบกวนใจจนถึงทุกวันนี้
"เฮ่ย อะไรว๊ะ แค่นี้ต้องเหม่อด้วย ไปเจออะไร ใครทำแกว๊ะ บอกได้เลย เดี๋ยวจัดการให้" ปกรณ์เอ่ย
"เออ ไม่ต้องยุ่งหรอก ไม่มีไรแค่เด็กผู้หญิงน่ะ เดี๋ยวจะเป็นการรังแกเด็กเสียเปล่า ๆ ดูท่าทางไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าไรด้วย" เปรมมนัสรีบปฏิเสธทันควัน นั่นยิ่งกระตุกต่อมสงสัยของอีกคนเข้าไปใหญ่
"เหรอ แล้วไป คิดว่ามีใครมากร่าง" ปกรณ์แกล้งทำเป็นเป็นห่วงเพื่อนเกินเบอร์ไปงั้น แต่ความจริงแล้วสงสัยต่างหากว่าแม่เด็กผู้หญิงที่ทำให้เพื่อนที่ขรึมและเรียบร้อยที่สุดในกลุ่มเป็นไปได้ถึงขนาดนี้นั้นเป็นใคร
"ไม่มีหรอก ลำพังตัวผมเองก็พอคุ้มหัวตัวเองได้อยู่ ไม่ต้องพึ่งบารมีบอสใหญ่หรอกคร้าบ"
อีกด้านของผู้ที่บังเอิญได้ยิน
"มีอะไรกันเหรอเจ้านัท ติดขัดอะไรบอกพ่อได้นะ"
"ไม่มีอะรหรอกครับพ่อ ก็แค่กำลังปรับตัวน่ะครับก็เลยติด ๆ ขัด ๆ อีกหน่อยคงลงตัว" เปรมมนัสบอกปัดไป เพราะยังไม่อยากให้บิดารู้ว่าตนและเพื่อนกำลังคิดหาทำเลเปิดคลินิกเฉพาะทางอยู่
"อ้อ ไม่มีอะไรหรอกครับลุกชัยก็พอดีผมมีเคสมาปรึกษานายนัทนิดหน่อยนะครับ นั่งบริหารเสียนานไม่ค่อยได้ลงตรวจ พอเจอเคสก็อามาคุยปรึกษาหารือกันน่ะครับ" ปกรณ์ช่วยเพื่อนอีกทาง
"เหรอ ต่อไปเจ้านัทก็คงเป็นแบบหลานกรนี่แหละ นั่งบริหารอย่างเดียวแถมไม่ใช่โรงพยาบาลอีกต่างหาก" เปรมชัยพูดยิ้มทำเอาคู่สนทนาถึงกับยิ้มไม่ออก