‘แล้วใครจะรู้ล่ะลูก พ่อแม่ คุณลุงคุณป้า ไหนจะคนงานในบ้านของพี่พีทเขาอีกละ จะมีใครเชื่อที่เจ้าขาพูด ไม่มีใครเชื่อหรอกนะลูก แม้แต่แม่เอง ถ้าเจ้าขาไม่ได้เป็นลูกของแม่ แม่ก็ไม่มีวันเชื่อเด็ดขาดว่าเจ้าขากับพีทไม่ได้มีอะไรกัน ยังไงตอนนี้พีทเขาก็พร้อมรับผิดชอบแล้ว เจ้าขาทำใจให้สบายแล้วเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวคนสวยของพี่พีทดีกว่านะลูก’
เจ้าขาตื่นจากภวังค์เมื่อเสียงพิธีกรบนเวทีประกาศเชิญพ่อแม่เจ้าบ่าวเจ้าสาวขึ้นบนเวที เพื่อกล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ซึ่งพิธีการต่อจากนั้นก็จะเป็นเธอและเจ้าบ่าวขึ้นบนเวทีเหมือนกัน
คุณลุงแพทริคและคุณป้าสมาพร พ่อแม่ของพี่พีทก้าวขึ้นบนเวที ตามด้วยพ่อกับแม่ของหล่อน
เจ้าขาหันมองหน้าเจ้าบ่าวเพื่อหวังว่าเขาจะหันมาแล้วบอกให้หล่อนขึ้นไปด้วยกัน แต่เจ้าของดวงตาคมเข้มเพียงมองบนเวทีก่อนจะเดินตรงออกไปจากบริเวณงานปล่อยให้หล่อนยืนค้างอยู่กับที่
เสียงประกาศบนเวทีเรียกเจ้าบ่าวกับเจ้าสาว แต่เหลือหล่อนเพียงคนเดียวจะทำยังไง เหล่าแขกผู้มีเกียรติก็ต่างชะเง้อมองมาที่หล่อน
เจ้าขาไม่มีตัวช่วยไม่มีตัวเลือก หล่อนจะไปไหนได้ก็ต้องเดินไปตามสายตาของแม่ที่มองมา
แค่เจ้าสาวเดินผ่านเพียงลำพังเหล่าแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายก็ต่างจับกลุ่มซุบซิบ ขนาดว่ามีเสียงเพลงดังกบหล่อนก็ยังได้ยินเสียงเหล่านั้นจนได้
“เจ้าบ่าวหายไปไหน”
“ไม่ใช่หนีไปแล้วเหรอ”
“อ้าว! แล้วอย่างนี้ใครจะแต่งแทน”
“แต่งไม่แต่งจะเป็นไรไป ค่าสินสอดก็ได้ไปแล้วนี่”
“เจ้าสาวยังเด็กอยู่เลย ถึงสิบแปดหรือยังเนี่ย”
“ไม่เด็กแล้ว ใช้ได้แล้ว”
สารพัดคำพูดของเหล่าแขกทำให้หล่อนอยากจะร้องไห้โฮ นี่เหรอแขกผู้มีเกียรติที่คุณลุงคุณป้ากับพ่อแม่หล่อนเชิญมา ไม่ควรเรียกว่าแขกผู้มีเกียรติเลย เพราะสารพันคำพูดที่เปล่งออกมาควรเรียกว่า ‘แขกน่ารังเกียจ’ เสียมากกว่า พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้อยากจะมาร่วมแสดงความยินดีกับหล่อนเสียด้วยซ้ำ ที่มาก็เพราะถูกเชิญหรือไม่ก็เลี่ยงไม่ได้
“หนูเจ้าขาขึ้นมาหาป้าเร็วๆ ลูก เดี๋ยวพี่พีทเขาก็มา ไม่ต้องรอหรอกลูก พี่พีทเขาคุยโทรศัพท์แป๊บหนึ่ง”
เสียงคุณป้าสมาพรประกาศออกไมค์เหมือนตัวช่วย หล่อนเดินสวนกับคุณลุงแพทริคที่มองด้วยสายตาเอ็นดูพร้อมกับเอื้อมมือมากระชับต้นแขน บีบน้อยๆ เป็นเชิงบอกให้เชื่อใจ
เจ้าขาเดินเข้าไปบนเวที แม่สวมกอดหล่อนพร้อมกับพ่อที่สวมกอดทั้งหล่อนและแม่ เสียงปรบมือจากแขกผู้มาร่วมงานดังขึ้น หล่อนบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง ในเมื่อถ้อยคำนินทายังดังก้องอยู่ในหัว
“แม่คะ”
“ไม่เป็นไรลูก เจ้าขารออยู่ตรงนี้นะลูก เดี๋ยวคุณลุงแพทริคจะไปตามพี่พีทเอง”
“พ่อกับแม่อยู่ข้างๆ เจ้าขานะลูก ไม่ต้องกังวล”
“ใช่ลูก เจ้าขารออยู่ตรงนี้นะ ป้าจะไม่ยอมให้พี่พีททำให้เสียเรื่องแน่”
หัวใจหล่อนฟูขึ้นมาเมื่อได้รับกำลังใจจากพ่อแม่และคุณลุงคุณป้า หล่อนก็หวังว่าเจ้าบ่าวสุดหล่อจะมายืนเคียงข้าง หล่อนไม่อยากเป็นเจ้าสาวที่ยืนอยู่บนเวทีโดยข้างกายไร้เจ้าบ่าว แม้หล่อนยังเด็กเกินกว่าที่จะเป็นเจ้าสาว และไม่เคยคิดอยากจะแต่งงานตอนอายุ 18 ปีมาก่อน แต่ก็ต้องยอมรับว่าส่วนลึกของหัวใจนั้นหล่อนก็คาดหวังว่าจะมีเขายืนเคียงข้างในเวลานี้ เพราะตั้งแต่จำความได้ สายตาของหล่อนก็มีไว้แค่มองเขาคนเดียว
รอกว่า 10 นาทีคุณลุงแพทริคก็ยังไม่กลับมาจนพิธีกรเข้ามากระซิบถามคุณป้าสมาพรว่าเจ้าบ่าวไปไหนแล้วจะเอายังไงต่อ
คุณป้าสมาพรถอนหายใจเฮือกแต่สีหน้าก็ยังมีรอยยิ้มขยับปากน้อยๆ เหมือนพูดคุยในเรื่องสนุกสนาน แต่สิ่งที่พูดกับพิธีกรก็คือ
“ตาพีทน่ะสิ ติดคุยงานกับลูกค้าฝรั่ง ดันโทร.มาวันนี้เสียอีก เนี่ย! ฉันก็ให้พ่อเขาไปเร่งแล้ว”
“แต่จะนานไหมครับ จะไม่ทันฤกษ์ส่งตัวนะครับ”
“นั่นน่ะสิจะทำยังไงดี คุณช่วยคิดหน่อยมีวิธีไหนที่จะทำให้งานผ่านไปได้บ้าง”
เจ้าขากะพริบเปลือกตาถี่ พยายามผ่อนลมหายใจช้าๆ ไม่ให้หยาดน้ำตาที่เอ่อคลอไหลออกมา เพราะท่าทีของพิธีกรที่อึ้งไป แต่สายตามองหล่อนอย่างสงสาร นั่นทำให้หล่อนเข้าใจแล้วว่าเรื่องราวที่ครอบครัวหล่อนตั้งใจจับเจ้าบ่าวนั้นคงไม่ใช่ความลับแค่แขกกลุ่มนั้นพูดคุยกันสนุกปาก
พี่พีทรังเกียจหล่อนถึงขนาดนี้
สุดท้ายพิธีกรก็แก้ปัญหาด้วยการประกาศบอกว่าเจ้าบ่าวติดธุระคุยเรื่องงานสำคัญอยู่ยังปลีกตัวมาไม่ได้ขอข้ามขั้นตอนนี้ไปก่อนเชิญแขกผู้มีเกียรติรับประทานอาหารต่อ
ดูเหมือนเรื่องราวจะผ่านไปด้วยดี แต่เจ้าขารู้ว่ามันไม่เป็นอย่างนั้นเลยเพราะสายตาของทุกคนที่มองขึ้นมา เท่าที่หล่อนเห็นได้ผ่านม่านน้ำตาก็คือความสมเพชเวทนาที่หล่อนเป็นเจ้าสาวที่ถูกทิ้งอยู่บนเวทีเพียงลำพัง
“แกทำอย่างนี้ได้ยังไงเจ้าพีท”
แพทริคแผดเสียงลั่นในห้องพักผ่อนส่วนตัวสำหรับเจ้าบ่าวเพราะไม่ว่าอย่างไรพีทก็ไม่ยอมไปขึ้นเวที
“ใช่! พีทตั้งใจทำให้พ่อกับแม่เสียหน้า”
สมาพรเสียงเข้มเพราะไม่คิดว่าลูกชายคนเดียวจะกล้าทำแบบนี้