Chapter 17

2065 Words
"ไอ้ภูคำ" สุทัศน์ขบกรามด้วยความโกรธ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความรู้สึกที่อยากเอาขวานจามกบาลของมันไม่เคยเสื่อมคลาย ฝั่งภูคำก็ไม่ได้โง่ทั้งที่รู้ว่าไม่ได้รับการต้อนรับ แต่ภูคำก็เลือกที่จะเสนอหน้ามากวนประสาทเสียหน่อย โดยเฉพาะไอ้ญาติตัวใหญ่เท่าควายส่วนมันสมองมีขนาดเท่าเชื้อโรค สิ่งเดียวที่ภูคำสงสัยคือทำไมสุทัศน์ถึงได้เป็นสมาชิกระดับสูง หรือเพราะบุญเก่าของพ่อบุญธรรมที่ตายไปแล้ว "อะไรกัน อะไรกัน" ภูคำพูดจาที่แสดงชัดเจนว่า ต้องการมากวนส้นเท้า "เป็นญาติกันแท้ ๆ ทำไมพูดจาใส่กันแบบนี้ล่ะ" "ญาติกับผีมึงนะสิ !" สุทัศน์จะพ่นคำด่าใส่ภูคำต่อ แต่ถูกสุธนยกมือปรามไว้ "ภูคำ กูแนะนำว่ามึงมาทางไหนก็ไสหัวไปทางนั้นจะดีกว่า" สุธนพูดและยกขึ้นยืนเผชิญหน้าอีกฝ่าย "เว้นแต่มึงจะไม่ไว้หน้านายน้อยเลย" สีหน้าของภูคำกระตุกเล็กน้อย แต่ก็วางมาดกวนประสาทได้แนบเนียน และนาทีต่อมามันก็ยื่นมือมาตบบ่าของสุธนเบา ๆ "ฉันแค่จะมาแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ที่แกสองคนต้องเสียลูกน้องมือดีอย่างโอโตฮวาไป" ภูคำเว้นช่วงและทำท่าเหมืองคนเพิ่งนึกอะไรออก "จริงสิ ลืมไปมันไม่มีมือนี่หว้า" แล้วก็หัวเราะออกมา สุทัศน์หมดความอดทนและคิดเพียงอย่างเดียวว่า วันนี้ขวานเล่มใหญ่ต้องได้กินเลือดของภูคำ คิดแบบนั้นแล้วสุทัศน์คว้าขวานออก และพุ่งตัวเข้าโจมตีใส่ภูคำ สุธนที่เห็นน้องชายเลือดขึ้นหน้าก็ไม่รอช้ารีบใช้ขวานของตน ยกขึ้นมากันไว้มิให้คมขวานแตะต้องผิวเนื้อของภูคำ การกระทำของสุธนสร้างความประหลาดใจให้กับภูคำไม่น้อย ขณะเดียวกันมันกลับเพิ่มโทสะให้กับสุทัศน์แทน "พี่สิงห์ ! ห้ามผมทำไม" สุทัศน์พูดเสียงเดือดดาล "ผมขอฟันหัวมันเถอะ" สุธนเหวี่ยงกำปั้นใส่หน้าสุทัศน์เป็นการเรียกสติ สร้างความตกใจให้กับคนที่ยืนอยู่ในเหตุการณ์ แต่คนที่น่าจะตกใจที่สุดคงไม่พ้นสุระ ผู้ซึ่งไม่เคยเห็นพ่อทำร้ายอามาก่อน เช่นเดียวกับภูคำและมันรู้ดีว่าที่สุธนทำแบบนี้ ไม่ใช่เพื่อปกป้องมันแต่กำลังปกป้องน้องชายมากกว่า ไม่กี่อึดใจต่อมาเสียงฝีเท้าก็ดังมาจากหน้าบันได เผยให้เห็นชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ จิตสังหารที่แผ่ออกมาเป็นวงกว้างสร้างแรงกดดัน จนทุกคนในห้องโถงแทบเคลื่อนไหวไม่ออก "เออ ! กัดกันให้พอใจเลย" สวี่เฟิ่งพูดเสียงเกรี้ยวกราด "ถ้าไม่เห็นหัวกูในฐานะเจ้านายของพวกมึง !" บรรดาเหล่าลูกน้องทั้งหลายต่างพร้อมใจกัน รีบคุกเข่าลงกับพื้นและเปร่งเสียงออกมาว่า "คารวะนายน้อยเฟิ่ง !" จากนั้นพวกมันต่างเอาหน้าแนบพื้นไม่มีใครกล้าเงยหน้า ทำได้แค่ฟังเสียงฝีเท้าของสวี่เฟิ่งลงบันได