ทรงโปรดก็กำลังคิดถึงเรื่องทรงรัก ขณะขับรถขึ้นบนทางด่วน และก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่หญิงสาวข้างตัวก็ยังติดใจอยู่กับเรื่องขาทั้งสองข้างของทรงรักอยู่ด้วย
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศในรถเงียบจนเกินไป ต้องมนตร์จึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง เพื่อถามว่า "เรื่องของคุณรัก..."
เขาเบนสายตามองเธอเล็กน้อย ขณะประคองตัวรถที่วิ่งด้วยความเร็วสม่ำเสมอ
"เกิดอะไรขึ้นกับคุณรักหรือคะ ทำไมถึง..."
เห็นหญิงสาวค่อยๆ เอ่ยด้วยความเกรงใจ เขาเลยรีบเข้าประเด็นเรื่องที่เธออยากรู้ให้ทันที "พิการ...ใช่มั้ย"
"ค่ะ"
ทรงโปรดถอนใจก่อน หญิงสาวเลยนึกว่าเขากำลังลำบากใจที่จะพูดเรื่องปมด้อยน้องสาวกับเธอ เลยตัดบทให้เอง "ช่างเถอะค่ะ ถ้าคุณอึดอัดที่จะเล่า ต้องไม่อยากรู้ก็ได้"
"รู้สิ... เธอควรได้รู้ เพราะเธอเองก็อยู่ในฐานะคนในบ้านของฉันแล้ว"
"แม้จะแค่ในนามหรือคะ"
"จะในฐานะอะไรเธอก็สำคัญสำหรับฉันนะ...ต้อง"
หญิงสาวที่สนทนากับเขาอยู่ดีๆ ก็ราวกับเกิดความรู้สึกวูบวาบขึ้น เธอมองไปข้างหน้าสลับกับมองคนที่นั่งขับรถด้วยความนิ่งเฉย รู้สึกทำตัวไม่ถูกกับคำพูดเมื่อครู่ของเขาขึ้นมาชั่วเวลาหนึ่งทีเดียว
ทางทรงโปรดเองก็เห็นทางหางตาว่า หญิงสาวดูเลิ่กลั่กกับคำพูดนั้น แต่เขาก็ทำเฉยๆ นิ่งๆ ไปเสีย ทั้งที่ความจริง ใช่...เขาจงใจพูดและก็จะให้เธอค่อยๆ ได้เห็นถึงความชัดเจนของความรู้สึกเขาที่มีต่อเธอ เพราะทุกนาทีต่อจากนี้ไปสำหรับเขามันมีค่ามาก เขาต้องแข่งเวลากับการควานหาตัวพี่ชายเธอ พร้อมกับทำให้เธอรักเขาให้ได้ด้วยนั่นเองทรงโปรดแอบชำเลืองดูคนข้างตัวที่ดูเลิ่กลั่กอีก เนื่องจากคงไม่แน่ใจว่ากำลังโดนสามีแต่ในนามคนนี้ 'จีบ' อยู่หรือเปล่า แล้วเขาก็เป็นฝ่ายวกกลับมาถึงบทสนทนาที่เธอถามเขาไว้ว่า
"เรื่องของรักมันเกิดขึ้นมานานแล้ว อย่างที่เธอเห็นว่าขาข้างหนึ่งดูสั้นกว่าอีกข้าง เพราะ... ตอนคลอด รักมีน้ำหนักตัวที่มากเกินไป เลยเป็นเด็กที่คลอดยาก หมอต้องให้ยาเร่งคลอด ใช้เครื่องดูด ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บจากการคลอด ขาข้างซ้ายมีอาการห้อเลือด รักถูกนำไปผ่าตัดฉุกเฉิน มีการถ่ายเลือดทางสายสะดือ และรักก็ติดเชื้อในกระแสเลือด มีไข้สูง มีภาวะเม็ดเลือดขาวสูงผิดปกติ ตอนนั้นทางโรงพยาบาลกำลังเพาะเชื้อหาอยู่ยังไม่ทราบผล แต่ว่าหนองได้ทำลายข้อเท้าข้างหนึ่งจนเกิดความเสียหาย ผลกระทบทุกอย่าง... ก็อย่างที่เธอได้เห็น รักกลายมาเป็นคนพิการ ขาข้างซ้ายสั้นกว่าอีกข้าง ต้องเดินกระเผลกๆ และผลกระทบจากตอนนั้น ก็ไม่ได้ส่งผลทางร่างกายของรักอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อทางจิตใจเราทุกคน โดยเฉพาะตัวของรักเอง เธอกลายเป็นเด็กที่น่าสงสาร ทุกคนในบ้านเห็นใจรักมาก คุณพ่อ คุณแม่และฉันจึงพยายามชดเชยให้รักทุกอย่างเท่าที่จะทำได้"
ต้องมนตร์รับฟังด้วยความสนใจเป็นอย่างดี ก่อนจะถามถึงมารดาของเขาต่อว่า "แล้วคุณแม่ของคุณล่ะคะ"
"ท่านเสีย ตอนที่รักอายุห้าขวบ" ตอบคำถามเธอแล้ว ก็เล่าต่อ "ตอนเด็กรักกลายเป็นเด็กเก็บตัว เธอรู้สึกอับอายที่ตัวเองอยู่ในสภาพแบบนี้ เธอจึงใช้วิธีเรียนแบบโฮม สคูล คุณพ่อให้คุณครูมาสอนรักที่บ้าน จนรักจบมัธยมปลาย แม้รักจะเป็นคนเก็บตัว แต่รักก็ชื่นชอบเรื่องแฟชั่น เสื้อผ้า ความสวยงามเหมือนเด็กสาวทั่วไป คุณพ่อจึงตัดสินใจส่งรักไปเรียนต่อด้านการออกแบบเสื้อผ้าที่ต่างประเทศ โดยฝากรักให้อยู่คุณอาที่เปิดร้านอาหารไทยที่นั่นให้ท่านดูแลรักแทน จนรักเรียนจบด้านดีไซเนอร์ได้ทำงานที่นั่นต่อ กระทั่งวันนึง คุณพ่อเกิดอาการหัวใจล้มเหลว ขณะกำลังเดินทางออกจากบริษัท รักจึงต้องกลับมางานศพของคุณพ่อ"
ทรงโปรดพูดถึงตรงนี้น้ำเสียงเขาก็หายไปดื้อๆ พร้อมกับเหลือบมองหญิงสาวข้างกายด้วยความระมัดระวังไปด้วย
"คุณพ่อคุณ ท่านเสียนานรึยังคะ" เธอถามอีกเพราะ เธอแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับในบ้านของเขาเลย เธอทราบแต่ว่าเขาขับรถชนพ่อของเธอ เขาเข้ามาดูแลเธอและย่า พร้อมกับชดเชยความเสียหายให้ และเขาก็มีความสนิทสนมกับย่าของเธอมากกว่าเธอเอง
"ก็...เมื่อหกปีที่แล้ว..." เขาตอบน้ำเสียงดูเจ็บปวด พร้อมกับเหลือบมองหน้าเธอด้วย
หญิงสาวขมวดคิ้วเข้าด้วยกันทันที ก่อนจะพึมพำออกมาว่า "เป็นปีเดียวกันกับที่พ่อ...ตายสินะ"
บังเอิญจริงๆ เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นในปีเดียวกันหมด คุณพ่อของเขาเสียเพราะหัวใจล้มเหลว ทรงรักจึงต้องเดินทางกลับมาและอยู่ที่ไทยถาวร และพ่อของเธอก็ถูกเขาขับรถชน
ทรงโปรดเหลือบมองคนที่นั่งนิ่ง แล้วเขาก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ที่ต้องมนตร์ไม่ได้ถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องของทรงรักอีก อาจเป็นเพราะ เรื่องราวที่เขาเล่ามา ทำให้เธอนึกปะติดปะต่อได้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นปีเดียวกันกับที่บิดาเธอเสีย จึงทำให้เธอเกิดความรู้สึกหม่นๆ ขึ้นมาในหัวใจ และเป็นฝ่ายเงียบไปเองในที่สุด เพื่อไม่ให้ทรงโปรดพูดอะไรขึ้นมาอีกก็ได้
สำหรับเขาก็พูดได้เพียงเท่านี้ ที่พูดขึ้นมาทั้งหมดแม้บางส่วนเธอไม่ได้เป็นฝ่ายถามเองก็ตาม เพราะเขาเพียงแต่หวังว่า ตรงนี้...เวลานี้ จะเป็นสิ่งที่เขาใช้สารภาพความผิดต่อเธอทางอ้อมไปด้วยเท่านั้น ซึ่งเขาทำได้เท่านี้จริงๆ เพราะเธอคงไม่มีทางได้รู้ 'บางเรื่อง' ไปตลอดกาล...