ปลายเท้าน้อยๆ ของฟางหลันพลันชะงักงัน นางกะพริบตามองรอบบริเวณ เห็นเป็นศาลาริมบึงบัว รอบด้านเป็นบุปผานานาพันธุ์ สวยงามมาก ทว่ามิใช่ทางไปท้องพระโรงหรอกหรือ?
หยวนจงอยากจะจับนางอุ้มแนบอก แล้วพานางเดินไปด้วยกันยิ่งนัก ปลอมกายเป็นชายหน้าโหดแต่เดินยิ้มกริ่มประหนึ่งกำลังเดินเล่นบนปุยเมฆกระนั้น ทั้งยังไม่สนใจเขาเลยด้วย
อุทยานแห่งนี้น่าสนใจมากกว่าเขาที่ใดกัน!
ชายหนุ่มเดินเข้ามาและเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงดุดันอีกครั้ง
“หากรายงานตัวเสร็จแล้ว ข้าจะพาเจ้าเดินชมด้วยตนเอง ดีหรือไม่?”
ความหมายของรูปประโยคช่างแตกต่างจากน้ำเสียงดุเดือดนั่นเหลือเกิน
เหล่าทหารติดตามคนอื่นๆ ได้แต่มองท่านแม่ทัพกันอย่างฉงนเป็นหนักหนา เพราะว่าแต่ก่อนนั้น หากท่านแม่ทัพหยวนเสร็จศึกเมื่อใด มักจะรีบเข้ามารายงานผลเอาความดีความชอบอย่างไว ไม่แม้แต่จะหยุดพักกลางทาง ชื่นชอบการสะสมผลงานเป็นที่สุด
แต่ครานี้ นอกจากจะพาพวกเขาเดินอ้อมเมืองแล้ว ยังจะแวะพักโดยใช่เหตุ ทั้งยังจะเสียเวลาเดินชมนกชมไม้ภายในอุทยานหลวงอีกด้วย
น่าแปลกใจยิ่ง!
ท่ามกลางสีหน้าอันแปลกใจของเหล่าทหาร ฟางหลันยกยิ้มงดงามกว้างขวาง อารมณ์ดีเป็นอย่างมาก ท่าทางประหนึ่งดังสาวน้อย หลงลืมเสียสิ้นว่าปลอมตัวอยู่
“ท่านพูดจริงหรือ?”
“อืม! มาเถิด สายมากแล้ว” หยวนจงก้มหน้ารับคำแล้วจับจูงมือพานางในคราบทหารหน้าเหี้ยมเดินไปยังทิศทางของท้องพระโรง
ลักษณะที่แสดงออกว่าสนิทสนมของคนทั้งคู่ ยิ่งนำพาให้ใบหน้าของเหล่าทหารติดตาม เพิ่มความหลากหลายทางอารมณ์
บางคนเริ่มคิดการณ์ไกล เกี่ยวกับรสนิยมของท่านแม่ทัพหยวนเข้าให้แล้ว
เมื่อเดินเข้ามายังหน้าประตูใหญ่ของท้องพระโรง เสียงขันทีขานนามก็ดังกังวานก้อง
“ท่านแม่ทัพหยวนจงมาถึงแล้ว...”
เสียงนั้นทั้งแหลมทั้งทรงพลัง สมกับเป็นขันทีผู้ส่งเสียงหน้าห้องอันกว้างใหญ่
ทำให้เหล่าขุนนางด้านในหันมามองหยวนจงและเหล่าทหารเป็นตาเดียวกันในทันใด
สีพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้พลันส่องสว่างแสดงความปิติไม่ปิดบัง เพราะหยวนจงมักจะชนะศึกกลับมาทุกครั้ง ไม่เคยทำให้พระองค์ผิดหวังในสักครา
เมื่อทุกคนในท้องพระโรงได้เห็นสีพระพักตร์ขององค์เหนือหัว
วันนี้คงเป็นวันดีอีกหนึ่งวัน ที่จะได้มีการมอบสมรสพระราชทานเป็นของกำนัลหลังชนะศึกเป็นแน่แท้
เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างลงความเห็นได้เช่นนั้น อยู่ภายในใจโดยมิได้นัดหมาย
ร่างสูงสง่าของหยวนจงในอาภรณ์แม่ทัพ เดินอย่างองอาจผึ่งผาย พาใบหน้าหล่อเหลาคมคายแผ่ประกายความเจิดจรัสแห่งเสน่ห์บุรุษเพศเข้ามากลางท้องพระโรง ก่อนจะคุกเข่าทำความเคารพเจ้าเหนือหัวแบบเต็มพิธีการ
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”
ตามด้วยเสียงของทหารติดตามคนอื่นๆ ที่กล่าวคำเดียวกันหลังจากคุกเข่าเต็มพิธีการกันทุกคน
ฟางหลันผู้ไม่เคยปฏิบัติ พยายามทำตามอย่างแนบเนียนเป็นที่สุด ลำตัวของนางเกร็งไปหมด จนต้องนึกขันตนเองขึ้นมา แต่ทว่าก็ให้นึกภาคภูมิใจอยู่หลายส่วน เพราะว่าชาวเมืองคนอื่นๆ หาโอกาสเยี่ยงนางได้ยากยิ่ง ได้เข้ามายังท้องพระโรงอันศักดิ์สิทธิ์ ได้ยลพระพักตร์เจ้าแห่งแผ่นดินผู้ยิ่งใหญ่
อา...ปลื้มปริ่มเหลือเกิน
ฮ่องเต้ผู้นี้ ช่างมีบารมีที่สูงส่งนัก เรือนร่างสง่างามในอาภรณ์สีทองอร่าม ช่างเปล่งประกายราศีแห่งเทพเซียนเสียจริง
อืม...แต่จะว่าไป ความน่าเกรงขามที่แฝงความน่าสะพรึง กลับมิอาจเทียบเคียงกับท่านประมุขหงซือกวนของนางได้เลย
สายตาที่ลอบชำเลืองของฟางหลัน ถึงกับมองเหม่อ จิตใจถึงกับล่องลอย นางแอบพิจารณาทุกสิ่งในท้องพระโรงไปเรื่อยๆ ในยามที่หยวนจงกำลังรายงานผลการศึกที่ผ่านมา
หยวนจงกำลังกล่าวคำใด ฮ่องเต้ทรงตรัสสิ่งใด เหล่าขุนนางพากันพูดอันใด นางล้วนไม่ใส่ใจ เพราะกำลังถูกใจกับความหรูหรายิ่งใหญ่ของสถานที่แห่งนี้หนักหนา
นอกจากความสง่างามสูงส่งเปี่ยมไปด้วยบารมีของฮ่องเต้แล้ว ยังมีสตรีงดงามหรูหราปานนางสวรรค์บนชั้นฟ้าอีกหลายคน
นั่นคงเป็นฮองเฮา และสตรีเหล่านั้นคงเป็นองค์หญิง
อา...มีองค์ชายด้วย แต่ละคนรูปงามกันทั้งนั้น
หญิงสาวไล่สายตาแพรวพราวมองไปจนทั่ว ก่อนจะสะดุดลงตรงองค์หญิงผู้หนึ่ง
องค์หญิงผู้นี้งดงามมาก นางกำลังทำท่าทางเอียงอายอย่างน่าเอ็นดู พวงแก้มนวลแดงระเรื่อ ใบหน้าเล็กหลุบต่ำจนเห็นแพขนตายาวงามงอนกระเพื่อมระริกรัวสั่นไหว ก่อนจะค่อยๆ ช้อนสายตามองมาทางหยวนจง
หือ! มองหยวนจง?
ฟางหลันถึงกับกะพริบตาปริบๆ มองตามสายตาสวยหวานหยาดเยิ้มขององค์หญิงผู้นั้น
จึงได้เห็นไหล่หนาของหยวนจงสั่นเทาน้อยๆ คล้ายกับกำลังพยายามเก็บข่มความเสียใจอย่างสุดซึ้ง
หญิงสาวยิ่งงุนงงไปกันใหญ่ จึงเงยหน้ามองฮ่องเต้ว่ากำลังตรัสสิ่งใด ถึงทำให้หยวนจงมีอาการเช่นนั้น
สุรเสียงเนิบช้าทว่าเปี่ยมบารมีของโจวเหวินหลงฮ่องเต้เปล่งออกมาทางแม่ทัพคู่พระทัย “ผลงานของท่านแม่ทัพหยวนเป็นที่ประจักษ์แก่เรายิ่งนัก”
พระองค์ผินพระพักตร์ไปทางองค์หญิงผู้ที่กำลังมีท่าทางเอียงอายแล้วทรงตรัสต่อว่า “องค์หญิงเหม่ยเหยาของเราปีนี้ก็ถึงวัยออกเรือนแล้ว ช่างเหมาะสมยิ่งนัก...”
ประโยคจบเพียงเท่านั้น ทว่าหยวนจงถึงกับเงยหน้ามองฮ่องเต้แบบชะงักงัน
ฟางหลันมองไม่เห็นสายตาของเขา เพราะว่ากำลังคุกเข่าอยู่ทางด้านหลัง แต่ทว่าไหล่หนาของเขาที่กำลังสั่นเทาทำเอาเรียวคิ้วนางถึงกับขมวดพันกันอย่างฉงน
ชั่วจังหวะนั้น สายตาของขุนนางหลายคนมองหยวนจงเป็นตาเดียวกัน ความหมายทางสายตาของพวกเขาเหล่านั้น
บางคนเยาะหยัน บางคนเห็นใจ บางคนถึงกับสงสารระคนเวทนา
มิรู้ได้ว่าเกิดสิ่งใด ฟางหลันให้รู้สึกใคร่รู้ยิ่งนัก
ทว่าเพียงอึดใจนางก็ได้รับความกระจ่าง เพราะว่าฝ่ายหยวนจงก้มหน้าแทบโขกศีรษะกับพื้นแล้วกล่าวเสียงแตกพร่าว่า
“โฉมงามยามแปรผัน ถามใจนั้นทุกข์ระทมสักเท่าใด ดังสายน้ำที่ไหลไปไม่หวนคืน ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมิกล้ารับความดีความชอบแต่เพียงผู้เดียวพ่ะย่ะค่ะ”