“พี่ปุณณ์...”
นางเอกสาววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าส่วนตัวของปุณณิธิได้ทันก่อนที่เขาจะออกจากกองถ่าย โดยมีผู้จัดการส่วนตัววิ่งตามมารั้งแขนเธอเอาไว้แต่คนตัวบางกลับพยายามสะบัดมือนั้นออกไป
“ชลลี่ ทำไมทำแบบนี้ พี่จะบ้าตาย”
หมี่หวานเกร็งปากฉีกยิ้มพร้อมกระซิบเสียงเบา มองดาราหนุ่มด้วยความเกรงใจ
ณกมลเห็นท่าทีกระอักกระอ่วนนั้นจึงตั้งใจเดินเลี่ยงออกมาจากห้องแต่งตัวพร้อมด้วยข้าวของของเขาพะรุงพะรังเต็มสองมือ
“เดี๋ยว จะรีบไปไหน”
เขารั้งเธอเอาไว้เพราะไม่อาจใจดำให้เธอหอบของมากมายเหล่านั้นคนเดียว แม้จะอยากกลั่นแกล้งให้สาสมกับสิ่งที่เธอทำ แต่วันนี้ที่เขาใช้ให้เธอเดินไปเดินกลับเพื่อซื้อกาแฟให้เขาสามรอบก็คงมากพอแล้ว
“ฉันจะเก็บของไปรอที่รถค่ะ”
“เดี๋ยวค่อยไปพร้อมกัน ถือไหวหรือไง”
“ไหวค่ะ”
“อย่าเถียง สั่งอะไรให้ทำ วางของแล้วไปนั่งรอ”
เธอจำต้องทำตามคำสั่งด้วยเสียงและดวงตาดุดันของคนเจ้าอารมณ์ อุตส่าห์จะให้เวลาส่วนตัวกับผู้หญิงของเขา กลับมาหงุดหงิดใส่เธอซะนี่ แถมเธอยังต้องมาทนกับสายตาจิก ๆ ของผู้หญิงคนนั้นอีกต่างหาก
“ชลลี่มีอะไร”
“ขอชลลี่ติดรถไปด้วยคนสิคะ”
หมี่หวานดึงแขนของดาราในสังกัดอีกครั้ง แต่เธอก็พยายามสะบัดออกอีกหนอย่างรำคาญเต็มที
“ไม่เอาค่ะชลลี่ อย่ากวนพี่ปุณณ์ พี่ปุณณ์อาจมีธุระ เดี๋ยวพี่หมี่หวานพากลับบ้านเอง”
แค่มองหน้าก็รู้แล้วว่าคุณชายปุณณิธิดูจะไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก ที่ดาราในสังกัดของเธอตามติดเขาเป็นลูกลิง ทั้งที่ไม่ได้มีสถานะอะไรนอกเตียง แต่เหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ตัว หรือรู้แล้วแต่ไม่ยอมรับกันแน่
“พี่ปุณณ์มีธุระเหรอคะ”
“ครับ พี่ต้องพาน้ำมนต์ไปซื้อเสื้อผ้า”
ดวงตากลมโตตวัดไปมองคนที่ถูกเอ่ยถึงด้วยความไม่พอใจ ลำพังแค่หน้าตาสวย ๆ หุ่นดี ๆ ของเจ้าหล่อนก็ทำเอาเธอไม่สบอารมณ์มากพออยู่แล้ว นี่ถึงขนาดเขาต้องพาไปซื้อเสื้อผ้าเลยเหรอ ผู้หญิงคนนี้มันสำคัญขนาดที่คนอย่างปุณณิธิต้องสละเวลาพักผ่อนอันมีค่าไปทำเรื่องไร้สาระเลยหรืออย่างไร
“ทำไมต้องพาไปซื้อเสื้อผ้าด้วยล่ะคะ นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับงานสักหน่อย บ่ายนี้พี่ปุณณ์ว่างนี่คะ ไปคอนโดของชลลี่ไหม”
“พี่ไม่สะดวก ที่จริงมันก็เกี่ยวกับเรื่องงาน พี่ไม่ชอบให้คนของพี่แต่งตัวบ้าน ๆ”
“ให้พี่หมี่หวานพาไปก็ได้ค่ะ พี่หมี่หวานว่างนี่คะ ใช่ไหม”
“เอ่อ คือ ใช่ค่ะ พี่ว่าง ให้พี่พาไปไหมคะ”
สุดท้ายก็ทนสายตากดดันของลูกสาวรัฐมนตรีไม่ไหวจำต้องเอ่ยเสนอตัว ด้วยไม่อยากจะดุดาราในสังกัดต่อหน้าคนอื่นจึงจำต้องยอมไปก่อน
“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากเลือกเองมากกว่า”
“แต่มันเป็นเสื้อผ้าผู้หญิง”
“ไม่เอาค่ะชลลี่ ให้พี่ปุณณ์ไปทำธุระเถอะนะ อย่างี่เง่าสิคะ”
ประโยคสุดท้ายหมี่หวานถลึงตาใส่ดาราสาวเล็กน้อย ทั้งพยายามสะกดกลั้นอารมณ์หงุดหงิดเต็มที
“งั้นให้ชลลี่ไปด้วยก็ได้ เสร็จแล้วเราค่อยไปคอนโดของชลลี่ ให้น้ำมนต์นั่งแท็กซี่กลับบ้านเอง”
“พี่ไม่สะดวก อยากพักผ่อนด้วย ไว้วันหลังแล้วกันนะ”
พูดจบก็เดินไปหยิบสัมภาระของตัวเองแล้วเดินนำผู้ช่วยส่วนตัวที่หอบข้าวของพะรุงพะรังไม่ต่างกันออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามองดาราสาวที่ยืนกัดฟันกำมือแน่น ก่อนที่จะกรีดร้องออกมาอย่างอัดอั้นเมื่อบานประตูนั้นปิดลง
“กรี๊ด พี่ปุณณ์”
“ชลลี่ หุบปากเดี๋ยวนี้นะ”
“พี่หมี่หวาน พี่ต้องเข้าข้างชลลี่สิ จะมาสั่งให้ชลลี่หุบปากทำไม”
“ดูสิ ว่าวันนี้เธอทำอะไรลงไป”
“ชลลี่ทำอะไร”
“เหอะ วิ่งตามมาเสนอตัวนอนกับผู้ชายถึงที่ อำนวยความสะดวกให้เขาทุกอย่าง แต่เขากลับปฏิเสธ เป็นไง หน้าแหกหมอไม่รับเย็บเลยไหม”
“อ๊าย พี่หมี่หวาน”
“พอทีชลลี่ อย่าเอาแต่ใจมากนัก มันน่าเบื่อ ผู้ชายจะหนีหมด”
“แต่พี่ปุณณ์ไม่เคยปฏิเสธชลลี่เลย พอมีนังนั่นเขากลับกล้าทำกับชลลี่แบบนี้”
“ก็เขามีธุระ คนเรามันจะมาหื่นตลอดเวลาได้ยังไง เธอก็หัดคิดเรื่องอื่นบ้างนะ ทำงานก็เยอะ ไม่เหนื่อยหรือไง”
“อ๊าย พี่หมี่หวาน อย่ามาว่าชลลี่แบบนี้นะ”
“พอ ๆ พี่ขี้เกียจฟัง เลิกงี่เง่า พี่ขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย กลับบ้านได้แล้ว พี่ไปส่ง”
ร่างบอบบางถูกผู้จัดการส่วนตัวลากออกจากห้องนั้นอย่างรวดเร็ว แต่อย่าคิดว่าเรื่องแค่นี้จะทำให้คนอย่างชลลดายอมแพ้
“คุยกับใครนักหนา ฉันจะพักผ่อน”
ในรถตู้คันหรูราคาแพง ดาราหนุ่มซึ่งนั่งพิงเบาะหลับตาเพื่อพักผ่อนโพล่งขึ้นมาเมื่อโทรศัพท์มือถือของผู้ช่วยข้างกายสั่นเตือนหลายครั้ง มันกระทบโสตประสาทเขาจนน่าหงุดหงิด
ผู้ช่วยสาวเก็บโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าลงในกระเป๋าสะพายราคาถูกทันใด เธอเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนเขาหรอก แต่เพื่อนรักของเขาต่างหากที่ส่งไลน์มาไม่หยุด จนเธอต้องเปิดอ่านและพิมพ์ตอบกลับไป ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เลิกทักมา
“ขอโทษค่ะ”
“ฉันถามว่าเธอคุยกับใคร ผัวคนไหน”
เขาลืมตาขึ้นมามองเธอด้วยหางตา ทั้งยังยกยิ้มมุมปากอย่างกวนประสาทที่สุด
“ยังไม่ได้เป็นผัวค่ะ”
คำตอบของเธอทำเอาคนเจ้าอารมณ์คว้าข้อมือเล็กแล้วกระชากเข้าหาตัว จนเธอถลาเข้ามากระแทกอกแกร่งแม้จะมีที่วางแขนกั้นกลางระหว่างเธอกับเขาอยู่ก็ตาม
“ใคร”
“เรื่องส่วนตัวค่ะ”
“ฉันลืมบอกเธอไปเหรอ ว่าผู้ช่วยของฉันจะไม่มีเรื่องส่วนตัว ทุกเรื่องถ้าฉันอยากรู้ต้องได้รู้ ห้ามปิดบัง”
เธอพยายามดึงแขนตัวเองให้เป็นอิสระ แต่ในเมื่อคนที่แรงเยอะกว่าไม่ยอมปล่อย เธอก็ไม่อาจเป็นอิสระจากข้อมือใหญ่ได้อยู่ดี
“มันไม่เกินไปหน่อยหรือคะคุณปุณณ์ ฉันเป็นลูกจ้างของคุณ ไม่ใช่ทาส”
“ลืมหรือไง ว่าเธอเป็นทั้งลูกน้องและทั้งทาส”
“แต่มันเลิกทาสไปแล้ว”
“จะฟ้องกรมแรงงานเหรอ เอาไหมล่ะ พาไปส่ง”
เธอจ้องสบดวงตาคมดุกร้าวของเขาอย่างไม่มีลดละ รู้ตัวอยู่หรอก ว่าต้องทำตามที่เขาสั่งทุกอย่าง ต้องยอมให้เขาดูถูกเหยียดหยามเพื่อระบายอารมณ์กรุ่นโกรธและเพื่อชดใช้ให้กับความผิดของตนในอดีต แต่เอาเข้าจริงมันก็ทำใจยอมก้มหน้ารองรับการกระทำอย่างไร้เหตุผลไม่ได้
“คุณปุณณ์”
“เรียกอยู่ได้ กลัวลืมชื่อหรือไง ใช่สินะ เพราะครั้งหนึ่งเธอก็เคยลืมฉันไปแล้ว”
เขาผลักแขนของเธอออกจากตัวราวต้องของร้อนเป็นเหตุให้เธอกระเด็นออกจากตัวเขาอย่างแรง จนแผ่นหลังกระทบกับตัวรถเสียงดังจนคนขับรถตู้เหลือบมองผ่านกระจกมองหลัง
เขาเห็นดังนั้นจึงกดรีโมตให้ฉากสีดำเลื่อนมากั้นระหว่างห้องโดยสารและส่วนของคนขับในทันทีแล้วทิ้งตัวพิงเบาะหลับตาเพื่อพักผ่อนอีกครั้ง
“เอาชุดนี้ไปลอง”
เขาส่งชุดเดรสสูทแขนยาวแต่งกระดุมสีทอง ตัวกระโปรงสั้นจีบรอบตัวสีขาวครีมให้กับเธอ
“ให้ฉันใส่กระโปรงไปทำงานหรือคะ”
“เขาก็ใส่กันทั้งนั้น อยากใส่อะไรก็ใส่สิ ฉันไม่ได้ใช้งานให้เธอไปวิ่งร้อยเมตรหญิงหรือปีนเขาไต่หน้าผาเสียหน่อย”
ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง เพราะแค่วันแรกเขาก็ใช้เธอเดินไปกลับเพื่อซื้อกาแฟที่รสชาติเหมือนเดิมให้ถึงสามรอบ ถ้าเธอใส่กระโปรงหรือรองเท้าส้นสูงเพียงนิดคงลำบากน่าดู
“ก็ได้ค่ะ”
ไม่นาน ประตูห้องลองชุดก็เปิดออก ดวงตาคมเบิกกว้างขึ้นทันทีที่เรือนร่างบอบบางเดินออกมาด้วยชุดสูทเดรสที่เขาส่งให้
ไม่น่าเชื่อว่าแค่เปลี่ยนเสื้อผ้า เธอก็ดูเปลี่ยนไปขนาดนี้ ภาพความทรงจำเก่า ๆ ตอนที่เธอแต่งตัวลุคคุณหนูสุดน่ารักก็ฉายเข้ามาในสมองเป็นฉาก เล่นงานจนหัวใจแกร่งเต้นรัว
“ฮึ่ม แต่งตัวแบบนี้ก็พอดูได้ เอาชุดนี้แหละ”