ตอนที่ 4 แวะเติมทรูเพื่อการเป็นว่าที่นางเอก

3053 Words
ตอนนี้ข้าก็มาอยู่ในร่างนี้ได้ห้าวันแล้ว ในวันที่ผ่านมาสิ่งที่ต้องทำก็คือศึกษาตำราที่มีอยู่ในแหวนมิติ ไม่ว่าจะตำราฝึกพลังทั้งสองอย่าง ตำราอักขระ ตำราสมุนไพรและยังมีการรักษาด้วย ซึ่งสิ่งที่ทำให้ต้องประหลาดใจก็คือข้าสามารถจดจำเนื้อหาในตำราพวกนั้นได้ทุกตัวอักษร เพียงการอ่านแค่ครั้งเดียวและเพียงแค่นึกถึงก็จะมีข้อมูลพวกนั้นออกมาทันทีและยังสามารถทำความเข้าใจได้อย่างง่ายดายอีกด้วย นี่มันสุดยอดเกินไปแล้วความเทพทรูที่คนทะลุมิติต่างก็ขอพรให้มี ข้าได้มันมาแบบไม่ต้องขอเลยช่างโชคดีจริงๆ และตอนนี้ร่างกายก็เริ่มแข็งแรงขึ้นแล้ว วันนี้ท่านพ่อจะพาข้าไปทดสอบวัดระดับพลังที่หอกลางของแคว้น เพราะทุกคนรวมทั้งตัวข้าเองก็อยากรู้ว่าตัวเองมีพลังถึงขั้นไหนธาตุอะไรจะได้เริ่มฝึกฝนสักที ทุกคนอาจจะสงสัยแล้วทำไมข้าไม่ทดลองใช้ดูจะได้รู้ใช่ไหม ทุกคนคงไม่ลืมสาเหตุที่ทำให้ร่างนี้นอนเป็นผักจนข้าได้เข้ามาอยู่ก็เพราะการกระตุ้นพลังยังไงล่ะ เพราะฉะนั้นข้าก็จะไม่ทำอะไรด้วยตัวเองจนเกิดความเสี่ยงขึ้นอีกครั้งหรอก ขนาดตอนนั้นมีผู้เชี่ยวชาญร่างนี้ยังเกิดเรื่องได้เกิดทำเองได้ไปนอนเป็นผักอีกรอบหรือตายไปจะทำไง บ่นมาก็นานซึ่งระหว่างที่บ่นในใจอยู่นี่ ข้าก็นั่งเป็นตุ๊กตาให้สองมู่จัดการแต่งตัวเพื่อจะออกไปโชว์ตัวนอกจวนครั้งแรก แต่ข้ายอมรับนะสองมู่นี่มีรสนิยมที่ดีจริงๆ ไม่ว่าจะชุด เครื่องประดับ ทรงผมทั้งสองมู่ทำได้ถูกใจข้าทุกครั้งเลย โดยที่ไม่ต้องบอกเลยสักครั้ง เกิดมาเป็นคุณหนูตระกูลร่ำรวยนี่มันดีจริงๆ แถมครอบครัวก็รักใคร่ พี่ชายทั้งสองคนก็มีแวะมาพูดคุยเล่นกับข้าบ่อยๆ ตอนนี้พี่ใหญ่เรียนอยู่ปีที่สามของสำนักศึกษาหวงหลง ทุกครั้งที่พี่ใหญ่กลับมาพี่ชายทั้งสองคนก็จะพากันมาคอยเล่าเรื่องต่างๆ ทั้งในสำนักและในเมืองทำให้ข้าได้เปิดหูมากเลยล่ะ ส่วนเปิดตานั้นวันนี้ข้าจะได้ไปเปิดด้วยตนเองแล้ว เมื่อแต่งตัวเรียบร้อย ทั้งสองมู่ก็พาข้าเดินไปที่เรือนคลายหิวเพื่อรับอาหารพร้อมกับทุกคนก่อนจะออกเดินทางนั้นเอง ท่านพ่อบอกว่าหอกลางตั้งอยู่ตรงข้ามกับสำนักศึกษาเพราะฉะนั้นพี่ชายทั้งสองก็จะไปพร้อมกัน ตอนนี้อีกสองวันจะถึงเวลาเปิดเรียนของสำนักศึกษา พี่ใหญ่จะพาพี่รองไปลงชื่อเพื่อเข้าหอพัก เพราะปีนี้พี่รองจะเข้าเรียนเป็นปีแรก ซึ่งที่สำนักศึกษาหวงหลงนักเรียนทั้งชายหญิงจะต้องอยู่หอพักจนกว่าจะจบการศึกษาซึ่งเป็นระยะเวลาห้าปี