“ก็ใครใช้ให้คุณมาทำอะไรทุเรศ ๆ กับฉันล่ะ แล้วเป้าคุณ มันไม่รั้งหรอกนะ ถ้าคุณไม่หื่นแบบนี้ ฉันไม่แก้ให้คุณแล้ว ส่งงาน คุณเอากลับบ้านไปได้เลย แล้วก็ไม่ต้องกลับมาอีก”
“นี่เธอ ฉันเป็นลูกค้านะ”
“ลูกค้าแล้วยังไง ลูกค้าแล้วมีสิทธิ์มาไล่จูบช่างตัดเสื้อเหรอ เรื่องของเรามันจบไปเป็นสิบปีแล้วคุณปุณณ์ คุณช่วยปล่อยฉันไปตามทางของฉันได้ไหม”
“ถ้าบอกว่าไม่ได้ล่ะ”
ดวงตาคมกริบวาวโรจน์มองเธอนิ่ง ๆ มันฉายแววอำมหิตเสียจนเธอขนลุกซู่
“แล้วคุณจะเอายังไง ฉันขอโทษคุณไปแล้ว ฉันเสียใจ แต่ฉันย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ถ้ากลับไปได้ฉันจะไม่ไปเดินเซ่อซ่าให้คุณขับรถเฉี่ยวตั้งแต่แรก”
หยาดน้ำใส ๆ รื้นคลอหน่วย ทำเอาใจแกร่งกระตุกวูบ แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้นที่นึกสงสาร เพราะสิ่งที่เธอทำมันเลวร้ายเกินกว่าจะให้อภัย และเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายน่าสงสาร...ไม่ใช่เธอ
“ทุกอย่างมันสายไปหมดแล้ว น้ำมนต์”
คนตัวโตคว้าเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งเอาไว้ ก่อนจะผลุนผลันออกจากร้านไป ทิ้งไว้เพียงร่องรอยความเจ็บปวดจากอดีตที่ไม่มีวันจางหาย
“โอ้โห เป็นแฟนเก่ากันเหรอเนี่ย”
โชคชัยเดินปรบมือออกมาจากมุมมืดในสภาพไม่สวมเสื้อ เธอปาดน้ำตาลวก ๆ แล้วรีบเก็บของยัดลงกระเป๋าเพื่อกลับบ้าน ไม่ได้สนใจเสียงนกเสียงกาของชายหนุ่มที่ชอบมองเธอแปลก ๆ
“เธอนี่เจ๋งเป็นบ้า คว้าผู้ชายอย่างหมอนั่นมาเป็นแฟนได้ไง สิบปีที่แล้วเหรอ ตอนเรียนอยู่สินะ”
แม้จะไม่ได้รับคำตอบใด ๆ แต่ผู้ชายซึ่งอายุน้อยกว่าเธอหลายปีก็ยังพ่นวาจาออกมาไม่หยุด ก่อนจะคว้าข้อมือเธอเอาไว้แล้วกระชากเข้าหาตัวเพื่อปล้ำจูบเธออย่างที่ผู้ชายอีกคนทำ
“นี่ ปล่อยฉันนะ ไอ้บ้า ปล่อยสิ”
ไม่รู้เรี่ยวแรงมาจากไหนมหาศาล เธอทั้งทุบทั้งตีเขาด้วยความตกใจราวกับหนีตายด้วยแรงเฮือกสุดท้ายของชีวิตจนใบหน้าหล่อเหลาแดงเถือกไปด้วยรอยเล็บ เขาจึงตวัดฝ่ามือฟาดใบหน้าจนขึ้นรอยนิ้วมือแดงเถือกครบทั้งห้านิ้ว
“เฮ้ย อย่าเล่นตัวนักสิวะ ยอมให้ฉันเอาซะดี ๆ ก็ไม่ต้องเจ็บตัว”
เขาเหวี่ยงเธอลงไปบนโซฟา ก่อนจะตามขึ้นคร่อมแล้วซุกไซ้ซอกคอขาวอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนใจแรงดิ้นรนและเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเธอที่ดังขึ้นทุกที
“หุบปาก ถ้ายังไม่อยากตาย”
มือใหญ่ปิดปากเธอแน่นก่อนจะปล้ำจูบซอกคอของเธออีกครั้ง ภาพทั้งหมดอยู่ในสายตาของนาบีที่สะดุ้งตื่นด้วยความตกใจเมื่อเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังเล็ดลอดเข้าไปในห้องพักผ่อนส่วนตัวของเธอ
