บทที่ 2
Orchid
ดอกกล้วยไม้ เป็นดอกไม้ที่มีไว้บอกภาษารักว่า “ฉันไม่อาจห้ามใจให้คิดถึงเธอได้”
อคิราห์รีบตื่นแต่เช้า ต้อนรับวันใหม่ด้วยความสดชื่น แม้ความเป็นจริงแล้วตลอดทั้งคืนเขาแทบจะนอนไม่หลับเลยก็ตามแต่
วันนี้เขาต้องเข้าไปถ่ายภาพที่สถานีโทรทัศน์ดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา ความจริงแล้วงานที่เขาทำก็ไม่ได้หนักหนาอะไร ก็แค่ทำงานเบื้องหลังเหมือนกับคนอื่น ๆ แต่ต่างตรงที่อคิราห์ไม่ออกไปนอกสถานที่เท่านั้นเอง แม้จะชอบเดินทางท่องเที่ยวมากแค่ไหน แต่การที่ต้องไปทำงานนอกสถานที่ไม่ใช่แนวของเขา การออกไปถ่ายภาพหรือถ่ายวิดีโอนอกสถานที่กับเหล่าดารานางแบบนั้นเป็นเรื่องที่อคิราห์เบื่อหน่ายมากที่สุด
บางครั้งต้องรอเหล่าบรรดาดารานางแบบคิวทองทั้งหลายเป็นเวลานาน และเขาเบื่อพวกไม่ตรงเวลาเป็นอย่างมาก
อคิราห์ทำงานนอกสถานที่ได้เพียงครึ่งปีเท่านั้น หลังจากเบื่อจนเต็มกลืนเขาก็ขอหยุดและมาประจำการทำงานเบื้องหลังอยู่ที่สถานีโทรทัศน์ตามที่พ่อและแม่ของเขาร้องขอ ส่วนงานจริงจังที่เขาทำก็คือเป็นช่างภาพอิสระแต่ไม่รับการว่าจ้าง เพราะเขาทำเพียงแค่ถ่ายภาพและอัปโหลดลงในบล็อกส่วนตัวเท่านั้น
แม้รายได้จะไม่เยอะแต่การถ่ายภาพคือสิ่งที่อคิราห์ชื่นชอบเป็นชีวิตจิตใจ และเขาก็ถือคติที่ว่าอะไรที่ทำแล้วมีความสุขก็จงทำต่อไป
"พี่หมอกจะกลับแล้วเหรอคะ"
อคิราห์ทักทายผู้ประกาศข่าวรุ่นพี่ที่กำลังเดินสวนทางกับเธอที่ทางเข้าสถานี มือเรียวยกขึ้นไหว้เมื่อรุ่นพี่คนนั้นหันมาตามเสียงเรียก
"สวัสดีครับน้องอคิณ พี่จะกลับแล้วครับเดี๋ยวตอนเย็นค่อยกลับมาใหม่"
หมอกเป็นผู้ประกาศข่าวที่สถานีโทรทัศน์แห่งนี้มาตั้งแต่เรียนจบ ถ้านับมาจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาห้าปีกว่า ๆ แล้ว เวลาประจำที่เขาต้องนั่งอยู่หน้ากล้องคือเจ็ดโมงเช้าถึงแปดโมงเช้า และตอนเย็นก็คือห้าโมงเย็นถึงหกโมงเย็นของทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ และมีวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์เหมือนกับคนทั่วไปนั่นแหละ ไม่อยากจะอวดหรอกนะว่าผู้ประกาศข่าวอย่างเขาก็มีแฟนคลับเหมือนกัน
"งั้นเดินทางปลอดภัยนะคะ"
อคิราห์กับรุ่นพี่ส่งยิ้มให้แก่กัน
"วันเสาร์สิ้นเดือนนี้ถ้าว่างก็เชิญที่ร้านน้องม่านนะครับ เดี๋ยวพี่เลี้ยงของหวาน"
