ณ ร้านเพ้นท์บิวตี้อายซาลอน
“ยัยเนยแกเข้าไปเขียนนิยายในห้องไป ตรงนี้ฉันจะให้ลูกค้าเขามานั่ง...” เสียงของพัชราบอกกับเพื่อนสาวของเธอที่กำลังนั่งเขียนนิยายอยู่ที่มุมรับแขกของร้าน
จนวทนิกาเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับหน้าหวานๆของเธอ แล้วมองไปทางเพื่อนสาวที่ตอนนี้กำลังพาลูกค้าเข้ามายืนตรงหน้าเธอ เธอก็ฉีกยิ้มออกไปอย่างต้อนรับเลยทีเดียว
“อ่อ โอเคๆ....เชิญนั่งตรงนี้เลยค่ะ....” วทนิกายิ้มให้ลูกค้าสาวและแฟนหนุ่มของลูกค้าไปแบบเป็นมิตรแล้วเธอก็รีบหยิบโน้ตบุ๊คคู่ใจของเธอขึ้นมาทันทีเลย แล้วรีบลุกออกไป
แต่ชายหนุ่มที่มาส่งแฟนทำเล็บนั้นกลับมองหน้าหญิงสาวที่พึ่งลุกไปด้วยสายตาจดจ้อง เพราะเธอสวยและดูมีเสน่ห์มาก ยิ่งใส่แว่นตาแล้วแต่งหน้าอ่อนๆแบบนั้นก็ยิ่งหน้ามอง
“ที่รักคะ...เดี๋ยวคุณนั่งรอตรงนี้นะคะ...เดี๋ยวฉันไปทำเล็บแปปนึง...” เสียงของลูกค้าสาวพูดไปแล้วมองหน้าแฟนหนุ่ม ก่อนจะเห็นสายตาของแฟนมองไปทางหญิงสาวที่พึ่งลุกไปเมื่อกี้แล้วเธอเธอก็รู้เลยว่าแฟนเธอกำลังมองผู้หญิงคนอื่นอยู่
“คุณไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไงคะ เพี๊ยะ! คุณมองเขาทำไมคะ” เสียงเข้มๆพูดไปพร้อมกับสายตาดุดัน
“อ่อ ผมไม่ได้มองเขาเลยนะ แค่ แค่คิดว่าเขาจะใช่ช่างที่ทำเล็บให้ที่รักหรือเปล่าเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มที่โดนตีแขนรีบอธิบายไปแบบเอาตัวรอด
จนแพทตี้มองไปแล้วก็ยิ้มแห้งๆเลยทีเดียว เพราะนี่ไม่ใช่ลูกค้าคนแรกที่เข้ามาแล้วมาเจอเพื่อนสาวของเธอแล้วมองแบบนี้ จนเธอชินแล้วล่ะ
“อ่อ นั่นไม่ใช่ช่างทำเล็บหรอกค่ะ แต่เป็นเจ้าของร้านอีกคนนึงค่ะ ไม่ใช่ช่างทำเล็บค่ะ” พัชราอธิบายไปเพราะวทนิกาเป็นหุ้นส่วนร้านของเธอ เธอถึงได้มีเงินมาทำร้านใหญ่ๆแบบนี้ได้ก็เพราะเพื่อนรักของเธอนั่นที่ช่วยเหลือ
“อ่อ ไม่น่าล่ะครับ สวยน่ารักเชียว งั้นผมต้องพาแฟนมาทำเล็บบ่อยๆแล้วล่ะครับ” ชายหนุ่มได้ยินแบบนั้นก็ตอบไปด้วยรอยยิ้ม จนแฟนสาวที่ยืนข้างๆนั้นได้ยินแล้วมองแบบไม่ชอบใจเลยสักนิด
“ฉันไม่อยากทำเล็บแล้ว...คุณอยากจะพาใครมาก็เชิญเลยค่ะ...พรึบ...” หญิงสาวพูดด้วยเสียงโกรธแล้วหันหลังเดินออกจากร้านไปทันที
“อ่าวที่รัก....เดี๋ยวสิที่รัก...รอผมก่อน...” ชายหนุ่มเห็นแฟนสาวเดินโกรธๆออกไปก็รีบร้องเรียกแล้ววิ่งตามออกไปทันที
“เฮ้อ....รายที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย...วันนี้ฉันต้องพลาดลูกค้าไปอีกคนเพราะยัยเนยจนได้...อ่ะ ข้าว เอาแถบสีเล็บไปเก็บไว้...” พัชราบ่นไปแล้วส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยใจเลย
“ค่ะพี่แพท..แล้วก็บอกให้พี่เนยนั่งทำงานอยู่ในห้องนานๆเลยนะคะ...” ข้าวพูดแซวไป เพราะทุกครั้งที่วทนิกามาที่ร้าน จะมีเรื่องแบบนี้ตลอดเลย
“อืม...เราทำงานต่อเถอะ...” พัชราพยักหน้าแล้วก็เดินเข้าไปหลังร้านทันที
จากนั้นก็เดินขึ้นไปที่ชั้นสองของร้านที่ตกแต่งไว้เป็นห้องสักคิ้วและห้องทำงานส่วนตัวของเธอและเพื่อนสาวที่มีกระจกใสสามารถมองเห็นด้านล่างร้านได้เพื่อความสะดวกในการดูลูกน้องทำงาน แต่ด้านล่างไม่สามารถมองเห็นด้านบนได้
“ยัยเนย แกไล่ลูกค้าฉันไปอีกแล้วนะรู้ไหม...ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปนั่งทำงานข้างล่างน่ะ ฉันบ่นกี่รอบก็ไม่รู้จักฟัง จนฉันไม่รู้จะทำยังไงกับแกแล้วเนี่ย...ไหนบอกว่าเขียนงานต้องใช้สมาธิไงยะ...” พัชราเปิดประตูห้องเข้าไปก็บ่นใส่เพื่อนสาวทันที
“ก็ใช้แค่อ่านนิยายแล้วก็ตรวจคำผิดนิแก...ไม่ได้ใช้สมองคิดสักหน่อย ฉันก็เหงาไหมล่ะ อยากจะคุยกับแกแล้วก็น้องๆเขาบ้างไม่ได้หรือไงล่ะ...แล้วแกจะมาโทษฉันไม่ได้นะ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ฉันก็นั่งของฉันดีๆ...แกบอกให้ลุกฉันก็ลุกมานี่แล้วไง...” วทนิกาพูดด้วยสียิ้มอ่อนๆ
“แต่ความสวยความน่ารักของแกมันดึงดูดสายตาของผู้ชายแกก็รู้ ดูสิ แฟนลูกค้าที่เขามารอทำเล็บทำผมแต่ล่ะคนที่เขาเจอแกน่ะ เขามองแกจนเขาจะมีปัญหากันอยู่แล้ว ต่อไปถ้าแกมาร้าน แกก็มานั่งทำงานบนนี้แหละ ไม่ต้องไปเดินเพ่นพล่านข้างล่างอีก ถ้าแกเหงามากเดี๋ยวฉันจะมานั่งเป็นเพื่อนแกเอง” พัชราพูดไปแบบแก้ปัญหาสุดๆ
“ฮ่าๆ สรุปคือฉันสวยเกินไปใช่ไหม แกถึงต้องลงทุนขนาดนี้เลยน่ะ” วทนิกาหัวเราะออกมาอย่างขำๆ
“ก็ใช่น่ะสิ...ตอนนี้ลูกค้ายิ่งน้อยๆอยู่ ฉันจะเสียลูกค้าเพราะแกอีกไม่ได้แล้ว...นี่ถ้าแกยอมไปประกวดนางงามนะ ป่านนี้ร้านเราคงดังไปนานแล้วล่ะ...ที่มีเจ้าของร้านเป็นนางงามน่ะ คนก็จะเข้าเยอะกว่านี้...เพราะอยากจะสวยเหมือนแกไง...แต่แกมันเป็นอิเพื่อนไร้น้ำใจ ไม่ยอมลงประกวด ชิ...” พัชรา
“ก็ฉันไม่ชอบอ่ะ ฉันอาย....ฉันทำไม่ได้หรอก ที่จะไปใส่ชุดว่ายน้ำเดินให้คนทั้งประเทศดูน่ะ ไม่เอาๆ ฉันขอผ่าน...” วทนิกาพูดไปแล้วส่ายหน้าไปมาทันที
“ทีแบบนี้ล่ะไม่ชอบ แต่นิยายที่แกเขียนออกมาแต่ล่ะเรื่องน่ะอย่างกับหนังโป๊เอวีเลยนะยะ...แกยังไม่เห็นอายเลย...” พัชราพูดแซะเพื่อนสาวไป เพราะนิยายของเพื่อนสาวมันเป็นนิยายผู้ใหญ่ที่มีฉาก18+แบบอ่านไปก็นึกภาพในหัวตามได้เลยล่ะ
“ก็ไม่มีใครรู้จักฉันนิ ฉันจะเอาอะไรมาอายล่ะ อีกอย่างการเขียนนิยายมันก็เป็นศิลปะอย่างนึง ที่ทำให้คนเข้ามาอยู่อีกโลกนึงโดยไม่ต้องเครียดอะไร แค่อ่านแล้วสนุกกับมันก็เท่านั้น...มันคือผลงานจ้ะเพื่อน...และฉันก็ภูมิใจกับนิยายของฉันทุกเรื่อง...” วทนิกาพูดตอบไปแบบจริงจัง
“อืมฉันรู้ ฉันก็ภูมิใจในตัวแกเหมือนกันแหละที่แกเขียนนิยายจนนามกาของแกโด่งดังมีชื่อเสียงน่ะ ถ้าไม่มีแก ก็ไม่มีร้านนี้ขึ้นมาเหมือนกัน ฉันบ่นๆไปงั้นแหละ แกก็อย่าน้อยใจฉันเลยนะ...” พัชราได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้นก็คิดว่าเธออาจจะพูดแรงไป เลยเข้ามาแล้วทำหน้าอ้อนเพื่อนสาวไป
“ฉันยังไม่ได้น้อยใจอะไรเลย แกก็คิดมากไป...ช่วงนี้ร้านเงียบมากเลยเหรอ...รายได้เป็นยังไงบ้าง” วทนิกาเอ่ยถามไปแบบจริงจัง เพราะเห็นหลังๆมานี้เพื่อนสาวดูเครียดๆ
“อืม วันนึงได้แค่ห้าหกพันเอง...ไม่รู้ว่าเดือนนี้จะพอจ่ายเงินเดือนน้องๆไหม...ไหนจะค่าเช่าตึกนี้อีก เฮ้อ...ตอนนี้ร้านเราหนี้สินติดลบแล้วนะแก จะแบกไม่ไหวแล้วล่ะ เฮ้อ...ฉันพึ่งเปิดมาแค่ห้าเดือนเองนะ มันจะเจ้งแล้วเหรอ...เงินเก็บที่ฉันมีก็เริ่มจะหมดแล้วด้วย...” พัชราพูดด้วยเสียงเศร้าๆ
“ร้านนี้ก็ร้านของฉันเหมือนกัน...เดี๋ยวฉันช่วยแกเอง ตอนนี้มีหลายบริษัทเลยที่เขาอยากจะได้ฉันไปทำงานด้วย ฉันจะหาบริษัทที่เข้ายื่นข้อเสนอดีๆก็แล้วกัน จะได้มีเงินมาช่วยร้านเราด้วย” วทนิกาพูดบอกไปแล้วก็เอามือโอบไหล่ของเพื่อนสาว
“แต่แกชอบเป็นนักเขียนอิสระไม่ใช่เหรอ ถ้าแกไปทำให้บริษัทแล้วแกก็ต้องเหนื่อยกว่าเดิมนะ” พัชราพูดไปแบบเป็นห่วงเพื่อนสาว
“มันก็คล้ายๆกันนั่นแหละ ทำให้บริษัทมันก็ดี นิยายของฉันก็จะได้ดังขึ้นมาอีกไง แล้วรายได้ก็มั่นคงกว่าด้วย” วทนิกาพูดไปเพราะตอนนี้เธอกำลังเลือกบริษัทที่จะทำงานด้วยอยู่เพื่ออนาคตที่ดีกว่า
“ดีแล้วล่ะ ฉันขอให้แกปังๆละกันนะ แต่ถ้าแกอยากจะลองไปสายนางงามก็บอกนะ ฉันพร้อมที่จะส่งแกเต็มที่เลย” พัรชาพูดไปด้วยรอยยิ้ม
“ยังไม่จบเรื่องนางงามอีกนะแก พอเลย...แกลงไปทำงานข้างล่างเถอะ ฉันจะทำงานของฉันต่อแล้ว...เย็นนี้ฉันต้องไปงานเปิดตัวหนังสืออีก เดี๋ยวจะเสร็จไม่ทัน...” วทนิกาได้ยินแบบนั้นก็พูดไป ก่อนจะรีบบอกให้เพื่อนสาวลงไปข้างล่าง เพราะเธอต้องรีบเคลียร์งานแล้วไปร่วมงานเปิดตัวหนังสือเย็นนี้
“โอเคจ้ะ...ไปแล้วๆ” พัชราพูดจบก็เดินออกไปทันที
ณ บริษัท MRB อินเตอร์ไพร์สกรุ๊ป
บริษัทอีเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ๆของประเทศที่มีระบบหนังสืออีเล็กทรอนิกส์ออนไลน์ เว็บไซต์และสื่อที่ครบคลุมอย่างครบวงจร ภายใต้การบริษัทของนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ที่ก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้นมาเพียงเพราะเขาชอบอ่านนิยาย...ทำให้เขาเริ่มคิดค้นและสร้างเว็ปไซต์ขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์รวมนิยายที่ใหญ่ที่สุด
“นายครับ....คืนนี้คุณนายต้องไปร่วมงานเลี้ยงของคุณพาฝันนะครับ ผมว่าคุณนายรีบกลับไปอาบน้ำแต่งตัวหล่อๆไปงานดีกว่านะครับ” สารินเลขาคนสนิทของหนุ่มนักธุรกิจเอ่ยเตือนเจ้านายของเขา
“ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าให้ยกเลิกงานนี้ไป...ทำไมฉันยังต้องไปอีก...นายไม่ได้สนใจที่ฉันสั่งไปเลยใช่ไหมสาริน...” แดนเทพเงยหน้าขึ้นมาแบบบึ้งตึงแล้วเขาก็เอ่ยพูดด้วยเสียงเข้ม
“ผมก็ยกเลิกกับเลขาของคุณพาฝันไปแล้วครับนาย แต่ว่าคุณหญิงโทรมาสั่งผมให้บอกเจ้านายให้ไปร่วมงานของคุณพาฝัน แล้วผมจะขัดใจนายหญิงได้ยังไงล่ะครับ...ขนาดเจ้านายยังขัดท่านไม่ได้เลยนะครับ” สารินตอบไปตามความจริง เพราะคำสั่งของนายหญิงใหญ่คือที่สุดแล้วใครจะกล้าขัดล่ะ
“เฮ้อ...ฉันเข้าใจแล้ว งั้นนายไปหาชุดมาให้ฉันเปลี่ยนที่นี่ก็แล้วกัน ฉันยังทำงานไม่เสร็จ...” แดนเทพสั่งไป เพราะงานของเขายังไม่เสร็จ ดังนั้นเขาไม่สามารถพาตัวเองออกไปอาบน้ำแต่งตัวที่บ้านได้
“ได้ครับนาย...ผมจะรีบเอาชุดมาให้นะครับ” สารินพยักหน้ารับทราบทันที เพราะเขามีเตรียมไว้ที่ห้องส่วนตัวของท่านประธานเรียบร้อยแล้ว
“อ่อ...แล้วเรื่องนักเขียนที่ฉันให้นายไปติดต่อน่ะ เขาติดต่อกลับมาหรือยัง” แดนเทพเอ่ยถามไปอย่างอยากรู้ความคืบหน้า เพราะเขาชื่นชอบสไตลการเขียนของนักเขียนคนนี้
“ติดต่อไปแล้วครับ แต่ทางนักเขียนเขายังไม่ได้ติดต่อมาครับ สงสัยว่าข้อเสนอของเราจะไม่ถูกใจเขามั้งครับ ได้ข่าวว่าตอนนี้หลายๆบริษัทก็กำลังอยากได้นักเขียนคนนี้ไปเหมือนกันครับ เขาก็คงจะกำลังพิจารณาอยู่ คงอีกสักพักเขาก็น่าจะใหคำตอบเราแล้วครับ” สารินอธิบายไปตามที่เขาสืบรู้มา
“ถ้าเรื่องมากนักก็ไม่ต้องเอาแล้ว มองหานักเขียนคนอื่นที่มีแววมาแทนก็ได้..ฉันไม่ชอบคนเรื่องมาก มันน่ารำคาญ” เสียงเข้มพูดไปแบบไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะเขาถือว่าเขายื่นข้อเสนอที่ดีมากๆแล้ว ถ้ายังเล่นตัวไม่ร่วมงานกับเขา เขาก็ไม่เอาเช่นกัน
“ครับนาย...ผมจะจัดการแล้วรีบแจ้งให้นายทราบนะครับ...งั้นผมขอตัวไปเตรียมชุดให้นายก่อนละกันนะครับ” สารินตอบรับไปแบบเข้าใจ เพราะเจ้านายของเขาไม่ใช่คนง้อใครง่ายๆ ถ้าให้โอกาสแล้วไม่รับเอาไว้ ก็คือจบไม่มีโอกาสที่สองอีกแล้ว จากนั้นเขาก็เดินออกไป
“กริ๊งๆ.....กริ๊งๆ....สวัสดีครับคุณแม่....มีอะไรเหรอครับ” เสียงโทรศัพท์ของแดนเทพดังขึ้น เขาก็กดรับสายด้วยสีหน้านิ่งๆเมื่อเห็นว่าแม่ของเขาโทรเข้ามา
“แม่ต้องมีอะไรด้วยเหรอถึงจะโทรหาลูกชายตัวเองได้น่ะ....แม่ได้ข่าวว่าวันนี้ลูกจะไปงานเปิดตัวหนังสือของหนูพาฝันเหรอ” รินดาตอบลูกชายไปแล้วถามทันที
“คุณแม่ก็รู้อยู่แล้วนิครับ ยังจะโทรมาถามผมอีกทำไม ในเมื่อคุณแม่ให้สารินมันลงตารางทำงานของผมไปแล้ว ผมก็จำใจต้องไปแหละครับ” แดนเทพตอบไปแบบประชดแม่ของเขา ที่รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วแต่ก็ยังทำเหมือนไม่รู้เรื่องอยู่ได้
“ลูกอย่าพูดอย่างนั้นสิ หนูพาฝันเขาอยากจะให้ลูกไปงานสำคัญของเขานะ ลูกก็ไปหน่อยเถอะ แม่ว่าหนูพาฝันเขาก็ดูไม่เลวเลยนะ ดูเหมาะสมกับลูกมากๆเลย” รินดาพูดชงพาฝันให้กับลูกชายของเธอทันที เพราะเธออยากจะให้ลูกชายแต่งงานมีเมียเป็นฝั่งเป็นฝาสักที ไม่ใช่บ้างานแบบนี้
“นั่นมันในความคิดของแม่ครับ ไม่ใช่ผม...ผมไม่ชอบผู้หญิงแบบนั้น...แม่เลิกเป็นแม่สื่อให้ผมกับเขาสักทีเถอะครับ ยังไงผมก็ไม่สนใจเขา...เข้าใจไหมครับ” แดนเทพพูดด้วยเสียงจริงจัง
“ไม่เข้าใจ หนูพาฝันออกจะสวยน่ารักขนาดนั้น ทำไมลูกถึงไม่ชอบหึ หน้าที่การงานเขาก็ดี เป็นนักเขียนชื่อดังเลยด้วย แถมฐานะที่บ้านเขาก็รวยมาก เป็นที่เชิดหน้าชูตาให้ลูกได้ ทำไมลูกถึงไม่สนใจเขาหึ แม่ถามหน่อยสิ” รินดาถามไปอย่างอดไม่ได้ ผู้หญิงดีๆที่เพียบพร้อมแบบนี้ไม่ได้หากันง่ายๆนะ
“ก็เพราะผมไม่ชอบเขาไงครับ และที่เขามีชื่อเสียงก็เพราะอิทธิพลของพ่อแม่เขาทั้งนั้น งานที่เขาทำอยู่มันก็งั้นๆ ผมไม่ได้ต้องการผู้หญิงที่ดีแค่เปลือกแบบนี้ และถ้าผมจะเลือกผู้หญิงสักคนมาเป็นเมีย ผมจะเลือกเองครับ แม่ไม่ต้องมาเลือกให้...” แดนเทพตอบไปแบบห้วนๆ
“ไอ้ที่ลูกจะเลือกน่ะมันเมื่อไหร่ล่ะ วันๆเอาแต่ทำงานไม่สนใจผู้หญิงที่ไหนเลยด้วยซ้ำ..คนที่แม่เลือกให้น่ะแม่คัดสรรมาให้ลูกอย่างดีแล้วนะตาแดน...” รินดาพูดด้วยเสียงเข้มกับลูกชายหัวดื้อของเธอ
“ขอบคุณครับ แต่ผมไม่ต้องการ และถ้าแม่ยังไม่หยุดพูดเรื่องพวกนี้ เย็นนี้ผมจะไม่ไปร่วมงานของพาฝันอย่างที่แม่ต้องการแล้วนะครับ” แดนเทพยื่นคำขาดไป
“ไม่ได้นะตาแดน แม่รับปากหนูพาฝันกับคุณหญิงโฉมวิไลไปแล้วนะ ไม่ว่าจะยังไงลูกก็ต้องไป...โอเคๆ แม่ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้วก็ได้....แต่ลูกต้องไปงานของหนูพาฝันเขานะ...” รินดาพูดไปแบบยอมๆ
“ครับแม่...งั้นแค่นี้นะครับ ผมจะทำงานแล้ว...สวัสดีครับ...ตุ๊ด!....” แดนเทพพูดจบก็กดวางสายไปทันที ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจกับการที่เขานั้นโดนแม่พยายามที่จะหาผู้หญิงมาให้ดูตัวอยู่เรื่อย แม่กระทั่งพาฝันที่เขารู้จักมาตั้งแต่เด็กๆจนถึงตอนนี้ แม่เขาก็ยังไม่เว้นเลย
สำหรับเขาตอนนี้ เขาไม่ได้สนใจเรื่องรักๆใคร่ๆพวกนี้เลยสักนิด เพราะความรักมันไม่มีอยู่จริง ทุกคนที่เข้าหาเขาก็เพราะเงินและผลประโยชน์จากเขาทั้งนั้น แดนเทพคิดไปก็สลัดความคิดพวกนี้ไป แล้วเขาก็กลับมาโฟกัสกับงานของเขาต่อทันที....