ร่างใหญ่ที่กำลังฉีกทึ้งเสื้อเชิ้ตสีขาวของณกมลลอยหวือก่อนจะลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นด้วยหมัดจากใครอีกคน นาบีวิ่งเข้ามาห้ามลูกค้าคนสำคัญที่กำลังตามเข้าสาวหมัดใส่ใบหน้าหล่อเหลาของแฟนเด็กไม่ยั้งจนเลือดกบปาก
เขาจึงถอดเสื้อสูทที่เธอตัดให้คลุมร่างกายที่เสื้อผ้าขาดวิ่น ทั้งยังกอดประคองเธอให้ลุกขึ้นมายืน
“คุณบีควรเลือกคบคนมากกว่านี้นะครับ ผู้ชายบางคนก็เลวเกินกว่าจะเอามาเป็นแฟน”
ปุณณิธิกัดกรามกรอด มือที่โอบประคองร่างบางซึ่งสั่นเทารั้งเธอเข้ามาใกล้อีกนิด ถ้าเขาไม่ลืมโทรศัพท์มือถือเอาไว้ ป่านนี้เธอคงป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี
“แล้วมึงเสือกเหี้ยอะไรวะ อ้อ หรือว่าหวง”
“โชค ใจเย็น ๆ”
นาบีปรามคนรักของตัวเองด้วยรู้ว่าเขาเป็นฝ่ายผิด หากณกมลและปุณณิธิเอาเรื่องขึ้นมาเห็นทีไม่พ้นต้องนอนคุก ทั้งเธอและร้านตัดชุดรวมทั้งวงศ์ตระกูลของเธอจะเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วยเพราะแฟนเด็กที่พ่อแม่ต่างไม่มีใครเห็นด้วยแต่แรก
“ใจเย็นอะไร พี่ก็เห็นว่ามันต่อยผม”
“แล้วโชคทำอะไรน้ำมนต์ล่ะ พี่เห็นนะ”
เธอตวาดออกมาอย่างเหลืออด ทั้งรัก ทั้งหวง ทั้งเสียใจ บ่อยครั้งที่เธอให้อภัยแต่เขาก็ไม่เคยคิดปรับปรุงตัว ยังคงมั่วกับนางแบบสาวสวยไปทั่ว ขนาดเธอแทบจะขังเขาเอาไว้แต่ในคอนโด นาน ๆ จะพาออกมาเปิดหูเปิดตาที่ร้านสักทีก็ยังหาโอกาสทำเรื่องชั่วช้าจนได้
“มันไม่ใช่อย่างที่พี่เห็น ยัยนั่นมันยั่วจนผมตบะแตก แล้วใครจะทนไหวล่ะ ผมเป็นผู้ชายนะ แต่พอผมเล่นด้วย อยู่ ๆ มันก็แหกปากร้องให้คนช่วย”
“แกโกหก”
เสียงสั่นเทาเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง
“หุบปาก อีผู้หญิงสำส่อน เมื่อกี้มึงยังฟัดกันนัวกับหมอนั่นอยู่เลย มึงต้องการอะไรกันแน่ ถึงสร้างเรื่องให้พี่บีเข้าใจกูผิด”
ดวงตาคมกริบวาวขึ้นราวกับมีลูกไฟนับร้อยลูกสุมอยู่ในนั้น หมอนี่คงเห็นว่าเขาล่วงเกินณกมล เลยคิดว่าจะทำอะไรกับผู้หญิงคนนี้ก็ได้สินะ มันคิดผิด เพราะผู้หญิงชั่วช้าคนนี้ มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่แตะต้องได้
“มึงนั่นแหละที่จะต้องหุบปาก ก่อนที่กูจะเอาตำรวจมาลากคอมึงเข้าคุก มึงคิดว่าคนตระกูลกูลากใครเข้าคุกแล้วจะรอดออกมาได้ง่าย ๆ เหรอ”
“ไอ้ปุณณ์”
“ทำไม มึงมีปัญหาอะไร ปิดปากของมึงให้สนิท ถ้าไม่อยากโดนกูเล่นงาน”
“น้องปุณณ์ พี่ขอนะคะ อย่าให้เรื่องนี้ถึงตำรวจเลย”
“แล้วพี่จะเอายังไง ยังจะเลี้ยงคนชั่ว ๆ แบบนี้ไว้อีกเหรอ”
“พี่ขอโทษนะน้ำมนต์ พี่จะให้เงินชดเชย แต่พี่ขอร้อง อย่าให้เรื่องนี้ถึงตำรวจเลย น้ำมนต์ก็รู้ว่าครอบครัวพี่ไม่ปลื้มโชคอยู่แล้ว ถ้ามีเรื่องกันท่านต้องบังคับให้พี่เลิกกับโชคแน่ ๆ”
น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มนวลที่แดงเถือกด้วยรอยนิ้วมือ เธอทำงานแทบถวายชีวิตให้ร้านแห่งนี้ สร้างชื่อเสียงและเรียกลูกค้าเข้าร้านมากมาย ฝีมือของเธอโด่งดังไปทั่วจนแทบไม่เหลือคิวว่าง แต่ดูสิ่งที่เจ้าของร้านตอบแทนความซื่อสัตย์ของเธอซึ่งไม่ได้มีความผิดอะไรเลยสิ ช่างน่าหัวเราะเยาะกับชะตาชีวิตของตัวเองนัก
“ไม่เป็นไรค่ะ น้ำมนต์เข้าใจ”
เธอกวาดของใช้ส่วนตัวลงในกระเป๋าสะพายใบโต และวางกุญแจเข้าร้านคืนไว้ที่จักรเย็บผ้า ก่อนจะเดินออกมาจากสถานที่ซึ่งเคยทำให้เธอรู้สึกราวกับอยู่บ้าน
“จะไปไหน”
ปุณณิธิเดินตามมารั้งแขนเธอเอาไว้ ก่อนจะบังคับพาเธอขึ้นไปนั่งบนรถ โดยที่คนตัวบางไม่คิดต่อต้านขัดขืนแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้ไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงใด ๆ อีกต่อไปแล้ว
“บอกทางมาสิ จะได้ไปส่งถูก”
ทั้งที่เขาจำทางกลับหอพักโกโรโกโสนั่นได้ขึ้นใจและรู้ด้วยซ้ำว่าห้องของเธออยู่ชั้นไหน แต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้
“ไป ขึ้นห้องสิ นั่งอยู่ทำไม หรือจะนอนในรถ”
เขาพาเธอลงจากรถแล้วเดินขึ้นไปส่งเธอถึงห้องพักซึ่งนอกจากเธอจะยอมแต่โดยดีแล้ว ก็ไม่พูดอะไรกับเขาแม้แต่คำเดียว
“อยู่ไปได้ยังไง ห้องเล็กเท่ารูหนู ไปนั่งสิ เดี๋ยวทำแผลให้”
เมื่อถือวิสาสะเปิดลิ้นชักพลาสติกราคาถูกจนเจอกล่องยา เขาก็มานั่งลงเคียงข้างเธอบนเตียงขนาดเล็กแล้วค่อย ๆ เช็ดแผลให้เธออย่างเบามือ
ดวงตากลมที่รื้นไปด้วยหยาดน้ำใส ๆ มองสบตากับเขานิ่งนาน มันอ้างว้าง สับสน เจ็บปวดรวดร้าวจนเขารู้สึกได้ จึงใช้มือใหญ่สอดเข้าแนวกรามประคองใบหน้าเธอ ก่อนจะก้มลงเป่าลมร้อน ๆ ปลอบประโลมรอยช้ำตรงมุมปากให้อย่างอ่อนโยนยิ่ง โดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำอะไร
“เจ็บไหม”
เธอพยักหน้าเพียงเล็กน้อย เขาจึงประทับริมฝีปากลงไปบนความนุ่มนิ่มสีชมพู ก่อนจะละเลียดจูบเธอด้วยสัมผัสเชื่องช้าแผ่วหวานเมื่อเธอเผยอปากให้เขาอย่างเต็มใจ
สองร่างค่อย ๆ เอนตัวลงไปนอนทาบทับกันบนเตียงขนาดสามฟุตครึ่งโดยที่ริมฝีปากยังไม่ยอมละห่างจากกันแม้แต่น้อย เสื้อสูทตัวสวยถูกโยนทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่ไยดีตามด้วยเสื้อเชิ้ตขาดวิ่นและกางเกงยีนตัวเก่งของเธอ
ริมฝีปากอุ่นร้อนไต่จูบลงไปจูบเม้มที่ซอกคอ มือใหญ่เคล้นคลึงหน้าอกอวบใหญ่เกินตัวเด้งสู้มือที่เคยสัมผัสมาแล้วครั้งหนึ่ง ส่งผลให้เธอสะดุ้งโหยง มีสติรู้ตัวทันใด
“อย่า คุณปุณณ์”
“ทำไม”
เสียงแหบพร่าดังขึ้นข้างใบหู ตัวตนเหยียดขยายใหญ่โตตุงกางเกงผ้าเนื้อดีที่เธอตัดให้จนปวดหนึบไปทั้งลำ ไม่น่าเชื่อว่ากลิ่นกายหอมกรุ่นและสัมผัสนุ่มนิ่มของเนื้อตัวเธอจะทำเอาเขาแทบคลั่งได้ขนาดนี้
“ไม่ได้ค่ะ ฉันไม่ยอม”
“หึ ฉันเป็นคนไปช่วยเธอจากไอ้เลวนั่นนะ ไม่คิดจะตอบแทนกันหน่อยเหรอ”
“ฉันตอบแทนคุณแน่ แต่ต้องไม่ใช่แบบนี้”
“ทำไม ฉันมันน่ารังเกียจนักหรือไง เธอถึงเอาแต่ปฏิเสธฉันมาตลอด ตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้วจนถึงตอนนี้”
เขาตวาดเสียงดัง ด้วยความเจ็บปวดในหัวใจที่เธอทิ้งเขาไปแต่งงานกับผู้ชายคนอื่นมันยังไม่เคยจาง มาวันนี้ เธอไม่มีผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว แต่เธอก็ยังคงรังเกียจเขาอยู่ดี
“ไม่ใช่แบบนั้น”
“ไม่ใช่แบบนั้นแล้วแบบไหน”
“ฉันไม่อยากเป็นผู้หญิงใจง่ายอีกแล้ว เรื่องที่เคยเกิดขึ้นฉันก็เสียใจ เราเดินผ่านมันมาแล้ว อย่าวกกลับไปเจ็บปวดกันอีกเลยนะคะ”
“ฉันบอกเธอแล้วไง ว่าไม่ยอม เธอต้องชดใช้ทุกเรื่อง รวมทั้งเรื่องที่ต้องตอบแทนฉันด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ทำเลย ทำอย่างที่คุณต้องการ แล้วเราก็จบทุกอย่างไว้แค่นี้”
เธอแอ่นหน้าอกขึ้นแล้วหลับตา เขาจึงก้มลงจูบฟัดซอกคอหอมกรุ่นกลิ่นสาวและบีบขยำหน้าอกของเธออย่างบ้าคลั่ง แต่นอกจากเสียงหอบหายใจแรง ๆ ที่พยายามกลั้นแล้ว ก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากจิ้มลิ้มที่ถูกฟันกัดจนเป็นรอยห้อเลือดนั่นอีก
“โธ่เว้ย เธอแม่ง”
ปุณณิธิทิ้งตัวลงนอนหงายแล้วดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอด โดยไม่ลืมกระชับผ้าห่มผืนบางขึ้นคลุมร่างกายของทั้งสองเอาไว้
เสียงหัวใจดวงโตเต้นกระหน่ำในจังหวะรัวแรงจนแทบทะลุออกมานอกอก ด้วยพยายามอดทนต่อความต้องการเบื้องต่ำ ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากจังหวะหัวใจของเธอเลยแม้แต่น้อย
“นอนซะ ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”
“คุณจะกลับตอนไหนคะ”
“ไม่กลับ จะนอนที่นี่”
“แต่ว่า”
“ทำไม มีปัญหาอะไร ถ้าปัญหามากนักจะปล้ำเดี๋ยวนี้ เอาไงว่ามา”
“เอ่อ นอนสิคะ แล้วอย่ามาบ่นว่าห้องร้อนแล้วกัน”
ปุณณิธิมองไปรอบห้องเล็กแคบอีกครั้ง เครื่องเรือนน้อยชิ้นเท่าที่จำเป็นสำหรับการอยู่คนเดียว และในห้องนี้ไม่มีแอร์ มีเพียงพัดลมแอร์เครื่องเล็กที่เปิดอยู่เต็มกำลังช่วยไม่ให้เขาร้อนตายเท่านั้น
จึงลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าที่มีบนตัวออกทั้งหมด เหลือเพียงกางเกงชั้นใน ก่อนจะเดินไปปิดไฟแล้วกลับมาทิ้งตัวลงนอนกอดเธออีกครั้ง ซึ่งคราวนี้คนตัวบางขืนตัวหนีอย่างเห็นได้ชัดเพราะร่างกายของเขากับเธอที่เปลือยเปล่าเนื้อแนบเนื้อกันแทบทุกส่วน
“จะนอนดี ๆ หรือให้ฉันเรียกเหงื่อให้ก่อนนอน”
“ไม่ค่ะ นอนแล้วค่ะ”