ทีละก้าว ทีละก้าว เหมือนเสียงจังหวะการเต้นหัวใจ ทว่าสุดท้ายแล้วเมื่อสวี่เฟิ่งเดินมานั่งบนโซฟา เสียงริมเหล้าลงใส่แก้ว "ลุกขึ้น !" สิ้นคำสั่งของสวี่เฟิ่งทุกคนจึงพร้อมใจกันลุกขึ้นยืน แล้วสายตาของนายน้อยแห่งแก๊งขวานซิ่ง ก็หันมาทางมาเฟียตระกูลปลาทอง และภูคำที่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง สวี่เฟิ่งพ่นลมหายใจออกทางจมูกเป็นการแสดงให้รู้ว่า ตนไม่พอใจแค่ไหนกับการกัดกันเหมือนสุนัขเลี้ยงไม่เชื่อง กอปรกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ด้วย "ในเวลาแบบนี้ มึงสองตัวยังมีอารมณ์มากัดกันอีกหรือ ไอ้ภูคำ ไอ้สุทัศน์" สวี่เฟิ่งถามเสียงอันดังแต่ก็ทรงพลัง "กระผมสำนึกผิดแล้ว ขอให้นายน้อยโปรดอภัยให้กระผมด้วย" ภูคำพูดด้วยเสียงประจบประแจงตามประสาของมัน สุระที่เห็นแบบนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเหตุใดอาของมันถึงเหม็นขี้หน้าภูคำนัก ทว่าสวี่เฟิ่งไม่ได้แยแสต่อคำประจบสอพลอของภูคำ แต่กลับพุ่งเป้ามาทางสุธนและสุทัศน์แทน สร้างความขุ่นเคืองในใจแก่ภูคำไม่น้อยเลยทีเดียว "มึงรู้ชะตากรรมของโอโตฮวาแล้วใช่หรือไม่ สุธน" สวี่เฟิ่งถามขึ้น "ครับนายน้อย" สุธนตอบ สวี่เฟิ่งเดินมาเผชิญหน้ากับสุธนโดยถือแก้วบรั่นดีในมือ สวี่เฟิ่งยกแก้วขึ้นดื่มก่อนตะพูดต่อ "กูรู้มาว่าอย่างน้อยมึงยังมีลูกน้องมือดีอยู่" สวี่เฟิ่งหันไปทางซ้ายมือ ซึ่งเป็นลูกน้องผู้ติดตามของสุธนกับสุทัศน์ นับว่าโชคยังเข้าข้างพวกนี้ไม่ออกงานมาก เมื่อเทียบกับโอโตฮวาซึ่งพวกศัตรูเสียเปรียบแน่นอน ทว่ามันก็ยังมีสิ่งที่รบกวนจิตใจของสวี่เฟิ่งอยู่ไม่น้อย "มึงรู้ไหมว่าใครคือคนที่โค่นโอโตฮวาลงได้" สวี่เฟิ่งถาม "เป็นทหารจากหน่วยรบพิเศษครับ แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร" สุธนตอบ สวี่เฟิ่งเลิกคิ้วสูง "หน่วยรบพิเศษหรือ...." นายน้อยแห่งแก๊งขวานซิ่งสาขาสองทวนคำ ก่อนจะเหลียวหลังหันไปที่ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ อายุราว ๆ ยี่สิบแปดปีไว้ผมสั้นสีทอง ดวงตาสีฟ้าประดุจเหมือนน้ำทะเล แต่กลับแฝงไปด้วยความโหดเหี้ยมเกินมนุษย์ มันนั่งอยู่บนโซฟาและกำลังเล่นไฟบนฝ่ามือ เปลวไฟแห่งกัมปนาท "ใช่กลุ่มคนที่เข้ามาขวางมึงในตอนลอบสังหารโอโตฮวาหรือเปล่า" สวี่เฟิ่งถาม เปลวไฟแห่งกัมปนาทเงยหน้ามองนายน้อย "ครับ มันไม่ธรรมดาและยังกล้าต่อกรกับผมเสียด้วย" เปลวไฟตอบและนั่งนึกย้อนกลับไปในเหตุการณ์นั้น เด็กหนุ่มในเครื่องแบบทหารที่กล้าเผชิญหน้ากับตนอย่างไม่กลัวตาย แถมยังสามารถนำตัวโอโตฮวาหลบหลีกการลอบสังหาร ไปจนถึงสนามบินแม้ว่าสุดท้ายโอโตฮวา จะถูก กันแมน