CHAPTER 2
ราวสามสิบนาทีเราทั้งสองก็มานั่งอยู่ในห้องชุดขนาดเกือบหกสิบตารางเมตร ผมนั่งที่โซฟาตัวยาว วางแขนพาดไปกับพนัก สายตาจับจ้องไปยังผู้ร่วมห้องที่เอาแต่นั่งก้มหน้าอยู่ที่โซฟาเดี่ยว
เธอไม่ปริปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว ขนาดว่าพามาที่นี่ก็ยังไม่พูด ไม่คัดค้าน ไม่ตั้งคำถาม จนบางทีผมก็อึดอัดเสียเอง ห้องของผมแท้ ๆ แต่กลับลำบากใจที่จะอยู่อย่างไรชอบกล
“ทำไมไม่พูดอะไรสักคำเลยวะ” ผมบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ไม่ได้แฝงความหงุดหงิดแต่อย่างใด หญิงสาวที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันนักช้อนตาขึ้นมองผม แววตาของเธอเศร้าหมอง ใบหน้าของเธอซีดเซียวราวกับผี ที่พูดมานั้นไม่เกินจริงเลยสักนิด นอกเหนือไปกว่าความซีดเซียวคือคราบน้ำตาที่แห้งกรังบนใบหน้า
“ไปล้างหน้าล้างตาไป” ทนเห็นสภาพโทรม ๆ ของคนตัวเล็กไม่ไหวจึงเอ่ยปากไล่ให้ไปทำใบหน้าให้สะอาดสะอ้าน
“ตรงไหนคะ”
“นู่น” ผมมองไปทางห้องน้ำ ห้องนี้มีห้องน้ำ 2 ห้อง อยู่ภายในห้องนอน 1 ห้อง และอยู่ใกล้ห้องเก็บของ 1 ห้อง ซึ่งห้องน้ำห้องนี้เป็นห้องเล็ก ไม่ได้กว้างเหมือนอย่างในห้องนอน
เธอพยักหน้าแล้วลุกไปที่ห้องน้ำตามคำสั่ง สักครู่หนึ่งก็เดินกลับออกมาโดยที่ใบหน้าของเธอนั้นเกลี้ยงเกลา อาจจะมีความบวมที่ดวงตาอยู่บ้าง แต่กระนั้นก็ยังฉายความน่ารักจิ้มลิ้มอยู่
สภาพต่างจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
“ตกลงจะให้ไปส่งที่ไหน” ผมถามขึ้นมาเพราะคิดว่าตอนนี้เธอน่าจะพร้อมคุยแล้ว “บอกมาได้เลยนะ ไหน ๆ ก็ช่วยแล้ว จะช่วยให้เต็มที่แล้วกัน”
คนตรงหน้าก้มหน้างุด…อาการนี้คือ?
ผมมองเธอด้วยความหวาดระแวง ไม่ใช่ว่าผมจะต้องมีรูมเมทภายในห้องส่วนตัวของตัวเองหรอกนะ แถมยังเป็นผู้หญิงอีกด้วย
“ยังไง” ผมเค้นถาม เธอเงยหน้าขึ้นมานิด ๆ แล้วก้มลงทันที
“จะขออยู่ที่นี่?” ผมถามเข้าประเด็นเสียเลย ไม่อย่างนั้นคงต้องถามกันทั้งคืน
“เธอไม่มีพ่อแม่หรือไง” ผมถามต่อ
“ไม่มีค่ะ”
ผมตบปากตัวเองเบา ๆ แววตาเศร้าที่ปรากฏขึ้นในตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นมาตอบ ทำให้ผมรู้สึกผิดที่คำถามจากปากอาจทำให้เธอรู้สึกแย่ขึ้นมา
“โทษที ไม่รู้นี่”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“แล้วญาติล่ะมีไหม”
“มีค่ะ”
“อยู่ที่ไหน จะได้ไปส่ง”
“ใกล้ ๆ สนามแข่งค่ะ”
“แล้วทำไมไม่บอก!!!” ผมตะคอกเสียงดังด้วยความหงุดหงิด คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือก เธอห่อไหล่แล้วก้มหน้าลงมากกว่าเดิม
ถ้าเธอบอกแต่แรกจะได้ไปส่ง ไม่ใช่ขับมาถึงคอนโดแบบนี้
“อะไรของเธอวะ” ผมเห็นอาการเธอแล้วยิ่งหงุดหงิด อ่านไม่ออก คาดเดาไม่ได้ว่าต้องการอะไร
“ฉัน…ขออยู่ด้วยได้ไหมคะ”
“ไม่ได้!!!” ผมตอบแบบไม่ต้องคิด เพราะสังหรณ์ไว้แล้ว จึงมีคำตอบให้ทันที แม้ว่าผมจะไม่ได้โหยหาเรื่องบนเตียง แต่การที่หญิงชายอยู่ด้วยกันมันก็กลัวผีผลักปะวะ
“ตอนนี้ฉันไม่มีที่ไปค่ะ”
“ทำไมไม่ไปอยู่กับญาติล่ะ”
“…” เงียบอีก ผมเลยต้องเปลี่ยนคำถาม
“เพื่อนล่ะมีไหม ไปอยู่กับเพื่อนไหม”
“มีเพื่อนค่ะ แต่เพื่อนคงไม่สะดวกที่จะให้อยู่ด้วย” เธอตอบกลับโดยที่ยังก้มหน้าอยู่
“เวร” ผมอยากทึ้งหัวตัวเองจริง ๆ เพราะในตอนนี้สมองของผมก็คงตื้อตันไม่แพ้คนตัวเล็ก ไม่รู้จะเอายายนี่ไปไว้ที่ไหน ครั้นจะให้อยู่ด้วยกันก็คงไม่ได้
แต่เดี๋ยวนะ ทำไมยายนี่ถึงขออยู่กับผมแบบนี้ ไม่กลัวผมบ้างหรือไง
“เธอเป็นมิจฉาชีพหรือเปล่าเนี่ย” ผมลืมคิดข้อนี้ไปเสียสนิท เห็นว่าเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ วิ่งหนีมาก็รับขึ้นรถมาด้วยเฉยเลย
“เปล่านะคะ” หน้าตาจิ้มลิ้มแสดงความตกใจและรีบส่ายมือตัวเองรัว ๆ ปฏิเสธในสิ่งที่ผมสงสัย
“เรารู้จักนาย เราคิดว่าอยู่กับนายน่าจะปลอดภัย…กว่าอยู่กับญาติ” ประโยคหลังเธอพูดเสียงเบา แต่ผมก็ยังจับใจความได้ เธอถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “คืนนี้ขอนอนที่นี่สักคืนได้ไหมคะ เดี๋ยวเราจะลองหาที่อยู่ใหม่”
“รู้จักได้ไง”
“เธอออกจะดังนี่คะ ใคร ๆ ก็รู้จักแก๊งเธอทั้งนั้น”
“ถ้ารู้จักจริง เธอควรกลัวฉันมากกว่านะ” ชื่อเสียงของแก๊งผมในเรื่องผู้หญิงมันก็ไม่ใช่ทางที่ดีสักเท่าไหร่ ยายนี่ควรจะกลัวมากกว่ากล้ามาอยู่ด้วย
“อย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่ญาติเรานี่คะ”
ท่าทางจะมีปัญหากับญาติตัวเองแฮะ
“ส่วนเรื่องเงินหนึ่งแสน เราขอเวลาหน่อยนะคะ จะรีบหามาใช้คืนค่ะ”
จะหาที่ไหนมาใช้คืนวะ…ผมไม่ได้อยากจะดูถูกหรอกนะ แต่แค่จะไปอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้แบบนี้ เงินหนึ่งแสนไม่น่าหาได้ง่ายขนาดนั้นไง
“เธอ…เธอพูดอะไรสักหน่อยสิคะ” หญิงสาวมองหน้าผมด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ ที่ผมเอาแต่งนั่งเงียบจ้องมองใบหน้าสวยที่พยายามหาทางออกให้ตัวเอง
“จะนอนก็นอน พรุ่งนี้หาที่อยู่ใหม่ได้ก็บอก จะไปส่ง ส่วนเรื่องเงินเธอก็ค่อยหามาคืนแล้วกัน” ดึกขนาดนี้จะไล่ให้ไปหาที่อยู่ที่อื่นก็จะดูใจร้ายเกินไป
“ขอบคุณมากค่ะ” เธอยกมือไหว้ผมด้วยความดีใจ แต่แค่แวบเดียวสีหน้าก็กลับมาเครียดอีกครั้ง คงจะคิดหาที่อยู่ไม่ออก
ผมเดินเข้าห้องนอนไปเอาผ้าห่มผืนเล็กที่พับเก็บไว้ออกมาให้เธอที่โซฟา ไม่ได้ใจดีให้เข้าไปนอนในห้องนอนหรอกนะ ในนั้นเก็บของมีค่าไว้ กลัวตื่นขึ้นมาแล้วของจะหายหมด!