Episode 1 เมืองในหุบเขา

1829 Words
รถเก๋งสี่ประตูสีบรอนด์น้ำตาลวิ่งผ่านถนนลาดยางซึ่งแบ่งเป็นสองเลนส์พอให้รถวิ่งสวนไปกลับ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวชอุ่มซึ่งมีลมพัดโชยเป็นระยะอันที่จริงน่าจะบอกว่าเป็นป่าทึบคงจะเห็นภาพมากกว่า ท้องฟ้าสีม่วงเจือด้วยแสงสนธยาของดวงอาทิตย์ยามใกล้ค่ำช่างเป็นวิวที่งดงาม ยิ่งในช่วงปลายเดือนตุลาคมแบบนี้อากาศข้างนอกรถคงเย็นสบายกำลังดีถ้าไม่นับหมอกหนาทึบที่บังเส้นทางข้างหน้าจนแทบมองไม่เห็น ฉันควรจะเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์นั้นถ้าไม่มัวแต่กังวลใจว่ากำลังหลงทางอยู่หรือเปล่าและจะหาทางไปถึงเมืองก่อนมืดได้หรือไม่ ฉันขับรถลงจอดข้างทางก่อนจะเปิดไฟฉุกเฉินพลางหยิบแผนที่ซึ่งวางไว้บนเบาะที่นั่งข้างคนขับออกมากางดูเพื่อเทียบกับแผนที่ในกูเกิ้ลที่แสดงอยู่บนจอมือถือหน้าคอนโซลรถ มันดูแตกต่างกันนิดหน่อยเพราะหมุดในแผนที่ชี้ว่าเมืองควรจะตั้งอยู่บริเวณนี้ แต่ดูยังไงที่นี่ก็มีแต่ป่าและไม่มีแม้แต่เงาของบ้านพักอาศัยเลยแม้แต่หลังเดียว ในขณะที่ฉันกำลังง่วนอยู่กับการสำรวจเส้นทางในแผนที่ก็มีแสงสว่างจากไฟหน้ารถเก๋งคันสีดำซึ่งวิ่งสวนมาจากอีกฟากของถนนก่อนจะจอดเยื้องไปข้างหน้ารถของฉัน ชายหนุ่มในชุดแจ็คเก็ตสีน้ำเงินเข้มเปิดประตูเดินลงจากรถ ผมย้อมสีน้ำตาลแดงเข้มกับใบหน้าขาวผ่องจนออกซีดทำให้ฉันจำได้จากภาพที่เขาส่งให้ฉันทางโปรแกรมแชทที่เราใช้คุยกันตลอดนับตั้งแต่จบมหาวิทยาลัยแล้วแยกย้ายกันไปทำงาน เขาเป็นลูกชายเจ้าของไร่องุ่นที่กินพื้นที่หุบเขาทางตะวันออกมากกว่าหนึ่งพันไร่ในเมืองอัณยาที่ฉันกำลังมุ่งหน้าไป และเขากลับมาที่บ้านเกิดของเขาด้วยเหตุผลเดียวกับฉันนั่นคือมาร่วมพิธีกรรมต้อนรับผู้วายชนม์ซึ่งเป็นประเพณีท้องถิ่นที่สืบทอดมาแต่โบราณ เขาหันซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีรถวิ่งผ่านแล้วจึงข้ามถนนเดินตรงมายังรถของฉัน ฉันเปิดกระจกตะโกนทักทาย “เชน โชคดีจริงๆที่เจอนาย” “ทำไมเธอมาถึงเย็นขนาดนี้ ฉันเคยบอกแล้วว่าทางเข้าเมืองมันเปลี่ยวไม่ใช่หรือ” “นี่เขาเรียกป่า ไม่ได้เรียกเปลี่ยว” ฉันถอนหายใจยาว “ทำไมบ้านเกิดนายอยู่ไกลขนาดนี้เนี่ย” “ก็บอกแล้วว่าอยู่ในหุบเขา ฉันไม่อยากให้เธอมาเองก็เพราะกลัวหลงนี่แหละ” “ฉันออกจากบ้านแม่ที่กรุงเทพเกือบบ่ายสาม ท่านฝากขนมทำเองมาให้เยอะแยะเลย” “เอาเป็นว่าเธอขับรถตามฉันมา บ้านฉันเปิดเป็นรีสอร์ทด้วย ฉันให้คนจัดห้องไว้ให้แล้ว” “ฉันเห็นภาพถ่ายที่นายส่งมาแล้วถึงได้อยากมา พวกแดนก็มาถึงแล้วเหมือนกันใช่มั้ย” ฉันนึกถึงเพื่อนในกลุ่มเดียวกันสมัยมหาวิทยาลัย กลุ่มเรามีกันห้าคนคือแดน น๊อต อัย เชนแล้วก็ฉัน “ว่าแต่พวกเราไม่ได้มารบกวนคุณพ่อของนายใช่มั้ย” “ท่านน่าจะอยู่แค่เย็นวันนี้แล้วก็เดินทางไปต่างประเทศเลย เห็นว่าไวน์ของเราตีตลาดที่ยุโรปได้” “ยินดีด้วย นายน่าจะบอกฉันก่อนจะได้เตรียมของแสดงความยินดี” “ไม่ต้องก็ได้ ฉันบอกท่านแล้วว่าจะพาพวกเธอมาเที่ยวที่บ้าน” เชนหันไปมองรถตัวเองก่อนจะหันมาหาฉัน ”จะมืดแล้ว เธอขับตามรถฉันมา แล้วอย่าให้คลาดกันล่ะ” “โอเค” ฉันรับคำก่อนจะขับรถตามหลังรถของเชนที่เปิดไฟฉุกเฉินนำทางให้ ฉันมองสำรวจวิวรอบข้างผ่านกระจกรถ ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะมีหมอกลงหนาขนาดนี้ ด้วยความที่ถนนทั้งเส้นไม่มีรถวิ่งเลยนอกจากรถของเราสองคนทำให้ผ่านเข้าเขตเมืองมาได้ภายในไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ที่ฉันรู้ว่าเข้าเขตเมืองแล้วก็เพราะเริ่มมีบ้านพักอาศัยให้เห็นเป็นระยะ บ้านที่นี่ส่วนใหญ่เป็นเรือนไทยเหมือนสมัยโบราณที่สร้างจากไม้ทั้งหลังขนาดกลางบ้างใหญ่บ้างแสดงให้เห็นว่าชาวเมืองส่วนใหญ่มีฐานะปานกลางถึงร่ำรวย เชนขับรถเลี้ยวซ้ายผ่านแยกมาได้สองรอบจึงมองเห็นประตูซุ้มทางเข้าซึ่งสร้างจากไม้แกะสลักอย่างดีจารึกชื่อว่าอัณยาวิลล์ที่ถูกขนาบข้างด้วยต้นองุ่นเรียงเป็นแนวเต็มไร่สองข้างทาง เขาขับรถนำหน้าผ่านซุ้มประตูเข้าไปราวสองกิโลเมตรจึงมองเห็นที่พักซึ่งสร้างเป็นเรือนไทยกว้างราวสี่สิบและห้าสิบตารางเมตรจัดเรียงเว้นระยะห่างของพื้นที่เอาไว้อย่างลงตัว เชนขับรถมาจอดที่หน้าเรือนไทยซึ่งน่าจะเป็นบ้านพักแขกขนาดพอให้เข้าพักได้สองหรือสามคน ฉันจึงขับรถเข้าไปจอดข้างๆรถของเขาก่อนดับเครื่องและลงจากรถ เชนช่วยหิ้วกระเป๋าสัมภาระเดินนำฉันขึ้นบันไดไม้มาบนเรือนซึ่งตกแต่งไว้อย่างทันสมัย แม้ว่าพื้นในห้องนอนทั้งสองห้องและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆจะทำจากไม้แต่ห้องน้ำกลับปูกระเบื้องและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันไม่เว้นแม้แต่อ่างอาบน้ำ ฉันเห็นมีกระเป๋าสัมภาระถูกวางไว้ในห้องนอนห้องหนึ่งแล้ว เชนจึงพาฉันเข้ามายังห้องนอนที่อยู่ตรงข้าม หน้าต่างห้องนี้มองเห็นวิวสระน้ำในไร่องุ่นชัดเจน มีแสงสลัวสีส้มจากเสาโคมไฟเตี้ยๆที่เรียงรายอยู่ตามทางในสวนและข้างสระน้ำทำให้ความมืดในยามค่ำคืนไม่เป็นอุปสรรคต่อการมองวิวรอบๆบ้านพักซักเท่าใดนัก เชนมองดูนาฬิกาซึ่งบอกเวลาทุ่มหนึ่งก่อนกล่าวอย่างโล่งใจ “ดีนะที่มาถึงก่อนสองทุ่ม” “ทำไมหรือ พูดอย่างกับจะมีอะไรเกิดขึ้นถ้าไม่กลับก่อนสองทุ่มงั้นแหละ” “พิธีกรรมต้อนรับผู้วายชนม์จะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ยี่สิบสี่ถึงสามสิบตุลาคม ในช่วงนี้ของทุกปีเป็นช่วงที่ทางเข้าเมืองมักมีหมอกลงจัด ตั้งแต่สองทุ่มเป็นต้นไปหมอกจะหนาจนแทบหาทางเข้าไม่เจอแม้แต่คนในเมืองอัณยาเองก็หลงทางมาแล้ว” “อ้าว ฉันได้ยินมาว่าพิธีกรรมเกิดขึ้นแค่สองวันไม่ใช่หรือ” “สองวันคือวันที่ยี่สิบเก้าและสามสิบจะเป็นพิธีส่งตัวผู้วายชนม์ แต่ก่อนส่งตัวจะต้องมีการขุดศพในสุสานขึ้นมาเพื่อนำเครื่องรางที่ฝังลงไปพร้อมศพมาสวมให้กับหุ่นพยนต์ที่เป็นหุ่นขี้ผึ้งเสียก่อน เราจะต้องทิ้งหุ่นพยนต์ไว้กับผู้ตายอย่างน้อยหนึ่งคืนก่อนจะทำพิธีส่งตัวผู้วายชนม์ พูดง่ายๆก็คือส่งตัวหุ่นนั่นแหละ” “ฉันเคยอ่านเจอเรื่องพิธีกรรมนี้ ไม่ผิดหวังเลยที่มาด้วยตัวเอง” “ที่จริงมันออกจะ…” เชนกัดฟันนิดหนึ่งเหมือนไม่อยากพูดต่อ “เหมือนหนังสยองขวัญ” “ยังไงหรือ” “ไว้เธอเห็นด้วยตาตัวเองแล้วค่อยบอกฉันอีกครั้งแล้วกันว่ารู้สึกยังไง” เขายิ้มแห้งๆ “นี่ใกล้เวลาอาหารเย็นแล้ว พวกผู้ดูแลน่าจะตั้งโต๊ะที่เรือนใหญ่เสร็จแล้ว แดน น๊อตแล้วก็อัยคงรอนานแล้วด้วย” “งั้นเราไปกินข้าวกันก่อน เดี๋ยวฉันค่อยกลับมาจัดของ” “โอเค เอารถฉันไปคันเดียวก็พอ ฉันต้องขับกลับไปคืนที่เรือนใหญ่ ไว้ขากลับฉันจะเดินมาส่งนะ” เชนขับรถเข้าไปจอดที่ลานจอดรถซึ่งอยู่ใต้ซุ้มหลังคาไม้ก่อนจะดับเครื่อง ฉันลงจากรถมาพร้อมเขาแล้วเดินตามเขาไปบนทางเดินซึ่งสร้างจากแผ่นหินสี่เหลี่ยมฝังดินเว้นระยะห่างอย่างเป็นระเบียบท่ามกลางพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่ม อากาศยามค่ำคืนช่างชื้นและเย็นเยือก ยังดีที่ฉันใส่เสื้อยีนส์คลุมกันหนาวมาด้วย เชนพาฉันเข้ามาในสวนซึ่งมีศาลาทรงไทยตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางสวนดอกลีลาวดีที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆไปทั่วบริเวณ บนศาลาเป็นที่ตั้งของโต๊ะอาหารทรงรีที่มีเก้าอี้จัดไว้สำหรับหกที่ แดน อัยและน๊อตนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ในขณะที่เชนเดินไปนั่งทางขวาใกล้กับหัวโต๊ะและฉันเดินไปนั่งถัดจากอัย อัยหันมองรอบตัวทำให้ผมหางม้าของเธอขยับตามศีรษะที่ส่ายไปมา เธอสวมเสื้อกันหนาวสีแดงตัดกับโทนสีผิว ฉันเห็นเธอหันมาพูดเสียงเบาจึงเงี่ยหูฟัง “รู้สึกเหมือนกำลังแบ่งเพศกันอยู่เลยนะ ฝั่งนั้นเป็นผู้ชายหมดเห็นมั้ย” “อย่าคิดเยอะ เราแค่มากินข้าว” ฉันกระซิบกลับไป “กระซิบกระซาบอะไรกันน่ะ ขอฟังด้วยได้มั้ย” แดนซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับอัยถามแทรกขึ้น “พ่อของเชนยังไม่มา ไม่ต้องรักษามารยาทขนาดนั้นก็ได้” “พ่อฉันไม่น่ากลัวขนาดนั้นหรอก พูดกันธรรมดาก็ได้” “คุณธีระหรือไม่น่ากลัว นายยังไม่เห็นอีกด้านของเขามากกว่า” น๊อตที่นั่งอยู่ตรงข้ามฉันกล่าวพีมพำ “พวกนายโตมาด้วยกันที่เมืองเดียวกันจริงหรือเปล่าเนี่ย ทำไมพูดไม่เห็นเหมือนกัน” อัยขึ้นเสียงสูงแบบไม่ตั้งใจ ฉันจึงกล่าวตัดบท “เป็นยังไงเดี๋ยวก็เห็นเองล่ะ…” ฉันหยุดพูดเมื่อคุณธีระเดินเข้ามานั่งที่หัวโต๊ะ ทุกคนอยู่ในท่าทีสงบเสงี่ยมแทบจะทันทีเพราะบรรยากาศรอบๆดูจะกดดันขึ้น แต่คนที่เกร็งจนเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดคือน๊อต ฉันไม่รู้สึกถึงความกลัวของเขาแต่เหมือนกับเขากำลังเว้นระยะห่างออกไปไกล คุณธีระมองดูลูกชายและเพื่อนๆรอบวงโต๊ะอาหารในขณะที่ผู้ดูแลนำอาหารมาเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ จานแรกเป็นห่อหมกปลาอินทรีย์ซึ่งมีเครื่องแกงมันวาวสีส้มราดด้วยกระทิหอมในถ้วยฟอยล์สีเงินที่แยกเป็นหกถ้วยพอดีจำนวนคน ต้มข่าไก่ซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพร กุ้งผัดเปรี้ยวหวานซึ่งผัดรวมกับพริกสีให้สีสันน่ารับประทาน และปิดท้ายด้วยผัดผักบุ้งหมูกรอบซึ่งใช้หมูสามชั้นหั่นชิ้นไม่บางไม่หนาเกินไปและวางจัดเรียงอยู่ในจานอย่างพิถีพิถัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD