‘วันนี้เวลา 14 นาฬิกามีอุบัติเหตุใหญ่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร รถตู้บรรทุกผู้โดยสารเกินกำหนด คนขับหลับในประสานงานพุ่งชนรถโดยสารพลิกคว่ำ ผู้เคราะห์ร้ายเสียชีวิต...”
นักข่าวเบี่ยงตัวให้กล้องเบนไปสำรวจความเสียหาย ในจุดเกิดเหตุทีมกู้ภัยยังอยู่ในพื้นที่จำนวนมากแม้ว่าจะลำเลียงผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตออกจากรถมาหมด เคลียร์ถนนเปิดทางให้รถยนต์กลับมาสัญจรตามปกติจากที่ติดเป็นทางยาวตั้งแต่ช่วงบ่าย
เสียงรายงานหยุดลงตามมาด้วยภาพข่าวหายไปเนื่องจากปรเมศวร์ปิดริโมตคอนโทรล เขาไม่ต้องการเห็นภาพข่าวที่กระทบกระเทือนจิตใจ ภายหลังไม่สามารถช่วยชีวิตคนบาดเจ็บได้ มีคนเสียชีวิตเพิ่มขณะรักษา ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของชายคนนั้นยังวนเวียนอยู่ในหัว รวมถึงภาพความเสียใจของลูกสาวและภรรยาที่สวมกอดร่างไร้วิญญาณ
อาชีพหมอพบเจอการเกิดแก่เจ็บตายมามาก แต่ไม่มีครั้งไหนสัมผัสหัวใจเขาได้เท่าการเสียชีวิตของชายคนนั้น ลูกสาวผู้เสียชีวิตอายุน่าจะใกล้เคียงกับหนูวาววา ลูกสาวที่น่ารัก ในฐานะที่เป็นพ่อคน ปรเมศวร์สงสารครอบครัวผู้เสียชีวิตจับใจ ความสูญเสียนี้ทำให้เขาย้อนกลับมามองตัวเอง ถ้าเขาประสบอุบัติเหตุหรือเป็นอะไรไปจะเป็นอย่างไรต่อไป คนตาย ตายไปแล้วไม่รู้สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่คนเป็นต้องอยู่กับความเสียใจตลอดชีวิต
เพราะรักและคิดถึงลูกสาวแทบขาดใจ ทำให้ปรเมศวร์รักชีวิตและลมหายใจตัวเองมากขึ้น เพื่อจะได้อยู่กับลูกไปนานๆ ถึงแม้ตอนนี้เขาทำพลาดปล่อยให้ลูกสาวย้ายไปอยู่ที่อื่นกับอดีตภรรยาสาว
ธรรมชาติของมนุษย์มักจะโหยหาบางอย่างในช่วงเวลาที่เอากลับคืนมาไม่ได้ ไม่อยากยอมรับว่าเขากำลังเป็นเช่นนั้น
“เพราะความประมาทของคนเดียวทำให้คนอื่นสูญเสียชีวิตตั้งมาก น่าเหนื่อยใจที่ต้องมาเห็นข่าวนี้ทุกวัน คิดเหมือนกันไหมคะ”
แพทย์สาวประจำตึกอุบัติเหตุเข้ามาชวนลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลคุย เขาไม่ตอบ ไม่ลดละความพยายามในการเข้าหา
“ภาพพิมพ์ออกเวร กำลังจะกลับ ชักจะเริ่มหิว เราแวะไปหาอะไรกินก่อนกลับดีไหมคะ ตอบแทนที่สละเวลามาช่วยงานทางนี้”
ปรเมศวร์ ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านโรคหัวใจและหลอดเลือดอยู่ในสถานะโสดทั้งทีคุณหมอสาวๆ พยาบาลสวยๆ ต่างเวียนมาทอดสะพานขายขนมจีบให้ไม่ขาดสาย โปรยเหยื่อลงไปเผื่อปลาตัวโตจะหันมาสนใจกินเหยื่อแล้วติดเบ็ดจนคายไม่ออก เท่าที่รู้มา ปลาตัวนี้ไม่ใช่ใครจะกินได้ง่าย เขาไม่สนใจจะสนิทสนมหรือศึกษาดูใจกับเพื่อนร่วมงาน หลีกเลี่ยงไม่ให้เรื่องไปถึงหูผู้ใหญ่ แต่ของอย่างนี้ไม่ลองไม่รู้หล่อนอาจจะโชคดีที่สุดในโรงพยาบาลก็ได้
“ตามสบายครับ ผมชอบกินข้าวคนเดียวมากกว่า”
มั่นใจได้ไม่ถึงเสี้ยววินาที ชายหนุ่มทำลายสะพานที่ทอดยาวไปหาเละเทะไม่มีชิ้นดี เขาไม่สนใจว่าคนที่คุยด้วยเป็นใคร หน้าตายังไง เชื่อที่คนอื่นคุยกันแล้ว ว่าหมอปลื้มไม่ใช่คนที่ใครคิดจะได้ก็ได้
ชีวิตการทำงานผ่านพ้นในแต่ละวันไม่ทำให้ปรเมศวร์มีความสุข
เขาเอื่อยเฉื่อย ไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีความสุข ไม่รู้จะทำงานหนักไปเพื่อใครหรือเพื่ออะไร เขาซื้อบ้านเดี่ยวในหมู่บ้านไกลจากโรงพยาบาล เพื่อเป็นข้ออ้างในการไม่มาหาลูกสาวที่ครั้งหนึ่งเคยไม่ต้องการ แต่หลังจากหย่าร้างภรรยาพาลูกสาวย้ายออกไป เขากลับมาที่นี่ทุกวัน เปลี่ยนความคิดไปอีกแบบ ระยะทางไม่ได้เป็นปัญหา อคติต่างหาก ที่เพิ่มระยะทางขึ้นมาหลายเท่าให้เขาไม่อยากมา วางอคติทิฐิและความไม่พอใจลงไป เขาสัมผัสได้ถึงแก่นแท้ของคำว่าครอบครัว ครอบครัวที่มีพ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า
‘ญารักพี่ปลื้ม’
ถึงแม้จะเมามากแต่เขาจำเหตุการณ์ค่ำคืนนั้นได้ชัดเจน ความสัมพันธ์ทางกายเฉกเช่นสามีภรรยาไม่เคยมีหลายปี กลับมามีอีกครั้ง แต่ในรุ่งเช้า ภรรยาสาววางตัวเฉยราวกับไม่มีอะไร ปรเมศวร์ไม่ต้องการรื้อฟื้นวางตัวเฉยแบบเดียวกัน เขาอาบน้ำแต่งตัวบอกลาลูกสาวเรียกแท็กซี่กลับมาคอนโดที่อาศัย อยากลืมเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนกลับกลายเป็นว่าตอกย้ำตัวเองให้จดจำทุกรายละเอียด เสียงญาตาวีเรียกชื่อเขาอ่อนหวานขณะมีความสัมพันธ์ทางร่างกาย หล่อนโอบกอด บอกรัก ในขณะเดียวกันเขาได้ยินเสียงหล่อนร้องไห้ไม่อยากเลิกกับเขา แปลกใจกับความทรงจำเด่นชัด เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้า ญาตาวีไม่เคยแสดงออกว่ารู้สึกดีกับเขา หล่อนไม่โวยวาย ไม่พูดถึง ทำตัวปกติ จนเขาวางใจว่าหล่อนไม่โกรธที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง แต่สัปดาห์ให้หลังเขาอึ้งจนพูดไม่ออกเมื่อได้รับเอกสารคำร้องขอหย่า ผู้ชายเอาแต่ใจไม่แคร์ใครหน้าไหนไม่เคยมีน้ำตา มันกลับไหลออกมาในวันที่รู้ตัวว่าสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดไปแล้ว
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ส่วนตัวดังรบกวน แสดงชื่อผู้อำนวยการ เขาอยากพักผ่อนเงียบๆ ในบ้านที่ลูกสาวเคยอาศัย จงใจไม่รับ แต่อีกฝ่ายงัดไม้ตายใช้โทรศัพท์แม่โทรมา
“ออกจากโรงพยาบาลตั้งนานเมื่อไหร่จะถึงบ้านสักที ลืมแล้วเหรอ พ่อสั่งให้แกกลับมากินข้าวที่บ้าน”
เสียงเอาแต่ใจแว้ดมาตามสาย ไม่ต้องอยู่ต่อหน้า ปรเมศวร์สามารถคาดเดาได้ว่าท่านกำลังทำหน้าตาแบบไหน
“เลิกบังคับผมสักที บอกหลายครั้งว่าไม่อยากกลับ! ไม่เคยฟังผมบ้าง ชอบบังคับให้ผมกลับไปเจอหน้าเมียน้อยพ่ออยู่ได้!”
“พ่ออยากเจอหน้าลูก อยากกินข้าวกับลูก แค่สัปดาห์ละครั้งไม่ได้เลยเหรอ ตอนอยู่โรงพยาบาลเราไม่เคยมีเวลาว่างคุยกัน”
“ผมไม่มีอะไรจะคุย ไม่ต้องโทรมาอีก ผมอยากพักผ่อน”
“ถ้าอยากพักผ่อนจริงตามที่อ้าง ทำไมไม่กลับคอนโดฯ จะไปบ้านหลังนั้นทำไม! แทนที่จะกลับบ้านมาหาพ่อแม่กลับเอาเวลาไปอาลัยอาวรณ์เด็กใจแตก ในเมื่อมันอวดดีอยากเลี้ยงลูกเองก็ปล่อยมันไป จะสนใจทำไม อีกหน่อยเงินขาดมือหมดปัญญาเลี้ยงลูกมันก็ซมซานกลับมาหาพวกเรา! คนเคยเลี้ยงลูกอยู่บ้านไม่เคยออกไปทำงานหาเงิน คอยแต่แบมือขอเงินแกใช้จะไปรอดสักกี่น้ำ มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าเป็นแผนโก่งค่าเลี้ยงดู คาดหวังให้พ่อแม่คิดถึงหลานมากๆ เพื่อจะได้ขูดรีดเงินจากพวกเรา ฝันไปเถอะ! แกก็ตาสว่างได้แล้ว ไม่ต้องโอนเงินให้มัน ปล่อยให้หาใช้เอง! ถ้ายังเลี้ยงดูเหมือนเดิมก็จะไม่มีวันสำนึกผิด ปล่อยให้อดมื้อกินมื้อบ้าง ต่อไปเด็กคนนั้นจะได้ไม่กล้ามีปัญหากับพวกเรา!”
“พ่อจะใจร้ายกับหลานยังไงก็เรื่องของพ่อ! แต่อย่ามาบอก อย่ามาสอนผิดๆ ให้ผมทำอย่างนั้น! พูดออกมาได้ยังไง! เหมือนลูกผมไม่ใช่หลานพ่อ ทีกับลูกธี พ่อเห่ออย่างกับอะไร มีของดีๆ ซื้อมาให้เมียมันตลอด ให้เงินรับขวัญตั้งแต่เมียมันยังไม่คลอด แต่ทีกับผมพ่อกลับมาบอกให้ลอยแพลูกตัวเอง รักหลานไม่เท่ากันก็แค่หุบปาก! หุบปากไปเลย! ไม่ต้องมายุ่งกับผม ลูกผมพ่อก็ไม่ต้องมายุ่ง!”
“พ่อไม่ได้ไม่รักหลาน แค่อยากสั่งสอนเด็กอวดดี! เลิกตีโพยตีพายทำให้เป็นเรื่องใหญ่แล้วกลับมาคุยกันที่บ้าน พ่อจะรอจนถึงหนึ่งทุ่ม ไม่มาได้เห็นดีกัน! สมบัติทุกอย่างที่เป็นของแกพ่อจะยกให้ธี แกจะไม่ได้อะไรจากพ่อแม้แต่สตางค์เดียว รวมถึงแม่ของแกด้วย!”
“โธ่เว้ย” ปรเมศวร์ขว้างโทรศัพท์กระแทกกำแพง คำรามลั่นหยิบจับอะไรได้ขว้างลงพื้น เกลียดพ่อเข้าไส้ เข้าเส้นเลือด อยากกรีดทุกอย่างในตัวออกมาส่งคืนเพื่อจะได้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน