เจ็ดราตรีผันผ่าน
จากการตามท่านหมอที่ดีที่สุดจากเมืองหลวงมารักษาอาการของท่านเศรษฐี ช่วยอาการให้ดีขึ้นได้ โดยที่ท่านทำสามารถลืมตา พูดจาได้เป็นปกติ อาการเจ็บหน้าอกหายไปแล้ว แต่สิ่งที่ย่ำแย่คือท่อนล่างของท่านอ่อนแรงและหมดความรู้สึก ไม่สามารถขยับได้ !
นั่นทำให้บุตรชายทั้งคู่รู้สึกผิดเหลือเกิน
กระนั้น ท่านก็ยังไม่ได้ถือโทษโกรธว่าเป็นความผิดของพวกเขา
“ มันคือกฎสวรรค์ หาใช่ความผิดของผู้ใดไม่ ” ท่านว่ามาเช่นนี้ เมื่อบุตรชายทั้งคู่เข้าไปขอโทษขอโพย
และการเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับผู้เป็นบิดา ทำให้ทั้งคู่มองเห็นอะไรได้มากขึ้น
แม่เลี้ยงอย่างฮุ่ยฟาง ที่เป็นเด็กสาวอายุน้อยกว่าพวกเขาด้วยซ้ำไป นางมิได้รังเกียจเดียดฉันท์ท่านเศรษฐีที่ กลับกลายเป็นคนไร้สมรรถภาพ ทั้งยังคอยดูแลเช็ดปัสสาวะอุจจาระอย่างไม่รังเกียจ เช็ดตัว ต้มยา ป้อนยา และคอยสนทนาไม่ให้ท่านคิดมาก คอยยกขาท่านขึ้นลงตามคำสั่งของท่านหมอเพื่อให้กล้ามเนื้อได้ขยับบ้าง
สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขาได้ย้อนคิด หากเป็นมารดาผู้ล่วงลับของพวกเขา นางจะดูแลบิดาได้เช่นนี้หรือไม่ เพราะแม้แต่ลูกชายทั้งคู่ นางเองก็มิเคยอาบน้ำชะล้างสิ่งสกปรกใด ๆ ให้ ทุกสิ่งอย่างล้วนแล้วแต่เป็นหน้าที่ของพี่เลี้ยงบ่าวไพร่ทั้งสิ้น
ทิฐิในใจเจือจาง แต่ก็ยังปั้นหน้าเข้าใส่บ้างตามประสานิสัยเอาแต่ใจและดื้อรั้น เพราะมิเช่นนั้นจะเสียศักดิ์ศรี !
กระทั่งวันหนึ่งที่ทั้งคู่จิบน้ำชายามบ่ายอยู่ที่ริมสวน ทอดอารมณ์ให้ล่องลอยไปสู่ธารน้ำใสที่ไหลเอื่อยตามกระแสลมอ่อน
“ พี่ใหญ่ เราจะเอาอย่างไรกันต่อไปดี ”
“ เรื่องไหน ”
“ กิจการของท่านพ่อที่สาขาอื่นอย่างไรเล่า ”
“ ก็ปล่อยให้บริหารกันต่อไป พี่ว่าให้ท่านพ่อดีขึ้นอีกสักนิด ตอนนี้เราก็มีอาเจียงคอยดูแลที่อื่นแทนอยู่แล้ว อาเจียงไว้ใจได้ เจ้าก็รู้ ”
“ เรื่องนั้นข้ารู้ แต่หมายความว่าเราจะกลับมาอยู่ที่บ้านใช่ไหม ” คุณชายใหญ่มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
“ มันควรต้องเป็นเช่นนั้น น้องเล็ก ”
“ พี่ใหญ่ยังห่วงเรื่องอนุของท่านพ่อนางนั้นรึ ”
“ แล้วเจ้าเห็นเป็นเช่นไรเล่า ”ผู้เป็นน้องชายนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยตอบ
“ ข้าขอบอกตามตรง ความแคลงใจที่มีต่อนางในคราแรกลดน้อยถอยลงบ้าง จากการที่ได้เห็นนางปรนนิบัติท่านพ่อ และการประพฤติตัวของนางในบ้านราวทำราวกับตัวเองเป็นบ่าวคนหนึ่งที่มิเคยถือตัว แต่ก็ใช่ว่าจะตัดสินทุกสิ่งอย่าง เวลาเท่านี้นับว่ายังเร็วเกินไป ” รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของผู้เป็นพี่
“ เจ้าก็คิดเช่นเดียวกันกับพี่ อีกอย่าง พี่ก็ห่วงท่านพ่อ ไม่อยากทิ้งท่านไปไหน ”
“ ไม่อยากทิ้งท่านพ่อให้เดียวดายและจากไปเพียงลำพังเช่นที่ท่านแม่โดนกระทำ ” ผู้เป็นน้องชายต่อประโยคซึ่งเป็นความในใจให้จบ
ที่จริงแล้วทั้งคู่ก็รักและห่วงใยบิดามากโข แต่ทิฐิที่โดนปลูกฝังจากผู้เป็นมารดา ทำให้แสดงออกไปเช่นนั้นเพื่อเอาชนะและตอกย้ำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิด
“ เป็นเช่นที่เจ้าพูดไม่มีผิด น้องรัก ว่าแต่วันนี้อาการท่านพ่อดีขึ้นมาก เราจะออกไปข้างนอก หาอะไรกินดื่มแก้เบื่อดีหรือไม่เล่า ”
“ ข้าก็แล้วแต่พี่ใหญ่ แต่ถ้าจะให้พูดจริง ๆ แล้ว อาหารที่ปรุงโดยแม่ครัวที่บ้านของเรานั้นนับว่ารสชาติเยี่ยมไม่แพ้ภัตตาคารชื่อดัง ถ้าท่านหมายจะออกไปรับประทานอาหารเพื่อความอร่อย ข้าว่าที่บ้านเราจะดีกว่า แต่หากหมายจะออกไปกินดื่มเพื่อเก็บเกี่ยวอาหารตาอาหารใจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ค่อยออกไปตอนพลบค่ำเถิด ”
น้องชายว่า พี่ชายพยักหน้าช้า ๆ
“ มันก็จริงของเจ้าน้องเล็ก มาอยู่ที่บ้านไม่กี่วัน เราทั้งคู่คงจะมีน้ำหนักมากขึ้น เจริญอาหารกันเหลือเกินแล้ว ”
“ ว่าไปแล้วข้าก็ชักอยากจะเห็นหน้าผู้ปรุงอาหารของครัวบ้านเราเสียแล้วสิ คงจะเป็นอดีตแม่ครัวหรือพ่อครัวของภัตตาคารชื่อดังกระมัง ”
“ นั่นน่ะสิ ว่าไปแล้ว พี่ก็อยากกินเกี๊ยวราดน้ำแดงกับ เป็ดย่างเช่นวันวาน รสชาติยังติดปากติดลิ้นพี่อยู่เลยเชียว ”
“ ถ้าเช่นนั้น เราไปในครัวกันเถอะพี่ใหญ่ ”
แล้วร่างสูงใหญ่ของคุณชายทั้งคู่ก็เดินดิ่งไปยังเรือนครัวทันที
เหล่าข้ารับใช้แตกตื่นที่เห็นคุณชายรูปหล่อทั้งคู่มาเยือนที่เรือนครัว แต่คนที่ตระหนกตกใจที่สุดก็เห็นจะเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่เลี้ยง ที่กำลังง่วนอยู่ที่หน้าเตา โดยมีสาวใช้คอยเป็นลูกมืออยู่ด้านหลัง
นางรีบวางอุปกรณ์ทั้งปวงลงทันทีแล้วรีบลนลานจะหนีออกไปจากที่นั่น ทว่าคุณชายใหญ่เป็นผู้ตวาดเสียงดังจนนางต้องชะงัก
“ เดี๋ยว นั่นเจ้าจะไปไหน ! ” นางตัวสั่นเทา ตะกุกตะกักตอบ
“ คะ... คือ ข้าจะรีบไปดูแลท่านหงเจ้าค่ะ ”
“ แล้วเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ เหตุใดจึงลุกลี้ลุกลนเหลือเกินเมื่อพบข้ากับน้องเล็กที่นี่ หรือว่าเจ้ากำลังทำความผิดอยู่อย่างนั้นรึ จึงได้ลนลานเหลือเกิน ” คุณชายใหญ่ว่า ดวงตาคมหรี่มองนางอย่างจับผิด
“ หาได้เป็นเช่นนั้นไม่นะเจ้าคะ ขะ... ข้าก็แค่ไม่อยากอยู่รบกวนท่านทั้งสอง ”
“ รบกวนอะไร การที่เจ้าอยู่มันจะรบกวนอะไรพวกข้า ท่าทางของเจ้ามันไม่น่าไว้ใจเลยจริง ๆ นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ วางยาพิษในอาหารหรือเปล่า ไหนใครบอกข้าได้บ้างว่าแม่เลี้ยงของข้า นางกำลังทำอะไรอยู่ ห้ามโกหก ! ”
คุณชายใหญ่ตวาด บ่าวไพร่ทุกคนก้มหน้างุด ทว่ามีเสียงอ้อมแอ้มตอบมาเบา ๆ
“ ทะ... ท่านฮูหยินกำลังปรุงอาหารเจ้าค่ะ ”
“ ปรุงอาหารอย่างนั้นรึ แล้วทำไมนางจึงต้องลงมือปรุงอาหารเอง แม่ครัวประจำบ้านหายไปไหน ” คุณชายใหญ่ว่า
“ หรือว่าการมาลงครัวด้วยตนเองนั้น นางมีจุดประสงค์บางอย่างกันแน่เล่า ” คุณชายเล็กกล่าวบ้าง
“ หาได้เป็นเช่นนั้นไม่เจ้าค่ะคุณชายทั้งสอง แม่ครัวที่ปรุงอาหารประจำ ก็คือท่านฮูหยินเจ้าค่ะ ” สาวใช้คนหนึ่งว่า นั่นทำให้คุณชายทั้งคู่ขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย ฮูหยินคนใหม่ยิ่งก้มหน้างุด
“ เป็นเช่นนั้นรึ ”
“ เจ้าค่ะ ”
“ มันจะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไรกัน อาหารรสดีที่พวกเรารับประทานในทุกวัน คือฝีมือเจ้าเช่นนั้นรึ เหนียงฮุ่ยฟาง ” ฮุ่ยฟางจำต้องรับคำอย่างยอมจำนน
“ เจ้าค่ะ ”
“ นับว่าเจ้าเป็นผู้มีฝีมือในการทำอาหาร ข้าและพี่ใหญ่ขอชื่นชม ” คำชมของคุณชายเล็กทำให้นางต้องเงยหน้ามามองอย่างแปลกใจ
“ คะ... คุณชายไม่โกรธข้าน้อยหรือเจ้าคะ ” คุณชายใหญ่เลิกคิ้วก่อนเอ่ยถาม
“ โกรธ โกรธเรื่องอะไร ”
“ ก็โกรธเรื่องที่ข้ามาปรุงอาหารให้คุณชายรับประทานทุกวัน ”
“ ข้าไม่เข้าใจ ”
“ ข้ารู้ดีว่าคุณชายทั้งคู่ เอ่อ ไม่ใคร่จะชอบหน้าข้านัก แต่ข้าก็ยังมาปรุงอาหารให้ท่านทั้งคู่รับประทาน ”
คำบอกกล่าวของนางทำให้ชายหนุ่มทั้งคู่กระจ่างมากขึ้น