ตอนนี้ข้ามายืนอยู่หน้าจวนเลยถือโอกาสมองสำรวจรอบๆ ไปด้วย แต่สิ่งที่มองเห็นมีเพียงกำแพงยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา ส่วนฝั่งตรงข้ามก็เป็นลำธารที่ไหลผ่านขนานไปกับกำแพงจวนเลย พี่ชายทั้งสองเห็นสีหน้ามึนงงของข้าก็พากันหัวเราะและบอกให้ฟังว่า "จวนของเราตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมือง ขนานเลียบไปกับลำธารที่ไหลมาจากภูเขาของแคว้นเสวี่ยนอู่ และมันจะไหลลงไปรวมกับแม่น้ำใหญ่ที่ด้านล่างและไหลไปที่อื่นอีก ส่วนละแวกนี้จะมีจวนอื่นอีกสี่จวนซึ่งจะอยู่อีกด้านและทางฝั่งติดลำธารนี่เรามีท่าเรือเล็กใช้ขึ้นสินค้าด้วย ไว้พี่ใหญ่จะพาไปเที่ยววันหน้านะ" พี่ใหญ่กล่าว "เจ้าค่ะ พี่ใหญ่นอกจากรูปงามแล้วยังใจดีมากอีกด้วย" ข้ากล่าวชมพร้อมรอยยิ้มกว้างจนตาหยี เมื่อมีโอกาสข้าก็ไม่พลาดที่จะประจบว่าที่ขาทองคำอยู่แล้ว ซึ่งพี่ใหญ่และทุกคนที่ยืนอยู่ก็หัวเราะอย่างเอ็นดู ยืนรอไม่นานก็มีรถม้าคันใหญ่หรูหราเคลื่อนมาจอดที่ด้านหน้าประตู มีบ่าวยกบันไดเล็กมาวางไว้ให้เดินขึ้น ท่านพ่อเดินนำขึ้นไปก่อน ตามด้วยข้าที่มีพี่ใหญ่ช่วยประคอง และก็ตามด้วยพี่รอง เมื่อนั่งบนรถม้าแล้วสิ่งที่ข้าต้องทำก็คือการสำรวจ สถานที่ไม่รู้จักสิ่งของไม่คุ้นตาถ้าไม่ค่อยมองสำรวจจะให้หลับตานั่งแล้วรับรู้ได้เองหรือยังไงมันก็ไม่ใช่ไหมล่ะ และสิ่งที่ข้าเห็นก็คือห้องโดยสารขนาดใหญ่ที่น่าจะจุคนได้5-6คน ถ้าเทียบก็คงประมาณรถเอสยูวีในยุคสองพันนั่นแหละ โดยมีเก้าอี้นั่งที่ติดผนังทั้งสามฝั่ง โดยจะมีหน้าต่างซ้ายขวาและมีผ้าม่านปิดเอาไว้อยู่ ข้านั่งตรงกลางกับท่านพ่อ ส่วนพี่ชายทั้งสองนั่งอยู่ด้านข้างทั้งสองฝั่ง ส่วนประตูรถม้าทางขึ้นจะอยู่ด้านหน้าหรือตรงข้ามกับที่ข้านั่งนั้นเอง เมื่อนั่งลงเรียบร้อยพี่ใหญ่ก็บอกให้คนขับออกรถม้าได้ รถม้าจึงค่อยๆ วิ่งออกไปอย่างช้าๆ เมื่อรถวิ่ง ม่านที่ปิดหน้าต่างก็เริ่มปลิวข้าจึงพอมองเห็นข้างนอกบ้างนิดหน่อย พี่รองคงสังเกตเห็น จึงได้เอาม่านผูกไว้ เพื่อให้ข้าได้มองถนัดขึ้น ข้าเห็นแบบนั้นจึงหันไปส่งยิ้มหวานให้พี่รองหนึ่งทีเป็นการขอบคุณ และก็มองด้านนอกต่อไปซึ่งตอนนี้สิ่งที่เห็นก็ยังคงเป็นกำแพงอยู่ รถม้าวิ่งมาสักครู่ข้าก็เริ่มเห็นบ้านคน ร้านค้า ตรอกซอกซอยเริ่มมีมากขึ้น ผู้คนเดินสวนกันไปมา มีรถม้าวิ่งตามทางช่างเป็นภาพที่ตื่นตาตื่นใจจริงๆ เป็นการยืนยันอีกครั้งว่าข้าได้ทะลุมาอยู่ในยุคจีนโบราณจริงๆ แต่คงไม่ใช่ในโลกใบเดิมอีกแล้ว บ้านเรือนร้านค้าส่วนใหญ่สร้างจากไม้มีสองชั้นบ้าง สามชั้นบ้าง และชั้นเดียวก็มี ผู้คนไม่ว่าชายหรือหญิงจะมีผมยาว บ้างผูกผมบ้างปล่อยบ้างก็มวยผมขึ้น ในซีรี่ย์จีนเป็นแบบไหนที่ข้าเห็นตอนนี้ก็คล้ายๆ แบบนั้น แต่ผู้คนดูมีชีวิตชีวามากกว่าการที่ทำท่าทางเดินไปเดินมาแบบในซีรี่ย์ทั้งหลายนะ ที่ไม่ว่ากี่ฉากก็เดินกันอยู่นั่นแหละ เอาล่ะเผลอแขวะจนพอใจกลับมาสนใจบรรยากาศด้านนอกกันต่อ อืมที่ท่านแม่ว่าแคว้นกลางร่ำรวยคงจะจริง เพราะจากที่ข้าเห็นผ่านๆ มาไม่ว่าจะริมทางที่รถม้าผ่านหรือในตรอกซอกซอยที่พอมองเห็น ทุกคนดูแต่งกายสะอาดสะอ้านเสื้อผ้าผมเผ้าเรียบร้อย ถนนหนทางหรือบ้านเรือนร้านค้าก็ดูมีระเบียบเรียบร้อย ข้ายังได้เห็นคนใส่ชุดคล้ายๆ เครื่องแบบเดินเป็นกลุ่มละสี่ห้าคน ตามถนนและแยกต่างๆ หลายกลุ่มซึ่งเดาว่าคงเป็นคนคอยดูแลความเรียบร้อย รถม้าขับมาสักพักหนึ่งก็หยุดได้ยินเสียงคนขับรถม้าด้านนอกแจ้งว่าถึงที่หมายแล้ว พี่รองจึงเอาม่านลงและจัดชุดของตนเอง ข้าหันไปดูท่านพ่อกับพี่ใหญ่ก็ทำเช่นกัน ข้าก็เลยก้มลงมองดูตัวเองบ้าง แต่ก็ไม่รู้จะจัดอะไรเลยเงยหน้ามองทุกคน ก็ได้รับเป็นรอยยิ้มขบขันส่งกลับมา ท่านพ่อจึงลูบหัวข้าแล้วพาข้าลงรถม้าไป เมื่อลงมายืนอยู่บนพื้นแล้ว ข้าจึงเงยมองอาคารด้านหน้า เป็นอาคารหินอ่อนสีขาวสูงสามชั้น ประตูเปิดกว้างมองเห็นด้านใน ว่ากว้างขวางมากแค่ไหนและยังเห็นคนจำนวนมากเดินไปเดินมาด้วย เมื่อทุกคนลงมาเรียบร้อยแล้ว ท่านพ่อก็พาทุกคนเดินเข้าไปด้านใน ข้ามองเห็นคนที่แต่งเครื่องแบบเหมือนกันคือชุดสีเขียวอ่อน ยืนตามจุดต่างๆ คอยต้อนรับและตอบคำถามผู้คนที่เดินเข้าไปหา ท่านพ่อพาข้าเดินไปด้านในที่มีผู้ชายนั่งอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่ แบบถ้าใครคิดไม่ออกมันมีลักษณะคล้ายเคาน์เตอร์ธนาคารแบบนั้นเลย "คารวะท่านอาจารย์สวี ข้าซานหมิงจะมาขอใช้ห้องลูกแก้ววัดพลังขอรับ" ท่านพ่อพูดพร้อมกับประสานมือ เมื่อท่านพ่อพูดจบคนที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ที่ได้ยินก็หยุดและหันมามองที่ท่านพ่อเป็นตาเดียวรวมถึงตัวของท่านอาจารย์สวีด้วย "คารวะนายท่านซานขอรับ ข้าได้รับจดหมายแจ้งแล้ว เชิญนายท่านซานและทุกคนด้านใน" อาจารย์สวีกล่าวจบก็รีบลุกขึ้นเดินนำผ่านประตูสีทองบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านข้างทันที เมื่อผ่านประตูเข้ามาก็จะเห็นบันไดทำจากหินอ่อนขึ้นสู่ชั้นสองและด้านข้างบันไดก็จะเห็นเป็นประตูห้องต่างๆ อยู่ทั้งสองฝั่ง เมื่อเดินขึ้นมาถึงชั้นสองแล้ว อาจารย์สวีก็เดินเลี้ยวขวาตามราวกั้นวนจนถึงทางขึ้นชั้นต่อไป นอกจากอาคารทำจากหินอ่อนแล้วแม้แต่บันไดก็ทำจากหินอ่อนเช่นกันช่างร่ำรวยจริงๆ เมื่อเดินมาถึงชั้นสามอาจารย์สวีเดินนำไปที่ประตูหนึ่งแล้วเปิดเข้าไป สิ่งแรกที่เห็นคือห้องขนาดใหญ่เพดานสูง มีเวทีหินขนาดใหญ่วางอยู่ตรงกลางห้อง มีแท่งหินที่ด้านบนมีลูกแก้วใสเหมือนลูกแก้วดูดวงแต่มีขนาดใหญ่ประมาณลูกโบว์ลิ่งตั้งอยู่ เมื่อทุกคนเดินเข้ามาในห้องอาจารย์สวีก็เชิญให้ทุกคนนั่งรอก่อนจะขอตัวไปตามผู้ดูแลลูกแก้วมา ภายในห้องมีลักษณะเป็นห้องทรงกลม มีที่นั่งคล้ายอัฒจันทร์ตามสนามกีฬาตั้งอยู่รอบห้อง น่าจะจุคนได้หลายร้อยคนเลยทีเดียว เมื่อนั่งลงแล้วพี่ใหญ่คงเห็นข้าหมุนหน้าดูนั้นดูนี่ไปมาจึงใจดีอธิบายให้ข้าฟังว่า ปกติลูกแก้ววัดพลังจะเปิดให้เด็กที่มีอายุแปดหนาวและทำการเปิดพลังแล้วเข้ามาทำการทดสอบปีละหนึ่งครั้ง แต่ครั้งนี้ท่านพ่อได้เขียนจดหมายเพื่อขอเข้าทดสอบเป็นกรณีพิเศษนั้นเอง พี่ใหญ่ยังเล่าให้ฟังอีกว่าแต่เดิมลูกแก้ววัดพลังเป็นของเทพมังกรทองหวงหลง ซึ่งมีทั้งหมดห้าลูกด้วยกัน เมื่อตอนก่อตั้งแคว้นหวงหลงขึ้นจึงมอบให้ทั้งห้าตระกูลเก็บรักษาคนละหนึ่งลูก แต่ต่อมามีอีกสี่แคว้นก่อตั้งขึ้นและการทดสอบพลังในแต่ละครั้งเด็กที่จะวัดพลังต้องเดินทางมาที่แคว้นกลางซึ่งค่าใช้จ่ายในการเดินทางค่อนข้างมาก จึงทำให้มีเด็กบางคนในแต่ละแคว้นไม่สามารถเดินทางมาทำการทดสอบได้ก็มีไม่น้อย ตระกูลทั้งห้าเล็งเห็นถึงปัญหานี้จึงได้ปรึกษากันโดยให้เอาลูกแก้วที่แต่ละตระกูลเก็บอยู่ ยกเว้นของตระกูลหลง นำไปมอบให้อีกสี่แคว้นเพื่อที่ว่าเด็กที่พลังเปิดแล้วในแต่ละแคว้นจะได้ทำการทดสอบได้ทุกคน พอพี่ใหญ่เล่าจบข้าก็พูดคุยกับทั้งสามคนรออีกสักพักใหญ่ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง จากที่เห็นเป็นชายชราผมขาวหนวดคราวยาวจำนวนสามคนเดินเข้ามาพร้อมกับอาจารย์สวี เมื่อทั้งกลุ่มเดินมาถึงท่านพ่อจึงลุกขึ้นคารวะทั้งสามคนที่มาใหม่ทันที "คารวะผู้อาวุโสสาม ผู้อาวุโสห้า ผู้อาวุโสเจ็ด ขอรับ" ท่านพ่อกล่าว "คารวะนายท่านซานไม่ต้องเกรงใจตัวข้าเองยังคงเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อนอยู่ไม่น้อย คราวนี้ช่างโชคดีที่คุณหนูซานฟื้นขึ้นมาเสียที" ผู้อาวุโสหนึ่งในสามกล่าวขึ้น "นายท่านซานโปรดวางใจถ้าพลังของคุณหนูซานเปิดแล้วการทดสอบวัดระดับพลังก็ไม่น่าจะมีอันตรายใด และทางเรายังได้เชิญผู้อาวุโสสามมาคอยช่วยอีกคน" ผู้อาวุโสอีกคนเป็นผู้กล่าว "ในระหว่างการทดสอบระดับพลัง ข้าจะช่วยกางค่ายกลป้องกันให้อีกทาง รับรองว่าจะไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ แน่นอน" ผู้อาวุโสคนนี้น่าจะเป็นผู้อาวุโสสามเป็นคนกล่าว "ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสทั้งสาม ส่วนนี่คือบุตรสาวคนเล็กของข้าซานเฟิงมี่ที่จะทำการทดสอบขอรับ" ท่านพ่อกล่าวพร้อมกับผายมือมาทางข้า "คารวะท่านผู้อาวุโสทั้งสามข้าน้อยซานเฟิงมี่เจ้าค่ะ" ข้ากล่าวขึ้นพร้อมกับย่อกายคารวะอย่างงดงาม รู้ได้อย่างไรว่างดงาม เพราะข้าได้เรียนและฝึกฝนจนท่านแม่เอ่ยชมมาแล้วนะสิ โฮะๆ เมื่อข้าทำการแนะนำตัวเรียบร้อย ผู้อาวุโสทั้งสามคนก็พยักหน้ารับ พร้อมกล่าวยินดี โชคดี ดีใจ อะไรไม่รู้มากมาย แต่ข้าฟังไม่รู้เรื่องเพราะพวกเขาพูดไปหัวเราะไปหันไปพยักหน้าให้กันไป จนข้างงไปหมดแล้ว ทำท่าร่าเริงอย่างกับแก๊งเทเลทับบี้ นานเท่าไหร่ไม่รู้ข้ายืนจนเริ่มรู้สึกว่าขาแข็ง ในที่สุดก็มีหน่วยกล้าตายเอ่ยขัดขึ้นซึ่งก็คืออาจารย์สวีนั่นเองเป็นผู้กล่าวว่าเวลาไม่เช้าแล้ว ให้เริ่มทำการทดสอบเผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่ชักช้าเกินไป อะไรคือเวลาไม่เช้า มันจะไปเช้าได้ยังไงนี่มันจะเที่ยงแล้วมั้งเพราะตอนนี้ท้องข้ามันเริ่มก่อกวนเรียกร้องหาอาหารแล้ว ขืนยังยืนหัวเราะกันอยู่ข้าจะแกล้งเป็นลมซะเลย แต่จะโทษใครได้ละก็เมื่อเช้าข้าตื่นเต้นมากที่จะได้ออกมา เลยกินข้าวไปครึ่งถ้วยเองนึกว่าจะเสร็จเร็วจะให้ท่านพ่อพาไปลองอาหารที่เหลาอาหารเสียหน่อย แต่แค่เดินทางแถมยังต้องมานั่งรอแล้วยังมาต่อด้วยแก๊งเทเลทับบี้นี่อีก กว่าจะเสร็จข้าจะเป็นลมก่อนไหมนะ แต่จะพูดอะไรได้ข้าเป็นแค่เด็กสิบขวบ ทำได้แค่ยืนยิ้มเอียงคอซ้ายทีขวาทีตามแต่เสียงใครพูด ซึ่งเค้าพูดอะไรข้าก็ฟังไม่เข้าใจเฮ้อเพลีย เมื่อทุกคนตั้งสติได้แล้วว่าเรามาทำอะไรกัน ผู้อาวุโสสามก็แสร้งกระแอมขึ้น พร้อมทั้งพาข้าและทุกคนเดินขึ้นไปบนเวทีและลงมือร่ายค่ายกลครอบเวทีเอาไว้ หลังจากนั้นก็หันมาบอกให้ข้ารวบรวมสมาธิแล้วเอามือวางบนลูกแก้ว ข้าก็ทำสมาธิโดยการท่องพุทหายใจเข้า