"มีอะไรพิเศษหรือเปล่าคะ"
อคิราห์หรี่ตา หรือว่าความรักของรุ่นพี่ผู้ประกาศข่าวหนุ่มกับผู้ประกาศข่าวสาวที่อยู่อีกช่องกำลังจะสุกงอมกันนะ
"วันเกิดพี่น่ะครับ"
"อ๋อ นึกว่าพี่หมอกจะแต่งงานซะอีก"
"ยังหรอกครับ"
ทั้งคู่หัวเราะขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย หมอกเป็นพี่ชายของคุณม่านซึ่งก็คือเจ้าของคาเฟ่ที่เขาชอบไปเป็นประจำนั่นแหละ รุ่นพี่คนนี้ชอบพาแฟนสาวไปประจำการช่วยน้องสาวขายขนมหวานและเครื่องดื่มทุกวันหยุด บ้านนี้เขาช่วยกันดีจริง ๆ
"เอ้อพี่หมอกคะ คาเฟ่คุณม่านมีพนักงานใหม่เหรอคะ"
"หืม? ไม่มีนี่ครับ"
แล้วเธอคนเมื่อคืนนี้ล่ะเป็นใครกัน แต่พี่หมอกก็ไม่ใช่เจ้าของนี่นา คงไม่รู้ว่าน้องสาวรับพนักงานเข้ามาใหม่
"มีอะไรหรือเปล่าครับน้องอคิณ"
"เปล่าค่ะ"
อคิราห์ตอบปัด หากจะถามถึงเธอคนเมื่อคืนมันก็ไม่ใช่เรื่อง
"งั้นพี่กลับแล้วนะครับ"
"เดินทางปลอดภัยค่ะ"
อคิราห์มองตามหลังรุ่นพี่ไปด้วยสายตาละห้อย ไม่ใช่ว่าไม่อยากรู้เรื่องของพนักงานคนเมื่อคืนหรอกนะ แต่เขากำลังสับสนอยู่ต่างหาก ว่าจะอยากรู้เรื่องของเธอคนนั้นไปทำไมกัน
"สวัสดีค่ะน้องอคิณ สนใจอยากไปเที่ยวเล่นข้างนอกกับพี่ไหมคะ"
ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกอคิราห์ก็เจอกับเลขาของผู้เป็นพ่อทันที เพิ่งเข้างานเองจะชวนเขาออกไปไหนแต่เช้ากันนะ
"ไปไหนเหรอคะ"
"ท่านประธานใช้ให้พี่ไปซื้อดอกไม้น่ะค่ะ วันนี้ลูกค้าจะมาพบท่าน แล้วดอกไม้ในแจกันก็เป็นของปลอม ท่านอยากได้ดอกไม้สดที่มีสีสันฉูดฉาด"
ดอกเดซีสีแดง จู่ ๆ ดอกไม้ที่เห็นเมื่อคืนก็ปรากฏเด่นหราขึ้นมาในห้วงความคิด
"ไปด้วยกันไหมคะ"
อคิราห์ดับเครื่องยนต์เมื่อรถจอดสนิทอยู่ตรงหน้าร้านขายดอกไม้ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอบตกลงกับเลขาของพ่อตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ในตอนที่รถยนต์ของเขาเลี้ยวผ่านแยกมาตามทางที่คนนั่งข้าง ๆ บอกจนจอดสนิทนิ่งอยู่หน้าร้านเป็นที่เรียบร้อย แล้วเขาไปเสนอตัวจะเป็นคนพามาตอนไหนกันล่ะเนี่ย แถมยังเสนอรถตัวเองอีกต่างหาก
"พี่มาซื้อดอกไม้ร้านนี้ประจำเลยค่ะ"
คนขับยิ้มให้พร้อมกับเปิดประตูเตรียมออกจากรถ ละแวกนี้เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ไม่เคยสนใจร้านดอกไม้ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคาเฟ่เลยสักครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้เข้าไปในร้านแห่งนี้สินะ
"สวัสดีค่ะคุณป้า"
"สวัสดีค่ะ"
"สวัสดีหนู"
อคิราห์แย้มยิ้มให้กับคนตรงหน้า แต่ในใจกลับกำลังงวยงงเพราะเขารู้สึกคุ้นหน้าคุณป้าคนนี้เป็นอย่างมาก เหมือนกับว่าเขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเมื่อไม่นานมานี้
แต่ก็คงจะคุ้นจริง ๆ นั่นแหละ เพราะว่าเขาก็เดินไปมาอยู่ที่นี่เป็นประจำ คงมีสักครั้งที่เคยเห็นคุณป้าแต่จำไม่ได้เท่านั้นเอง
"ต้องการดอกไม้แบบไหนเหรอหนู"
"เจ้านายหนูอยากได้ดอกไม้ที่มีสีสันสดใสน่ะค่ะ คุณป้าหาให้หน่อยได้ไหมคะ"
"ได้อยู่แล้วจ้ะ สีสันสดใสก็ต้องเป็นสีส้ม เหลือง แล้วก็แดงสินะ"
"เดซีสีแดง"
ทั้งสองคนหันมามองคนพูดด้วยสีหน้าสงสัย เนื่องจากอคิราห์พูดเสียงเบาราวกับกำลังกระซิบ และดูเหมือนว่ากำลังพูดกับตัวเองมากกว่า
"อะไรนะหนู"
"เอ่อ คุณป้ามีดอกเดซีสีแดงหรือเปล่าคะ"
"เหมือนว่าลูกสาวป้าจะเอาไปแต่งร้านหมดแล้วตั้งแต่เมื่อวานนะจ๊ะ พรุ่งนี้ดอกไม้ที่สั่งถึงจะมาส่ง"
"ลูกคุณป้า..."
"คาเฟ่ฝั่งตรงข้ามนั่นไงจ๊ะ"
คุณป้าเจ้าของร้านดอกไม้พูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับชี้ให้ดูคาเฟ่ฝั่งตรงข้ามที่ยังไม่เปิด อคิราห์พยักหน้ารับรู้ เขากำลังหวังอะไรอยู่นะ หวังให้ลูกสาวที่คุณป้าพูดถึงไม่ใช่คุณม่านงั้นหรือ
คงไม่แปลกแล้วล่ะที่เขาจะคุ้นหน้าคุณป้าคนนี้ เพราะมีความละม้ายคล้ายคลึงกับคุณม่านยังไงล่ะ ที่แท้ก็เป็นแม่ลูกกันนี่เอง
จะว่าไปแล้วเขาก็เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าร้านที่อยู่ตรงข้ามกันมีความสัมพันธ์เป็นแม่ลูกกัน คุณม่านไม่เคยเล่าให้ฟังเลย
"คอนโดน้องอคิณก็อยู่แถวนี้นี่คะ"
"ใช่ค่ะ น่าเสียดายที่คาเฟ่ยังไม่เปิด ไม่งั้นคงได้เลี้ยงกาแฟพี่บุษสักแก้ว"
"น่าเสียดายจริง ๆ นั่นแหละค่ะ อดกินของฟรีเลย"
"เอาไว้วันหลังนะคะ วันนี้เราคงต้องรีบกลับแล้วล่ะ"
อคิราห์อมยิ้มเมื่อเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของคนข้าง ๆ ดังขึ้น และชื่อที่เมมไว้ ก็ปรากฏเด่นหราว่าเป็นท่านประธาน คงเห็นว่าเลขาออกมานานแล้วสินะ ใจร้อนจริง ๆ เลยคนแก่เนี่ย
"ดอกกล้วยไม้หมดหรือยังคะแม่"
คล้อยหลังลูกค้าที่มาซื้อดอกไม้ไม่นาน ลูกสาวคนเล็กก็เดินลงมาจากชั้นบนพอดี คนเป็นแม่พยักหน้าให้เมื่อบริมาสถามหากล้วยไม้สองสามช่อสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่
"หมดเมื่อกี้นี้เลยค่ะลูก"
"งั้นน้องเหมยโทรสั่งเพิ่มเลยนะคะ เพิ่งนึกได้ตะกี้ว่ากล้วยไม้เหลือไม่เยอะ พรุ่งนี้ทางนั้นจะได้มาส่งแต่เช้า"
บริมาสหมายถึงดอกไม้เจ้าประจำที่เธอสั่งตลอด ร้านคุณแม่ขายดอกไม้ก็จริง แต่ไม่ได้ปลูกไว้ขายเอง ของพวกนี้ต้องมีเครือข่ายและตลาดที่คอยส่งของมาให้อยู่เสมอ ในสมัยที่คุณพ่อยังหนุ่มก็เป็นคนไปรับซื้อเองตามตลาดและตามสวนใกล้ ๆ แต่พอแก่ตัวลงก็ไปไหนมาไหนไม่คล่องดังนั้นทุกคนในครอบครัวจึงแก้ปัญหาด้วยการสั่งดอกไม้จากตลาดและสวนให้มาส่งที่นี่แทน
"คุณแม่ให้ยัยหนูสองคนที่มาซื้อไปหมดแล้วเมื่อกี้ เห็นบอกว่าอยากได้ดอกไม้สีสันสดใส คุณแม่เลยจัดให้ซะเลยมีแต่สีฉูดฉาดทั้งนั้น"
ลูกสาวคนเล็กทำเพียงแค่ยิ้มให้ผู้เป็นแม่แล้วเดินไปยกหูโทรศัพท์เพื่อโทรสั่งดอกไม้จากร้านประจำทันที
"คุณแม่อยากได้อะไรเพิ่มไหมคะ"
"ไม่แล้วค่ะ เพิ่มแค่ดอกกล้วยไม้นั่นแหละ"
"เช้านี้คุณแม่ทำอะไรทานคะ"
ม่านที่เดินตามหลังน้องสาวลงมาจากชั้นบนติด ๆ กอดเอวมารดาด้วยท่าทางออดอ้อน ตึกหลังนี้เป็นตึกขนาดกลางสองชั้น ชั้นบนเป็นที่พักอาศัยของคนในครอบครัว ส่วนชั้นล่างก็เป็นร้านดอกไม้ที่ทั้งสามคนแม่ลูกยืนอยู่ในตอนนี้ หลังตึกมีพื้นที่น้อยนิดสำหรับปลูกต้นไม้และดอกไม้เพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ
"ข้าวต้มกุ้งค่ะ"
"น่าอร่อยจัง ขอตัวไปทานเลยแล้วกันนะคะ"
ไม่ใช่เสียงของพี่คนกลางแต่เป็นของน้องคนเล็ก ที่เมื่อพูดเสร็จก็จ้ำอ้าวไปทางหลังร้านซึ่งเป็นพื้นที่ของครัวทันทีอย่างรีบเร่งคล้ายกับว่ากำลังหิวนักหนาจนคนเป็นแม่ต้องส่ายหน้าด้วยความเอ็นดูอย่างเสียมิได้
"น้องเหมยรอพี่ม่านด้วยสิคะ พี่ม่านก็หิวเหมือนกันนะ"
"เสร็จแล้วก็รีบไปเปิดร้านเลยนะคะ สายจนตะวันโด่งแล้วเจ้าเด็กพวกนี้"
ผู้เป็นแม่ตะโกนไล่หลังทั้งสองสาวไปด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก ตอนนี้ก็เกือบ ๆ จะเก้าโมงแล้ว ยังเหลือเวลาให้เตรียมร้านอีกไม่ถึงชั่วโมง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะลูกสาวคนกลางมีพนักงานมาเตรียมพร้อมอยู่แล้ว รับประทานอาหารเสร็จทั้งคู่ก็คงจะไปเตรียมร้านช่วยกัน แต่ลูกสาวคนเล็กไม่แน่ว่าจะไปหรือไม่ เพราะเจ้าตัวน่าจะติดภารกิจพิชิตนิยายรัก
"เหมือนเดิมนะคะ"
อคิราห์พยักหน้า วันนี้เขามาที่ร้านตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดินด้วยซ้ำ และวันนี้ท้องไส้เขาก็เกิดอาการอยากรับประทานของหวานเสียด้วยสิ
"ขอชีสเค้กด้วยหนึ่งชิ้นนะคะ"
"ได้ค่ะ คุณอคิณนั่งรอก่อนนะคะ"
ลูกค้าขาประจำเลือกโต๊ะที่เคยนั่งตัวที่ตั้งอยู่ชิดกระจกและบรรดาเหล่าดอกไม้งาม ตอนนี้ทั้งร้านมีแต่เขาและหนุ่มสาวหนึ่งคู่ที่กำลังเลือกมุมถ่ายรูปอยู่ ต่างจากเมื่อคืนลิบลับที่คนแน่นจนไม่มีที่นั่ง เขาเห็นภาพนี้จนชินตาแล้วล่ะ คาเฟ่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของคู่รัก
อคิราห์มาบ่อยจนจำได้หมดว่าใครเป็นแฟนใคร และเรื่องที่ตลกปนเศร้าที่เขาเคยเจอก็คือบางคนกลับมาที่อีกครั้งเพียงคนเดียว เนื่องจากเลิกกับแฟนแล้ว สาเหตุก็คือเลิกเพราะแฟนถ่ายรูปไม่สวย และบางคนก็ถูกบอกเลิกเพราะโดนข้อหาถ่ายรูปไม่สวยนี่แหละ แบบนี้ก็มีด้วย
นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้นั่งที่ประจำ แต่เป็นโต๊ะเสริมที่ตั้งหลบมุมอยู่หลังดอกไม้ อคิราห์ลุกขึ้นแล้วเดินช้า ๆ ตรงไปยังที่ที่เขาเคยนั่งเมื่อคืน แต่ปรากฏว่าทุกอย่างว่างเปล่า ไม่มีเก้าอี้ ไม่มีโต๊ะที่เขานั่งเมื่อคืนเลยแม้แต่ตัวเดียว
"อเมริกาโน่เย็นเพิ่มช็อตกับชีสเค้กได้แล้วค่ะ"
เสียงเรียกจากเจ้าของร้านฉุดรั้งให้อคิราห์เดินกลับไปที่โต๊ะตัวเดิมอย่างเสียมิได้ เพราะเธอนั่งลงรอเขาอยู่ที่เก้าอี้ตัวตรงข้ามกันแล้วนั่นเอง
"วันนี้มาแต่หัววันเลยนะคะ"
อคิราห์หันมายิ้มคนสวยตรงหน้าเพียงชั่วครู่แล้วสอดส่ายสายตาไปมาเพื่อสำรวจอีกครั้ง พนักงานในร้านที่เดิน ๆ อยู่ก็ยังเป็นคนเดิมที่เขาเคยเห็นหน้าคร่าตา แล้วคนเมื่อคืนนี้ล่ะหายไปไหนเสียแล้ว
"วันนี้ที่สถานีไม่มีงานอะไรให้ทำเลยค่ะ"
"ถึงว่าล่ะคะ วันนี้ไม่เห็นกล้องคุณอคิณ"
ดวงตาเรียวเล็กมองสำรวจตรงช่วงอกของตัวเองโดยอัตโนมัติ จริงด้วยสิ ทุกวันเขาจะสะพายกล้องไว้ที่คออยู่เสมอ แต่วันนี้กลับลืมได้ยังไงกันนะ ทั้งที่กล้องเป็นอวัยวะชิ้นที่สามสิบสามของเขาแท้ ๆ
"ค่ะ"
อคิราห์ตอบสั้น ๆ เพราะเขายังหาข้อแก้ตัวไม่ได้ว่าเหตุใดเขาถึงลืมเจ้ากล้องตัวโปรดไปเสียได้
"เมื่อคืนคนเยอะมากเลยนะคะ เยอะจนเราได้นั่งโต๊ะเสริมแน่ะ"
"นั่นไม่ใช่โต๊ะเสริมหรอกค่ะ เพราะทางร้านมีโต๊ะและเก้าอี้อยู่เท่าที่เห็น"
มือที่กำลังยื่นไปตักของหวานจำเป็นต้องหยุดชะงัก แล้วเมื่อคืนโต๊ะที่เขานั่งนั่นล่ะ มันไม่ใช่โต๊ะเสริมหรืออย่างไร เพราะเขามาที่นี่ออกจะบ่อย และเมื่อคืนก็เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นโต๊ะน่ารัก ๆ ตัวนั้น
"แล้วโต๊ะตัวเมื่อคืนล่ะคะ"
"อ๋อ นั่นเป็นโต๊ะ/คุณม่านคะโทรศัพท์ค่ะ"
อคิราห์ถอนหายใจอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก กำลังจะได้รู้อยู่แล้วเชียวว่านั่นเป็นโต๊ะของใคร เขาเพียงแค่อยากรู้ว่าคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาเมื่อคืนเป็นใครกัน แค่อยากได้ยินเสียง อยากเห็นหน้า และอยากได้กลิ่นหอมหวนชวนหลงใหลนั่นอีกครั้ง
"จะอยากรู้ไปทำไมกัน"
ถอนหายใจอีกครั้งพร้อมกับส่ายหน้าเมื่อก้าวพ้นประตูร้านออกมาได้ หลังจากรับโทรศัพท์คุณม่านก็หายไปเลย สงสัยคงมีธุระสำคัญ
วันนี้เขาไม่ได้พกกล้องมาเสียด้วยสิ อดเก็บภาพบรรยากาศตอนแสงกำลังจะหมดเลย แสงสีส้มของดวงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมากระทบกระจกช่างสวยงาม ยิ่งร้านดอกไม้ที่เขามาเมื่อเช้ากรุกระจกใสรอบด้านยิ่งสวยเข้าไปใหญ่ เพราะภายในเต็มแน่นไปด้วยดอกไม้นานาชนิด
อคิราห์แย้มยิ้มเมื่อได้บันทึกภาพเหล่านั้นด้วยสายตา และทันใดนั้นเองรอยยิ้มของเขาก็ต้องหุบฉับ เมื่อมองเห็นร่างเล็กที่เขาเจอเมื่อคืนเดินถือช่อดอกไม้ออกมาจากภายในร้านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม อยากวิ่งไปทักทายใจจะขาด แต่ในใจก็แย้งว่าจะไปทักทายในฐานะอะไร ตอนนี้อคิราห์กำลังสับสนอย่างหนัก
แต่เมื่อตัดสินใจได้เธอผู้นั้นก็หายลับไปตรงโค้งเสียแล้ว ครั้นจะวิ่งตามไปตอนนี้รถราก็วิ่งมาจนวุ่นวาย ทำให้อคิราห์ได้แต่ยืนทำตาละห้อยอยู่ที่เดิม
นี่เป็นโอกาสครั้งที่สองที่เขาได้พบเธอคนนั้น แล้วโอกาสของเขาเหลืออีกกี่ครั้งกันนะ แต่อคิราห์เชื่อว่าถ้ามีโอกาสได้เจอกันถึงครั้งที่สาม มันจะไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญอีกแล้ว
และเมื่อถึงตอนนั้น อคิราห์จะไม่มีทางยอมปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นเดินผ่านหน้าไปเฉย ๆ อย่างแน่นอน