ทันทีที่เสียงเครื่องยนต์เงียบลงหลังเลี้ยวโค้งเข้ามาจอดหน้าโรงพยาบาลเล็กๆ แต่เป็นโรงพยาบาลแห่งเดียวบนดอยนี้ ร่างสูงของหมอครองฤทธิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลดอยสุขใจ และหมอสูติฯ มือทองคนเดียวบนยอดดอย คว้ากระเป๋าหนังสีน้ำตาลที่วางอยู่บนเบาะข้างคนขับลงจากรถยนต์ แล้วหันมาปิดประตูรถยนต์กดล็อกเรียบร้อย
“หมอปิ๊กมาแล้ว” (หมอกลับมาแล้ว)
เสียงเรียกของผู้คนหลายวัยที่จำเขาได้อย่างไม่เคยลืมกำลังเขย่งปลายเท้าลุกขึ้นมามอง บ้างก็ชะโงกมองมายังหน้าลานจอดรถของโรงพยาบาล เมื่อเห็นว่าใช่หมอครองฤทธิ์จริงๆ ก็บอกต่อๆ กัน
“หมอครองฤทธิ์แต๊ตวย หมอปิ๊กมาแล้ว หมอปิ๊กมาแล้วหมู่เฮา” (หมอครองฤทธิ์จริงด้วย หมอกลับมาแล้ว หมอกลับมาแล้วพวกเรา)
สูตินรีแพทย์หนุ่มผุดรอยยิ้มภูมิใจในความเป็นหมอดอยของเขา ครองฤทธิ์โชกโชนในวิชาชีพ เขาทำคลอดให้ทารกนับร้อยบนยอดดอย รักษาผู้คนมากมายจนเป็นที่รักของผู้คนที่นี่ หมอหนุ่มหิ้วกระเป๋าเองสารเดินอย่างคล่องแคล่วตรงไปยังทางเข้าโรงพยาบาล ดวงตาสีนิลปรากฏรอยยิ้มทอดมองเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่หยุดทักทำความเคารพ ตลอดจนหันไปพูดคุย ทักทายกับคนไข้ที่คุ้นหน้าคุ้นตาอย่างเป็นกันเอง
“สวัสดีครับลุงฮอม ป้าบัว ว่าไงปีโป้ วันนี้เป็นอะไรมาครับ”
เจ้าของร่างกำยำหยุดพูดคุยอย่างกันเองกับผู้คนทุกเพศทุกวัยที่หยิบยื่นรอยยิ้มให้เขา สักพักจึงขอตัวเดินเลี้ยวไปทางปีกขวาของโรงพยาบาลซึ่งเป็นห้องทำงานส่วนตัวเพื่อเคลียร์งานที่ค้างคาหลังจากถูกขอให้ไปช่วยงานที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ มาหลายเดือนพร้อมกับดูแลแม่ที่ป่วยเป็นโรคคิดถึงลูกชาย การกลับมาทำงานวันแรก เขามีเคสที่รอทำคลอดถึงสามราย
ชายหนุ่มผลักประตูเข้าไปภายในห้องทำงาน ดวงตาปลาบคมแหงนมองภาพชายวัยหกสิบปีเศษในกรอบหลุยส์สีทองแวววาว ซึ่งภาพนั้นคือผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งนี้ ประดับอยู่บนผนังห้องทำงานสีขาวกลางเก่ากลางใหม่
“สวัสดีครับคุณพ่อ ผมกลับมาแล้วครับ”
นัยน์ตาคู่คมปรากฏแรงศรัทธาอันแรงกล้า มุมปากเผยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ “ใครจะไปคิดว่าเราจะทำงานบนดอยนี้มาได้ 7-8 ปี”
7 ปีก่อนหน้านี้...
‘ครองฤทธิ์ วนารมย์’ คือนายแพทย์สูติฯ จบใหม่ ที่เกิดมาเพียบพร้อมทั้งความหล่อและความรวย เขาคือทายาทของโรงพยาบาลชื่อดังอันดับต้นๆ ของประเทศ ความรวยของหมอครองฤทธิ์ทำให้เขาเปลี่ยนรถยนต์และตุ๊กตาหน้ารถเป็นว่าเล่น จนกระทั่งวันนั้นที่ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล
หมอครองฤทธิ์กำลังเล็งจีบทันตแพทย์สาวคนหนึ่ง ซึ่งเจ้าหล่อนได้ยื่นสมัครเป็นจิตอาสาร่วมโครงการหมอน้ำดีบุกดอย อันเป็นโครงการแพทย์อาสา พิกัดดอยสุขใจ เขาไม่ได้สนใจมากกว่าหาทางเข้าใกล้หมอสาวที่เล็งไว้ แต่โชคร้าย เมื่อถึงวันเดินทาง ทันตแพทย์สาวที่เขาสนใจเพิ่งจะขอยกเลิกการเข้าร่วมโครงการเพราะบิดาของเธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ส่วนเขาลงชื่อไปแล้วจะยกเลิกก็น่าเกลียดเกินไป
แค่สามวันบนยอดดอย ที่เวลานั้นไม่มีแม้แต่ไฟฟ้า และในระยะสามวันยังต้องเดินเท้าเพื่อเข้าไปตรวจรักษาในพื้นที่ทุรกันดาร เส้นทางขึ้นเขาที่ลาดชันขึ้นเรื่อยๆ รถยนต์ถูกจอดและคณะแพทย์อาสาต้องเดินเท้าเพื่อเข้าไปให้ถึงหมู่บ้าน
ครองฤทธิ์หงุดหงิดแล้วบ่นตลอดทางให้กับความเหนื่อยยากลำบากทุกย่างก้าว เขาเปลี่ยนใจกะทันหัน ขอลงจากดอยและต้องการให้รถยนต์สักคันไปส่งที่สนามบิน ชายหนุ่มคิดจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ทันที
หมอหนุ่มหล่อ โปรไฟล์ดีที่เดินรั้งท้ายหยุดเหนื่อยหอบ ปาขวดน้ำดื่มที่หมดไปนานแล้วลงกับพื้น
“ไกลฉิบ...ผมเปลี่ยนใจไม่ไปแล้ว” เขาหายใจออกมาเสียงดัง ท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทาง
คนที่หันกลับมามองเขา แล้วเดินย้อนกลับมาหาคือแพทย์อาสาคนหนึ่งซึ่งเป็นรุ่นพี่ มือหนายกมือตบไหล่ราวกับอยากให้กำลังใจ
“หมอฤทธิ์เพิ่งจะมาเดินดอยปีแรกใช่ไหมครับ มันเหนื่อย ปีแรก ผมก็คิดเหมือนหมอ ท้อแล้วไม่อยากไปให้ถึง”
“งั้นเราลงจากดอยไปพร้อมกันไหมครับ ผมไม่ไหวแล้ว จริงๆ ทำไมคนไข้ไม่ลงจากดอยมาหาหมอ ต้องให้หมออย่างพวกเราตะเกียกตะกายหอบยา หอบเครื่องมือไปตรวจรักษาให้ชาวบ้านพวกนั้นด้วยครับ”
“จริงๆ แล้ว ยามเจ็บป่วย พวกคนบนดอยเขาก็อยากลงไปหาเรานั่นแหละครับ แต่ระยะทางหลายสิบกิโลเมตร พวกเขาไม่มีรถ ไม่มีเงิน บางคนไม่มีแม้แต่รองเท้า ทำให้พวกเราทุกๆ คนที่รวมตัวกันมาในวันนี้ร่วมแรงร่วมใจเดินขึ้นมาหาชาวบ้านบนนี้ไงครับ”
“แต่หนทางมันลำบากสุดๆ ไปเลยนะครับพี่หมอเมฆ ผมไม่เคยเห็นเส้นทางที่ไหนจะลำบากเท่านี้มาก่อน”
“หมอฤทธิ์ยังจำคำนี้ได้ไหมครับ I do not want you to be only a Doctor, but l also want you to be a Man”
ประโยคที่รุ่นพี่เอ่ยขึ้นมาทำให้ครองฤทธิ์เงียบอึ้งไปหลายวินาที เมื่อคิดย้อนไปก่อนที่จบออกมา อาจารย์หมอหลายท่านเคยให้นิสิตแพทย์ท่องประโยคนี้ให้จำขึ้นใจ ทำไมเขาจะจำไม่ได้ เพราะนั่นคือพระราชดำรัสที่หมอทุกคนเคยได้ยินได้ฟังมาแล้ว หมออย่างพวกเขาไม่ใช่มีหน้าที่แค่รักษาอาการป่วย แต่หมอควรมีความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้ป่วยซึ่งเปรียบเสมือนเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ใช่เป็นหมอเพื่อประกอบวิชาชีพอย่างเดียว
“ขอโทษครับพี่เมฆ”
หมอเมฆมีอายุมากกว่าครองฤทธิ์สองปี เขามาร่วมโครงการนี้เป็นครั้งที่ 4 หันหลังแล้วก้าวไปข้างหน้า ในขณะที่หมอครองฤทธิ์กระชับกระเป๋าเป้แล้วรวบรวมพลังกายพลังใจ ไหนๆ เขาก็มาแล้ว เขาเองก็ลูกผู้ชายคนหนึ่ง ขึ้นก็ขึ้น ก็อยากรู้ว่าบนดอยมีอะไรดี เห็นหมอบางคนมาแล้วกลับลงไปเล่าว่ามีความสุขจนอยากทิ้งทุกอย่างหนีมาทำงานบนดอย แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครมาอยู่ประจำจริงๆ สักราย
เขาจำได้ว่าหลังจากนั้น ยังถามรุ่นพี่อีกสองสามคำ
“พี่เมฆครับ มีหมอคนไหนเดินขึ้นมาบนดอยนี้แล้วไม่บ่นบ้างไหมครับพี่หมอ”
เสียงหมอเมฆที่เดินห่างออกไปแล้วตอบกลับมา
“มีสิครับ”
สร้างความอยากรู้ให้คนหนุ่มไฟแรงอย่างหมอครองฤทธิ์ขึ้นมาทันที
“ใครครับพี่”
“คุณพ่อคุณไง ท่านยังสร้างโรงพยาบาลเล็กๆ เอาไว้บนดอยด้วยนะครับ เสียดายกลายเป็นโรงพยาบาลร้าง เพราะไม่มีหมอที่ไหนยอมมาอยู่ประจำ”
เสียงที่ตอบกลับมาอีกครั้งทำให้หมอครองฤทธิ์เงียบเสียงลง แล้วตั้งใจเดินพร้อมปณิธานที่แน่วแน่...