โธหายใจออก พุทหายใจเข้า โธหายใจออก สงสัยกันละสิว่าทำสมาธิทำไมต้องท่องพุทโธ ก็ตอนเรียนพระท่านสอนให้ทำสมาธิก็จำได้ว่าการทำสมาธิให้ท่องแล้วกำหนดลมหายใจนี่นา ท่องแล้วก็เอามือไปวางบนลูกแก้ว ใจก็ท่องไปด้วยพุทโธๆ จนสักพักลูกแก้วก็เกิดการเปลี่ยนแปลง มีควันสีขาวเกิดขึ้นในลูกแก้วแล้วก็หมุนเป็นวง ตอนแรกมีหนึ่งวงต่อมาก็เพิ่มวงที่สองและก็วงที่สามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเก้าวงก็เปลี่ยนเป็นวงแหวนอันใหญ่สีเงินหมุนอยู่สักพักก็มีประกายสีทองออกมาแล้วจากนั้นก็หยุดและค่อยๆ จางหายไป ข้าได้ยินเสียงสูดหายใจเข้าพร้อมกันหลายคนถ้าแค่เสียสูดหายใจคงไม่แปลกแต่ที่มันแปลกเพียงเพราะทุกคนสูดหายใจพร้อมกัน ข้าจึงเงยหน้ามองท่านพ่อที่อ้าปากค้าง พี่ชายทั้งสองและผู้อาวุโสทั้งสามรวมทั้งอาจารย์สวี ทุกคนอ้าปากค้างทำท่าทางเดียวกันหมด ดีนะที่มีค่ายกลครอบไว้ไม่งั้นแมลงวันคงบินเข้าปากกันไปหมดแล้ว หลังจากการอ้าปากค้างไว้และคงกลั้นหายใจไปด้วย ดูเหมือนทุกคนจึงเริ่มได้สติจึงเริ่มขยับปากปิดและหายใจเข้ากัน ส่วนข้าก็ได้แต่เอียงคอมองคนนั้นที คนนู้นที "มี่เอ๋อร์ลูกรู้ใช่ไหมว่าเมื่อกี้แสดงระดับพลังถึงขั้นไหน" ท่านพ่อคงเห็นท่าทางของข้าจึงย่อตัวลงแล้วเอ่ยถาม "ลูกทราบเจ้าค่ะ ขั้นสิบเทพเซียนระดับสูง ธาตุน้ำแข็ง มันมีอะไรผิดหรือเจ้าคะ" ข้ากล่าวตอบท่านพ่อ พร้อมเอ่ยถาม "มันไม่มีอะไรผิดหรอกลูก ขั้นเทพเซียนในแคว้นเราก็มีหลายคนบางคนก็อายุร่วมร้อยปีแล้วก็มี และยังไม่มีใครถึงขั้นนี้ตอนอายุสิบกว่าขวบเท่านั้นนะลูก" ท่านพ่อกล่าวตอบ จากนั้นก็เป็นข้าที่ต้องเป็นฝ่ายตกใจจนอ้าปากค้างรอแมลงวันบ้าง ถ้าสิ่งที่ท่านพ่อกล่าวมาคือ ต้องมีอายุเกือบร้อยปีถึงจะบรรลุขั้นเทพเซียนได้ แล้วข้าที่อายุแค่สิบย่างสิบเอ็ดขวบกลับมีพลังถึงขั้นนี้ นี่ข้าจะกลายเป็นตัวประหลาดงั้นรึ ไม่นะข้าอยากจะลงจากคาน ฮือๆๆ "ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องตกใจลูกรัก พ่ออยู่นี่ ไม่มีใครทำอะไรลูกได้ พ่อจะปกป้องลูกเองนะ" ท่านพ่อคงเห็นสีหน้าของข้าที่เตรียมจะแปะปากร้องไห้ จึงรีบเข้ามากอดปลอบ ข้าที่ฟังที่ท่านพ่อกล่าวแล้วก็รู้สึกอุ่นวาบในใจนี่สินะ การมีคนปกป้อง การมีคนที่รัก ที่คอยห่วงใยมันดีต่อใจเหลือเกิน ข้าจึงพยักหน้าอยู่ในอ้อมกอดของท่านพ่อตอบกลับไป **********
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD