บทที่ 5 Red Tulips

2502 Words
บทที่ 5 Red Tulips ดอกทิวลิปสีแดง มีความหมายว่า "ฉันตกหลุมรักเธอจนหมดหัวใจแล้ว"                  วันนี้อคิราห์ต้องเดินทางไปถ่ายภาพที่ต่างจังหวัด เนื่องจากช่างภาพประจำกองถ่ายโฆษณาประสบอุบัติเหตุกะทันหัน และเนื่องจากวันนี้เป็นวันจันทร์จึงทำให้เขาหงุดหงิดเป็นพิเศษ                 เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะว่าร้านคาเฟ่ของคุณม่านปิดน่ะสิ อดกินอเมริกาโน่แก้วโปรด แล้วต้องมาเสียโอกาสในการเจอน้องเหมยไปด้วยเลย                ในเมื่อคุณป้าร้านดอกไม้อนุญาตให้เขาเรียกแม่ เขาก็ขอโอกาสนี้ในการเรียกลูกคุณแม่ว่าน้องเหมยด้วยเลยแล้วกันนะ                ตลอดทั้งวันและตลอดเวลาที่ทำงานอคิราห์ไม่มีสมาธิเอาเสียเลย สมองเขาเอาแต่คิดถึงลูกคนเล็กของคุณแม่เจ้าของร้านดอกไม้ คิดถึงคำพูดและท่าทางที่ทำราวกับว่ากำลังงอนเขาเสียเต็มประดาของน้องเหมย                ให้ตายสิ ทำไมในความคิดเขาถึงมีแต่คำว่าน่ารักเต็มไปหมดเมื่อนึกถึงการกระทำของผู้หญิงคนนั้นกันนะ                "คุณอคิณครับ"                "คะ"                อคิราห์ส่ายหัวเพื่อไล่ความคิดเหล่านั้นทิ้งไป ตอนนี้เขาสนใจเพียงแต่งานเท่านั้น ขืนยังสนใจอย่างอื่นอยู่มีหวังวันนี้งานไม่เสร็จแน่                "ดอกไม้วางตรงกลางเลยไหมครับ"                คนถูกถามเพ่งมองดูฉากที่ต้องถ่ายเป็นฉากสุดท้าย ดอกไม้สีแดงถูกเสียบไว้ในแจกันสีเหลืองและตั้งตระหง่านอยู่กลางฉาก                 คนรับหน้าที่เป็นช่างกล้องอย่างเขาส่ายหน้าน้อย ๆ ถ้าหากตั้งไว้ตรงกลางมันจะดูเด่นเกินไป และอาจจะเด่นกว่าผลิตภัณฑ์เสียด้วยซ้ำ เพราะตรงกลางถือเป็นจุดโฟกัสได้เป็นอย่างดี                "ตั้งไว้ด้านหลังก็แล้วกันค่ะ ตรงมุมด้านขวาตรงนั้น"                อคิราห์ชี้ให้เด็กฝึกงานนำแจกันดอกไม้ไปวางไว้ตรงมุมขวาของฉาก อย่างน้อยก็ควรให้ผลิตภัณฑ์และนางแบบอยู่ตรงกลางและไม่มีอะไรมาบดบังจะดีเสียกว่า                กว่าที่อคิราห์จะถ่ายทำโฆษณาเสร็จก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว และกว่าที่เขาจะช่วยทีมงานเก็บข้าวของและอุปกรณ์เสร็จเวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงสี่ทุ่ม                 ตอนนี้ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องเขาเลยแม้แต่ชิ้นเดียว อคิราห์ใช้เวลาเดินทางมาถึงคอนโดตอนเที่ยงคืนกว่า ๆ เมื่อรถจอดนิ่งสนิทเขาก็ทิ้งตัวลงเอนหลังลงอย่างเหนื่อยอ่อน ถอนหายใจแรง ๆ อย่างโล่งอกที่วันนี้เขาสามารถทำงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่มีอะไรติดขัด                ดอกไม้สีแดงในแจกันที่วางอยู่เบาะข้างคนขับถูกอคิราห์หยิบติดมือออกมาด้วย เขาตั้งใจเก็บมาจากกองถ่ายเพื่อที่จะนำมาวางประดับไว้ในห้อง เนื่องจากดอกยิปโซที่คุณแม่ร้านดอกไม้ให้มาในวันนั้นได้เหี่ยวลงจนแห้งกรอบ และเขาก็ได้ทิ้งมันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว                 เพราะไม่รู้วิธีเก็บรักษาเวลาดอกไม้แห้งอคิราห์จึงได้ทิ้งดอกยิปโซช่อนั้นลงในถังขยะไปแล้ว แม้ในใจจะนึกเสียดายมากแค่ไหนก็ตาม                "ไปขับรถเล่นดีกว่า"                หลังจากได้มองดูดอกไม้ในมืออคิราห์ก็เปลี่ยนความคิด เขาไม่อยากเห็นแค่ดอกไม้ดอกนี้ดอกเดียว เขาอยากเห็นมากกว่านี้                เมื่อสักครู่ตอนที่อคิราห์กลับมาจากต่างจังหวัดเขาขับรถมาอีกทาง ไม่ได้มาในทางที่เขาสัญจรเป็นประจำทุกวัน                 แต่ตอนนี้อคิราห์นึกอยากไปสัญจรทางนั้นเสียแล้วสิ ทางที่มีร้านคาเฟ่และร้านดอกไม้อยู่ตรงข้ามกัน                อคิราห์กลับขึ้นรถอีกครั้ง สตาร์ทเครื่องและถอยรถออกจากตำแหน่งเดิม เป้าหมายที่เขาอยากจะไปในตอนนี้ก็คือขับรถแล่นผ่านไปวนเวียนอยู่ที่ถนนที่เขาคุ้นเคยนั่นเอง                ใช้เวลาเพียงไม่นานรถยนต์คันงามของเขาก็แล่นมาถึงสี่แยกไฟแดง เนื่องจากต้องเลี้ยวขวาอคิราห์จึงหยุดรถตรงแยกด้วยความใจเย็นแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีรถสัญจรผ่านไปมาสักคันก็ตามเนื่องจากเป็นเวลาดึกมากแล้วนั่นเอง                ทันทีที่ไฟสีแดงเปลี่ยนเป็นสีเขียวอคิราห์ก็เปลี่ยนเกียร์และรับเหยียบคันเร่งทันที รถสัญชาติเยอรมนีสีขาวสะอาดเลี้ยวเข้ามาในซอยที่คุ้นเคย อคิราห์ชะลอรถให้ช้าลงเมื่อขับเข้ามาใกล้ร้านดอกไม้ที่ปิดไฟมืดสนิทแล้ว เพราะมัวแต่มองทางด้านขวามือเขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าในตอนนี้ไฟจากร้านคาเฟ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังส่งแสงสว่างลอดผ่านเข้ามาในตัวรถ                ตอนนี้อคิราห์ลืมไปเสียสนิทว่าอีกสถานที่ที่เขาคุ้นเคยในซอยแห่งนี้ก็คือร้านคาเฟ่ที่เขาชอบมาเป็นประจำนั่นเอง เพราะสมองและตาเอาแต่มองหาใครบางคน                ไฟบนชั้นสองของร้านดอกไม้ยังส่องสว่างอยู่ทุกห้องนั่นทำให้ริมฝีปากบางแย้มยิ้มออกมาน้อย ๆ นี่สินะอาการของการไม่ได้เห็นหน้าแต่เห็นหลังคาบ้านก็ยังดี                อคิราห์เลือกกลับรถตรงหัวมุมถนนที่เป็นร้านอาหารตามสั่ง เพียงแค่นี้ก็คงจะทำให้เขานอนหลับได้แล้วแหละนะ แค่เพียงแสงไฟที่สว่างจ้าอยู่บนชั้นสองของตึกเท่านั้น แม้ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วห้องไหนคือห้องของลูกคนเล็กของเจ้าของตึกก็ตามแต่                เอี๊ยด!                รถคันงามถูกเหยียบเบรกอย่างกะทันหันจนส่งเสียงดังสนั่น ยิ่งดึกเสียงก็ยิ่งดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ อคิราห์ใจตกไปอยู่ตาตุ่มเมื่อเขาละสายตาจากร้านขายดอกไม้มาดูถนนแล้วพบกับคนที่กำลังจะเดินข้ามพอดี ให้ตายสิเกิดเรื่องจนได้ เขาน่าจะมีสติกว่านี้เวลาขับรถ อคิราห์นึกตำหนิตัวเองในใจ หากครั้งนี้เกิดการสูญเสียไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินหรือร่างกาย เขาจะจำเป็นบทเรียนไปจนวันตาย ขับรถมาหลายปีครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เกิดอุบัติเหตุเลยก็ว่าได้                เจ้าของรถรีบเปิดประตูลงมาดูด้วยความเร็วรี่ แต่กลับไม่มีใครนอนแอ้งแม้งอยู่กลางถนนตามที่เขาได้จินตนาการเอาไว้เลยสักคน แต่จะว่าไปเมื่อครู่นี้เขาก็ไม่ได้ยินเสียงรถกระทบกับวัตถุอะไรเลยนี่นา หรือว่าจะไม่ได้ชน แบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย                "ขับรถยังไงของคุณเนี่ย"                แม้จะตกใจอยู่ไม่น้อยแต่บริมาสก็โมโหเกินกว่าจะเก็บอารมณ์ฉุนเฉียวเอาไว้ได้ เธอเห็นรถคันนี้แล่นไปเลี้ยวกลับรถตรงหัวมุมและขับกลับมาตามถนนช้า ๆ ราวกับว่าต้องการชะลอให้เธอเดินผ่านถนนไปก่อน ด้วยเหตุนี้เธอจึงเดินข้ามมาโดยที่ไม่ได้คิดอะไร แต่แล้วจู่ ๆ เมื่อเข้ามาใกล้รถคันนี้กลับเร่งความเร็วเสียอย่างนั้น ดีที่เขาเบรกทัน มิเช่นนั้นคงชนเธอกระเด็นไปแล้ว                บริมาสกลับมาจากทำขนมที่ร้านพี่สาวเพื่อเตรียมเอาไว้ขายในวันพรุ่งนี้ ขนมที่วางขายที่ร้านเธอและพี่สาวเป็นคนช่วยกันทำ และแต่ละวันก็จะเป็นขนมที่ไม่ซ้ำกัน เพราะเกรงว่าจะไม่มีเวลาทำขนม ดังนั้นเธอและพี่สาวจึงตกลงกันว่าจะขายขนมเพียงสามชนิดเท่านั้น นั่นก็คือชีสเค้ก เค้กช็อกโกแลต และบราวนี่ สลับวันขายในแต่ละสัปดาห์แล้วแต่อารมณ์และความต้องการของลูกค้า เพียงเท่านี้ก็ได้กำไรเยอะพอสมควรแล้ว                "เจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ"                อคิราห์รีบก้าวเข้ามาใกล้คนที่ยืนตัวสั่นอยู่กลางถนนด้วยความรู้สึกผิด                "น้องเหมย"                ให้ตายสิ ดึกดื่นป่านนี้ลงมาเดินกลางถนนทำไมนะ                "คุณอีกแล้วเหรอคะ"                "..."                "ไม่มีมารยาทแม้แต่ตอนขับรถเลยเหรอคะ"                อคิราห์หน้าชาไปครึ่งซีก เหมือนถูกตบหน้าเลยก็ว่าได้ แบบนี้คงไม่ได้เจ็บตรงไหนสินะ เพราะรถยนต์ของเขากับคนตัวเล็กอยู่ห่างกันเกือบสองเมตร และคนตรงหน้าก็ไม่ได้ล้มด้วย                "ขอโทษนะคะพี่มัวแต่มองร้านดอกไม้"                "ขับรถก็ต้องมองถนนไม่ใช่เหรอคะ"                เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่บริมาสสนทนากับคนอื่นนอกจากลูกค้าด้วยประโยคยาว ๆ แบบนี้ ปกติคนขับเขาต้องมองถนนไม่ใช่หรืออย่างไร แล้วทำไมคนตรงหน้าถึงเอาแต่มองข้างทางกันล่ะ                "พี่ขอโทษจริง ๆ ค่ะ แล้วน้องเหมยไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหมคะ"                อคิราห์สาวเท้าเดินเข้ามาใกล้อีกครั้ง เขาอยากจับคนตรงหน้าพลิกไปมาเพื่อดูบาดแผลเพราะความเป็นห่วงเหลือล้น แต่ก็รู้ดีว่าทำแบบนั้นไม่ได้                บริมาสส่ายหน้าช้า ๆ แทนคำตอบ ความโกรธลดน้อยลงแต่ยังไม่หมดเมื่อเห็นสีหน้าและแววตาที่ดูเป็นห่วงเป็นใยเธอเหลือคณาของเขา                "แล้ว...มาทำอะไรดึกดื่นกลางถนนคะ"                อคิราห์ถามในสิ่งที่อยากรู้ออกไปในทันที                "แล้วคุณมาขับรถแต่ไม่มองถนนทำไมดึกดื่นแบบนี้คะ"                คนฟังลอบยิ้ม ไม่ตอบคำถามของเขาแล้วยังมาย้อนถามด้วยคำถามที่เจ็บแสบแบบนี้อีก ร้ายจริง ๆ เลยเด็กคนนี้                "คือพี่มา..."                อคิราห์พูดได้เพียงแค่นั้น เขากำลังสับสนกับตัวเองอยู่ว่าจะบอกคนตรงหน้าไปหรือไม่ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และมาทำไมดึกดื่นเอาป่านนี้ และอีกอย่างที่เขาหาคำตอบให้ตัวเองไม่เจอก็คือทำไมเขาถึงได้อยากเห็นใบหน้าสวยหวานของคนตรงหน้ามากมายขนาดนี้                ลมพัดผ่านซอกตึกเข้ามาทำให้เส้นผมของบริมาสพลิ้วไหว ส่งกลิ่นหอมกำจายไปทั่ว คุ้มแล้วสินะกับการขับรถออกมาจากคอนโดในเวลาเกือบตีหนึ่ง                "คือ...พี่จะมาถามน้องเหมยเรื่องดอกไม้น่ะค่ะ"                บริมาสมองดูรอยยิ้มแห้ง ๆ และฟังน้ำเสียงที่เอ่ยบอกกับเธอเบา ๆ อย่างไม่เชื่อหูตัวเองนัก มาถามเรื่องดอกไม้ตอนตีหนึ่งเนี่ยนะ เขาน่าจะรู้ว่าร้านเธอปิดไปแล้ว หรือต่อให้ปิดเขาก็จะมาเคาะประตูเรียกอย่างนั้นหรือ พิลึกคน                "ดอกอะไรคะ"                อคิราห์ยิ้มร่าเมื่อหาข้ออ้างให้กับตัวเองได้สำเร็จ ร่างสูงขยับเท้าเดินกลับไปยังรถอีกครั้งแล้วกลับมาพร้อมกับแจกันที่มีดอกไม้เสียบอยู่                บริมาสถอนหายใจเมื่อเห็นว่าดอกไม้ที่เขาต้องการถามคือดอกอะไร ดอกไม้ชนิดเดียว อย่างเช่นดอกทิวลิปก็ทำให้คนผู้นี้บึ่งรถออกมาจากที่พักในกลางดึกเพื่อมาสอบถามร้านดอกไม้อย่างนั้นหรือ เหตุผลฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย                ความจริงเขาก็แค่ค้นหาดูในโทรศัพท์มือถือก็น่าจะเจอแล้วนะ แค่พิมพ์คำว่าดอกไม้สีแดงลงในช่องค้นหารอเพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีก็น่าจะรู้คำตอบแล้ว ไม่เห็นต้องลำบากขนาดนี้เลย                หรือจุดประสงค์ของเขาจะเป็นแบบอื่นกันนะ มาหาพี่ม่านแน่ ๆ เลย เธอได้ยินพนักงานในร้านพูดกันว่าช่วงนี้คนที่ชื่ออคิณมาที่ร้านบ่อย ๆ และลูกค้าของคาเฟ่ก็มีแต่คนตรงหน้านี้เท่านั้นที่ชื่ออคิณ                "ดอกทิวลิปค่ะ"                "ว้าว ชื่อเพราะจังเลยนะคะ"                ให้เด็กทารกดูก็รู้ว่าเขาตื่นเต้นหลอก ๆ                 "ชื่อเต็มก็คือดอกทิวลิปสีแดงค่ะ"                "ดอกทิวลิปสีแดง มีความหมายไหมคะ"                อคิราห์ถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ตอนนี้เขากำลังนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เพราะคนตรงหน้าแสดงสีหน้าและท่าทางที่บอกว่าไม่สบอารมณ์อีกแล้ว                "หมายความว่า ฉันตกหลุมรักเธอจนหมดหัวใจแล้วค่ะ"                ยิ่งฟังอคิราห์ก็ยิ่งอยากยิ้มให้แก้มแตก 'ฉันตกหลุมรักเธอจนหมดหัวใจแล้ว' จริง ๆ นั่นแหละ                "มีอะไรจะถามอีกไหมคะ"                "ไม่มีแล้วค่ะ"                บริมาสพยักหน้าให้เขาแล้วหันหลังเตรียมที่จะเดินเข้าบ้าน แต่เสียงของคนวุ่นวาย ก็ฉุดรั้งเธอเอาไว้เสียก่อน                "น้องเหมยคะ"                "..."                "พี่ขอไลน์ได้ไหมคะ ถ้าเกิดว่าอยากรู้จักความหมายของดอกไม้พี่จะได้ทักมาถาม ไม่ต้องขับรถมาดึก ๆ ดื่น ๆ อย่างนี้อีก"                อคิราห์ยื่นสมาร์ตโฟนของเขาไปตรงหน้าและบริมาสก็รับมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ รอเพียงไม่กี่อึดใจเสียงแจ้งเตือนที่บ่งบอกว่าเขาได้เป็นเพื่อนกับเธอแล้วก็ดังขึ้น คนดีใจหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อบริมาสเงยหน้าขึ้นมามองเขาแล้วส่งเครื่องมือสื่อสารคืนให้                "กลับได้แล้วมั้งคะ ยืนคุยกันกลางถนนมันไม่ดีเท่าไหร่"                คนฟังยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ เขาอยากจะถามเธอให้มากกว่านี้ว่ามาจากไหน และมาทำอะไรคนเดียวตอนกลางดึก แต่คำถามเหล่านั้นก็ถูกเก็บเอาไว้เมื่อคนตัวเล็กเดินไปถึงประตูหน้าร้านดอกไม้แล้ว                อดใจไว้ก่อนอคิณ ยังมีโอกาสได้เจอกันอีกตั้งหลายครั้ง                "เอ้อลืมไป พี่ม่านมีคนที่ชอบแล้วนะคะ"                เธอผู้นั้นพูดกับเขาแล้วเปิดประตูเข้าบ้านไป คุณม่านมีคนที่ชอบแล้วเขารู้ดี แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือน้องเหมยจะมาบอกเขาทำไมกันนะ                ไฟจากหน้ารถส่องสว่างอยู่เต็มถนน แต่อคิราห์รู้ดีว่าคงสว่างสู้รอยยิ้มในตอนนี้ของเขาไม่ได้ คืนนี้คงนอนหลับสนิทและหลับฝันดีแล้วสินะ                จมูกคมก้มลงดอมดมกลิ่นดอกไม้ในมือ แต่กลิ่นของมันก็หอมสู้กลิ่นกายของผู้หญิงที่เดินจากเขาไปเมื่อครู่ไม่ได้อยู่ดี                 "แกตกหลุมรักไม่เก่งเท่าฉันหรอกเจ้าดอกไม้"         อคิราห์วางแจกันดอกไม้ไว้ที่เดิม เงยหน้าไปมองไฟบนตึกอีกครั้งแล้วออกรถ คืนนี้ต้องกลับไปนอนก่อน เอาไว้วันหลังค่อยมาใหม่ก็แล้วกัน อีกไม่กี่ชั่วโมงเองอคิณ อดใจไว้หน่อยไม่นานก็จะได้เจออีกแน่นอน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD