"นั่นไง คนนั้นน่ะ..."
เสียงบอกต่อ ๆ กันที่ดังตั้งแต่หน้าศาลาสวดอภิธรรมศพแห่งหนึ่ง กับร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำล้วนที่กำลังเดินมาทางที่พวกตนนั่งอยู่ จมูกเขาโด่งเป็นสันสวยงาม หน้าตาคมคาย แต่ดวงตากลับมีแว่นตาสีดำอันใหญ่ปิดไว้
ผู้ชายคนนี้ คนที่พรากพ่อของเธอไปตลอดกาล
เขาตรงเข้าไปกราบเท้าย่าของเธอที่นั่งบนเก้าอี้ ย่าของเธอนั้นก็พูดจากับเขาสองสามคำพอเป็นพิธี จากนั้นก็พยักพเยิดมาทางเธอที่กำลังนั่งทำหน้าที่จุดธูปให้กับแขกเหรื่อที่มาในงานนี้
คล้ายจะเห็นท่าทีอันลำบากใจจากเขาขึ้นมาแวบ แต่แล้วเขาก็ลุกขึ้น แล้วเดินมานั่งคุกเข่าตรงหน้าเด็กสาวตัวผอมบางที่กำลังนั่งร้องไห้เงียบ ๆ คนเดียว
ชายหนุ่มปลดแว่นตาสีดำออก ดวงตาคมโศกคู่นั้นมีแววเศร้าสลดจนรู้สึกได้ กับความรู้สึกผิดที่ประดังประเดเข้ามาอีกครั้ง เขามองหน้าเด็กสาว แล้วพูดกับเธอ
"ฉัน... ขอโทษ ไม่มีอะไรจะแก้ตัวทั้งนั้น"
ทีแรกเธอก็โกรธ เกลียดเขา เพราะเขามาพรากบิดาที่แสนดี อบอุ่น บิดาที่ขยันทำมาหากินอย่างซื่อสัตย์สุจริตไปจากเธอตลอดกาล ทว่า หากจะตะโกนใส่หน้าเขานับร้อยครั้ง พันครั้งว่า 'เอาพ่อหนูคืนมา! เอาคืนมา!'
เขาก็ให้ในสิ่งที่เธอต้องการไม่ได้อยู่ดี
เมื่อไม่รู้จะพูดหรือทำอะไรไปได้มากกว่านี้ เด็กสาวแค่จุดธูปแล้วยื่นให้เขารับไป
"ขออโหสิกรรมต่อพ่อหนูเถอะ อย่ามาขอโทษหนูเลย" เธอบอกเรียบ ๆ เขารับธูปดอกนั้น แล้วหันไปไหว้ผู้ตาย ชายหนุ่มก็หันมามองหน้าเธออีกครั้ง ก่อนจะลุกไปนั่งเคียงข้าง ๆ กับย่าเธอ
เมื่อพระเริ่มสวดอภิธรรม เธอก็ลุกไปนั่งกับย่าตรงเก้าอี้ด้านหน้าสุด โดยถัดจากย่าเธอก็เป็นเขา เมื่องานในคืนแรกนี้เสร็จสิ้น เขาก็หันมาทางย่า กราบลงตรงหน้าอย่างเชื่องซึม แล้วพูด "คุณย่าไม่ต้องห่วงนะครับ ผม... สัญญาว่าจะดูแลจัดการงานนี้เป็นอย่างดี"
คนแก่คราวย่าวางฝ่ามือลงบนศีรษะชายหนุ่ม ลูกชายของตนก็ตายไปแล้ว ต่อจะให้โกรธ เกลียดชายหนุ่มตรงหน้าแค่ไหน คนนี้ที่นอนอยู่ในโลงก็ไม่มีทางฟื้นคืนได้อยู่ดี
หลังจากงานสวดอภิธรรมคืนแรกผ่านไป...
เขาก็มาอีกทุกคืน เธอไม่อยากคุยกับเขา แต่ย่าเธอก็คุยกับเขา เขาชอบมองหน้าเธอบ่อย ๆ จนคืนสุดท้าย ก่อนที่เขาจะกลับ ย่าของเธอก็เรียกเธอไปพบ
แล้วบอกให้เธอไหว้เขาเสีย เขาบอกว่าพรุ่งนี้เขาคงไม่ได้มางานศพเพราะมีบินไปต่างประเทศ แล้วเขาจะให้ทนายความมาคุยเรื่องการเยียวยาชดใช้ จากนั้นเขาก็ลากลับไป
"ทำไมย่าต้องไปพูดดีกับเขา!" เด็กสาวถามย่า เพราะเธอยังเด็กเลยไม่ค่อยเข้าใจอะไร ผู้ชายคนนี้ขับรถชนรถของพ่อ ลูกชายของย่าแท้ ๆ ตาย แต่ทำไมย่าดูไม่โกรธ กลับแสดงความพออกพอใจ และต้อนรับเขาเป็นอย่างดีอีกด้วย
"ก็ถ้าพูดไม่ดีกับเขา แล้วจะทำให้พ่อของเราฟื้นขึ้นมามั้ย"
เด็กสาวไม่ตอบ แต่กลั้นเสียงสะอื้นอีกครั้ง พลางเหลียวมองโลงที่มีพ่ออยู่ในนั้นตรงหน้า แล้วมือหยาบกร้านของคนเป็นย่าก็บรรจงเช็ดน้ำตาให้หลานสาว ก่อนจะย้ายมาลูบศีรษะต่อด้วยความสงสารแทน "คิดซะว่าพ่อเรามีอายุไขแค่นี้นะ ...พอถึงเวลาเขาก็ต้องจากพวกเราทั้งสองไปอยู่ดี"
เด็กสาวค่อย ๆ เอาตัวซบลงกับอกของย่า แล้วปาดน้ำตาเอง
"เกิดมาใครก็ต้องตายกันทั้งนั้น จะช้าหรือเร็ว และสักวัน ย่าก็ต้องตายเหมือนพ่อเราเหมือนกันนะ"
เธอพยักหน้ารับทั้งน้ำตา เริ่มนึกคำสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในรายการธรรมะต่าง ๆ ที่ย่ามักจะเปิดให้ฟัง จนค่อย ๆ ปลงกับชีวิตได้ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นสูดจมูกฟุดฟิด พลางถาม
"แล้ว...เขามาพูดอะไรกับย่า"
"เขามาเสนอการอะไรนะ การเยียวยา อ้อ เขาบอกว่างานศพนี้เขาจะเป็นธุระจัดการให้ทั้งหมด เขาจึงมาทุกวัน แล้วหลังจากนี้เขาจะให้ทนายมาติดต่อแทน เขาจะชดใช้ค่าเสียหายและอื่น ๆ อีก รวมถึงดูแลเราสองคนย่าหลานไปจนกว่าหลานจะเรียนจบ ดูแลตัวเองได้ เห็นเขาพยายามจะรับผิดชอบทุกอย่าง ย่าก็เลยโกรธเขาไม่ลง"
"เขารวยมาก?" เธอถามทันที เพราะตลอดเวลาที่อยู่ในงาน เธอมักจะได้ยินคนซุบซิบว่าคู่กรณีของพ่อร่ำรวยมหาศาล
คนเป็นย่าขมวดคิ้ว "อันนี้ย่าก็ไม่รู้นะ แต่เห็นเขาเอาใจใส่พวกเราดี ย่ารู้แค่นี้ก็พอแล้ว" ก่อนจะตัดบทเพราะเห็นว่าเริ่มดึกมากแล้ว "เฮ้อ พอเถอะ! เดี๋ยวเขาจะมาปิดศาลาแล้ว เรากลับบ้านกันดีกว่า นั่น... เขาให้คนขับรถมารอรับส่งเราที่วัดด้วยนะ ไปเถอะ"
เด็กสาวก้มหน้าเช็ดน้ำตา หันไปมองรูปบิดาแล้วฝืนยิ้มเพราะภายในใจยังเศร้าอยู่
"พ่อไม่ต้องเป็นห่วงหนูกับย่านะ เขาบอกกับย่าเองว่าจะดูแลหนูกับย่าจนกว่าหนูจะรับผิดชอบตัวเองได้" เธอบอกพ่อ เพราะไม่อยากให้ดวงวิญญาณของท่านมีห่วงกังวลอะไรอีก อยากให้ท่านไปสู่สุคติตามความเชื่อของคนส่วนใหญ่มากกว่า
แล้วเด็กสาวและย่าก็จูงมือกันเดินลงศาลาตรงไปที่รถเบ้นซ์คันสีดำที่จอดรอตรงหน้าต่อไป