หนึ่งทุ่มตรง
ณ.ร้านอาหารญี่ปุ่น
"เรื่องจริงเหรอคะที่พี่เจตต์จะแต่งงาน?"
"ใช่ เราคงต้องเลิกกัน ความจริงแล้วเราควรจะเลิกกันนานแล้ว ที่พี่ยังส่งเสียเลี้ยงดูวาอยู่เพราะตอนนั้นวายังเรียนไม่จบ แต่ตอนนี้วาเรียนจบมีงานทำแล้วด้วย ต่อไปนี้เราอย่าติดต่อกันอีกเลยนะ"
"ไม่นะพี่เจตต์"
เอวาส่ายหน้าปฎิเสธคำบอกเลิกเป็นพันวัล
"พี่ขอให้วาเจอคนดีๆนะ"
เจตต์เอื้อมมือไปแตะบนหลังมือของเอวาเบาๆ หญิงสาวหน้าหวาน ผมยาวสลวยบุคลิกดูเรียบร้อยน่าทะนุถนอม เริ่มมีน้ำตารื้นออกมาคลอหน่วย
"เราคบกันแบบเดิมไม่ได้เหรอคะ วาจะอยู่ในที่ของวา"
"ไม่ได้ครับ เพราะพี่ไม่ได้รักวาแบบนั้นแล้ว"
"พี่เจตต์"
เอ่ยออกมาพร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลร่วงลงมาอาบแก้ม เจตต์หยิบทิชชู่ส่งให้เธอ
"พี่ต้องไปแล้วล่ะ หวังว่าวาจะเข้าใจพี่"
เจตต์ลุกขึ้นขยับเก้าอี้ออกแล้วเดินออกมาทันที เขาไม่อยากเห็นน้ำตาของเอวากลัวว่าจะใจอ่อนและตัดเธอไม่ขาดสักที
เรื่องแต่งงานกับลูกสาวท่านทูตเขารู้มาสักพักแล้ว และก็ไม่ได้ขัดใจผู้เป็นมารดาด้วย แต่งๆไปอยู่กันไม่ได้ก็ค่อยเลิกกัน ให้เหตุผลว่าเข้ากันไม่ได้ อย่างที่คู่สามีภรรยาสมัยนี้ชอบเอามาอ้างกัน
ส่วนตัวแล้วเจตต์ไม่รู้จักว่าที่เจ้าสาวของตัวเองสักนิด รู้แต่เพียงว่าเป็นลูกสาวท่านทูตที่ประจำอยู่ที่กรุงวอชิงตันสหรัฐอเมริกาและท่านทูตเกริกพลก็เป็นถึงเพื่อนรักของผู้เป็นบิดาของเขา
การหมั้นกันตั้งแต่เยาว์วัยโดยที่ผู้ใหญ่เป็นคนกะเกณฑ์เอาไว้แล้วเลยยากที่จะปฎิเสธ เจตต์ไม่อยากทำให้สองตระกูลต้องมามัวหมองกันเพราะเรื่องนี้ด้วย
มิรา นรากุล เขารู้จักเพียงแค่ชื่อของเธอเท่านั้น ได้รับข่าวสารอยู่บ้างก็จากเพื่อนสนิทของเขาก็คืออาจารย์พนา นรากุล แต่ไม่เคยรู้จักหน้าค่าตาและเขาก็ไม่สนใจที่จะรับรู้ด้วย ถึงอย่างไรอีกไม่นานมิราก็จะต้องกลับมาเพื่อตบแต่งเข้าตระกูลทินราชของเขาอยู่ดี สวยหรือไม่สวยนิสัยดีหรือว่าแย่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธทั้งนั้น
"พี่เจตต์อย่าเพิ่งไป"
เอวายังตามมากอดเขาจากข้างหลัง
"ปล่อยพี่นะวา"
เจตต์ปลดมือที่กอดเขาแน่นจากข้างหลังออก
"วาไม่อยากเลิก วายังรักพี่เจตต์อยู่ ได้โปรดอย่าเลิกกันเลยนะคะ"
เอวายังคงสะอื้นตัวโยนสองแขนยังคงกอดรัดเขาไว้แน่น โดยไม่รู้ว่ามีหญิงสาวรูปร่างเพรียวในชุดเดรสสายเดี่ยวเปรี้ยวจี๊ดยืนกอดอกจ้องมองอยู่ไม่ห่าง
"มีแฟนแล้วงั้นเหรอ?"
มิราเดินผ่านมาเห็นทั้งคู่เข้าเต็มเปา จบกันผู้ชายในฝันของเธอ มีเจ้าของเสียแล้วอย่างนั้นเหรอ แล้วเรื่องเมื่อคืนนี้
"ห้ะ!"มิรารู้สึกตกใจพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปากเมื่อความคิดหนึ่งผุดเข้ามาในสมอง
"หรือว่าเราจะเป็นชู้กับแฟนชาวบ้าน โอ้!ไม่นะมิรา เธอเคยตั้งปณิธานเอาไว้นี่นาว่าจะไม่ยุ่งกับแฟนชาวบ้าน "
มิรารีบหันหลังหลบกะทันหันเมื่อเห็นว่าทั้งคู่แยกกันแล้ว และคุณวันไนท์ของเธอก็กำลังเดินผ่านมาทางที่เธอยืนอยู่พอดี
ผ่านไปประมาณห้านาทีเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครแล้วมิราเลยหันกลับมา
มิราหันหลังกลับมาก็ต้องพบว่าผู้ชายร่างสูงโปร่งประมาณร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรยืนกอดอกจ้องเธออยู่ก่อนแล้ว
"คุณ!"
มิราถึงกับสะดุ้ง อุตส่าห์หลบแล้วแท้ๆ
"คะ..เรียกฉันเหรอ?"
คนหน้าสวยทำเป็นตีมึนใส่เขา
"แล้วตรงนี้มันมีใครอีกมั้ยล่ะ?"
"จะไปรู้เหรอ ก็เมื่อกี้คุณยืนอยู่กับแฟนนี่นา"
"แฟน อ้อ แอบมองสอดส่องเรื่องของชาวบ้านอยู่เหรอ?"
"ไม่ได้สอดส่อง แต่มีบางคนประเจิดประเจ้อยืนกอดกันให้ดูเอง"
พูดเสร็จมิราก็ตั้งใจจะเดินผละออกไป
หมับ!
แขนของเธอถูกเขาดึงรั้งเอาไว้โดยคนตัวสูงกว่าที่ยืนจ้องเธอราวกับจะกลืนกินเข้าไป
"ก่อนที่จะไปหาลูกค้าที่ไหน รบกวนช่วยรับเงินจากผมไปด้วย"
มิราหันกลับมามองเขาตาเขียวปั๊ดที่เขายังคงคิดว่าเธอคือสาวขายบริการอยู่
"ฉันไม่ได้ขายบริการ ก็บอกแล้วไงว่าให้ทาน แต่เอะ! สนุกร่วมกันก็แฟร์ๆดีนี่นา"
หน้าสวยเชิ่ดขึ้นเล่นลิ้นใส่เขา
"เป็นผู้หญิงแบบไหนกัน?"
"แบบไหนก็ไม่เท่าคุณหรอก มีแฟนอยู่แล้วแต่ไปนอนกับผู้หญิงอื่นมันน่ารังเกียจ"
พูดเสร็จมิราก็รีบเดินชิ่งหนีเขาอย่างเร็ว แต่คนขายาวกว่าก็ยังคงก้าวตามมาติดๆเช่นกัน
"นี่คุณ หยุดเดี๋ยวนี้!"
มิราเปลี่ยนเป็นวิ่งเมื่อเขายังตามมา
"จะตามมาทำไมเล่า?"
"เรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง"
"ฉันไม่คุยกับแฟนชาวบ้าน"
เจตต์วิ่งตามมาทันและคว้ามือของเธอเอาไว้ได้ ก่อนที่จะลากกลับมาที่รถ โชคดีว่าแถวลานจอดรถไม่มีคนพลุกพล่านไม่งั้นคงได้เห็นคนหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังวิ่งไล่จับกันนัวเนียอยู่ริมฟุตบาทข้างลานจอดรถของร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง
พลั่ก!
ประตูรถถูกเปิดออก
"ขึ้นไปนั่งบนรถ"
เจตต์ยัดเธอเข้าไปนั่งในรถก่อนที่เขาจะขึ้นตามไปนั่งประจำที่คนขับเตรียมเหยียบคันเร่งเพื่อออกรถทันทีที่เครื่องยนต์ของรถเริ่มทำงาน
"นี่คุณ! ลักพาตัวเหรอ ช่วยด้วยค่ะ"
"จะร้องทำไม?"
"คุณนี่มันหน้าไม่อายเพิ่งแยกกับผู้หญิงของตัวเองแท้ๆยังมาลากผู้หญิงอีกคนขึ้นรถ"
มิราเกรี้ยวกราดใส่เขาไม่หยุด อุตส่าห์หลงชอบ เกลียดนักคนเจ้าชู้ หน้าสวยหงิกงออย่างไม่พอใจเป็นที่สุด
"แฟนอะไรกัน ผมไม่มีแฟนมีแต่...เรื่องนั้นช่างเถอะ อย่างไรซะคุณต้องรับเงินจากผม"
คำพูดของเขาที่บอกว่าไม่มีแฟนทำให้อารมณ์ของมิราอ่อนลง แต่หน้าของเธอก็ยังคงความบึ้งไว้อยู่ไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอนั้นรู้สึกอย่างไรในตอนนี้ หัวใจที่มันเต้นรัวกับมือเท้าของเธอที่เย็นเชียบ มันเป็นอาการที่แสดงออกมาให้ตัวเธอรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเขามีอิทธิพลกับเธอแค่ไหน
"เอะ!นี่คุณมองสารรูปฉันหน่อยได้มั้ย เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า นี่มันแบรนด์เนมทั้งนั้น คุณมองไม่ออกเหรอว่าฉันน่ะรวย ไม่ได้ต้องการเงินของคุณสักบาท บอกแล้วไงว่าสนุกร่วมกัน"
"สนุกร่วมกันใช่มั้ย ดีเลยพอดีผมอยากสนุกกับคุณอยู่พอดี"
เจตต์มองมิราด้วยสายตาวาววับจนหญิงสาวรู้สึกขนลุกซู่ อยากไปก็อยากไปอยู่หรอกนะแต่ว่าเธอออกจากบ้านไม่ได้บอกพี่พนาของเธอนี่สิ พี่เธอรู้เข้าว่าเธอหนีออกมามีหวังคงได้กลายร่างเป็นอสูรร้ายเต็มตัวแน่ๆ
เพราะช่วงนี้เธออยู่ในช่วงถูกคุมประพฤติเนื่องจากต้องเตรียมตัวเข้าพิธีวิวาห์อีกไม่กี่เดือนนับจากนี้
บิดาของมิราเข้าใจผิดว่าชาร์ลเพื่อนสนิทของมิราที่อเมริกาคือแฟนของเธอ
เนื่องจากเกรงว่ามิราจะหนีกลับไปหาชาร์ลอธิบายเท่าไหร่ว่าเป็นเพียงเพื่อนสนิทกันพวกท่านก็ไม่ฟัง
ถึงกับตัดบัตรเครดิตและยึดเงินในบัญชีธนาคาร ทำให้มิราต้องอยู่ในโอวาทชั่วคราวพอไม่มีเงินก็ไปไหนไม่ได้นอกจากตระเวนอยู่ตามร้านอาหารในกรุงเทพฯเท่านั้น
"วันนี้ฉันไม่ว่าง จอดรถเดี๋ยวนี้ฉันจะกลับบ้าน"
"งั้นบ้านอยู่ไหนเดี๋ยวผมจะไปส่ง"
"ฉันกลับเอง กรุณาจอดรถด้วยค่ะ"
เจตต์จอดรถให้หญิงสาวตามคำสั่ง มิรารีบเปิดประตูรถชิ่งลงจากรถเขาทันทีไม่ใช่อะไรหรอกกลัวใจอ่อนตอบตกลงปลงใจไปกับเขา
เจตต์เลื่อนกระจกรถลงเพราะเพิ่งจะนึกได้ว่าลืมถามชื่อของเจ้าหล่อน อย่างน้อยเขาก็ควรมีข้อมูลของผู้หญิงที่เขาเคยนอนด้วยเอาไว้บ้าง
"เดี๋ยวก่อนสิ คุณชื่ออะไร?"
มิราไม่ตอบแต่แลบลิ้นใส่เขาแทนพร้อมกับกระโดดหนีขึ้นรถแท็กซี่ไป
ทำเอาเจตต์ถึงอึ้งกับการกระทำของหญิงสาวเพราะไม่เคยพบเจอผู้หญิงแบบนี้มาก่อน แต่กระนั้นริมฝีปากหยักก็เผลอกระตุกยิ้มออกมาอย่างขันๆกับอาการคล้ายลิงหลอกเจ้าของเจ้าหล่อนเมื่อสักครู่
"ผู้หญิงบ้าอะไร ไม่เคยพบเคยเจอ"
เจตต์รีบหุบยิ้มเมื่อรู้ตัวว่าเผลอคลี่ยิ้มออกมาซะกว้าง ปกติเขาไม่เคยยิ้มแบบนี้กับใครมาก่อน ต่อหน้าคนอื่นเขาคือผู้ชายที่มีบุคลิกนิ่งสุขุม เคร่งขรึมและเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์ขันใดๆ