ยิงกระสุนใส่ก็ตาม แต่เปลวไฟแห่งกัมปนาทยอมรับว่าอีกฝ่ายมีฝีมือพอตัว ฝั่งสวี่เฟิ่งที่ได้ฟังก็เดินมาที่โต๊ะและเทบรั่นดีใส่แก้วอีกครั้ง พลางใช้ความคิดอยู่สามถึงสี่นาที "ตามสืบเจอหรือยังว่า พ่อกูโดนขังไว้ที่ไหน" สวี่เฟิ่งหันไปถามลูกน้องทางซ้ายมือ "ไอ้ตำรวจนั่นมันยอมปริปากพูดหรือไม่" สุธนจ้องมองมาเฟียกลุ่มนั้นไม่วางตา รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ที่สวี่เฟิ่งยกงานสำคัญให้กับ ดาวมารอสูร จากมาเฟียต่างบ้านต่างเมืองไร้หัวนอนปลายเท้าได้อย่างไร แต่ถึงจะไม่พอใจสุธนจำต้องเก็บเอาไว้ ซึ่งทางฝั่งดาวมารอสูรได้รายงานต่อสวี่เฟิ่งได้ตำรวจที่ถูกจับมา ยอมคายตำแหน่งเรือนจำที่ขังสวี่หมิงล่างผู้เป็นพ่อได้แล้ว ขอเพียงสวี่เฟิ่งสั่งมา ดาวมารอสูรพร้อมด้วยลูกน้องพร้อมที่จะบุกถล่มไปช่วยนายเหนือหัวออกมา "ยังก่อน" สวี่เฟิ่งพูด "เรายังมีบางอย่างต้องสะสางให้เสร็จ" แล้วจึงหันมาทางสุธน "กูมีงานให้มึงไปทำ" สุธนโค้งตัว "น้อมรับคำสั่งครับนายน้อย" "พื้นที่ในการปกครองดูแลของโอโตฮวา ที่มึงมอบหมายให้มันดูแล จัดการทำลายมันทิ้งซะ" สวี่เฟิ่งออกคำสั่ง "รับบัญชาครับ นายน้อย" +++++ จากข้อมูลที่ได้จากแผ่นดิสของโอโตฮวา ทำให้รู้ว่าพื้นที่ปกครองดูแลของมัน ไม่ได้มีแค่ในตลาดปลาทองเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงพวกคาสิโน่และอาบอบนวดที่มีฉากหลังคือ การค้าประเวณีและมนุษย์ โดยตำแหน่งที่ตั้งอยู่พิกัดเดียวกับที่ร้อยตำรวจโทหลี่เอินไหลอยู่ ทำเอาหลี่ชิงชิงเริ่มเป็นห่วงพ่อขึ้นมา ในระหว่างการประชุมในแผ่นดิสยังทำให้มีหลักฐานว่า บรรดาผู้หญิงที่ถูกบังคับให้ต้องค้าประเวณียังมีชีวิตอยู่ โดยพวกเธอถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินของคาสิโนที่ใช้ชื่อว่า แดนสวรรค์ อัยการเย่เฉินฉายภาพสถานที่ดังกล่าวให้ดู หากดูภายนอกมันก็เหมือนสถานบันเทิงสำหรับพวกนักแสวงโชค แต่ในความคิดของปกรณ์วุฒิมันคือการหาเรื่องเจ็บตัว ยิ่งไปติดหนี้พนัยมาเฟียด้วย ยังไงก็ไม่มีทางใช้หมดหรอก ข้อนี้ปรมัตถ์เห็นด้วยอย่างยิ่ง ภารกิจใหม่ที่พวกเขาได้รับคือหาทางเข้าไปช่วยพวกเธอ ที่อาจจะยังถูกขังอยู่ในห้องใต้ดิน และที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเธอคือพยาน ที่จะเอาผิดพวกแก๊งขวานซิ่ง รวมทั้งพวกข้าราชการที่รับสินบนแต่ยังไม่มีหลักฐานมัดตัว ถึงแม้ในข้อมูลแผ่นดิสจะมีบัญชีรายชื่อพวกรับสินบนก็ตาม แต่อัยการเย่เฉินต้องการหลักฐานที่จะลงโทษพวกมัน ชนิดไม่มีทางได้เห็นแสงพระอาทิตย์ตอนขึ้นฟ้ายามเช้า สองทีมที่ได้รับมอบหมายคือทีมร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวกับทีมจ่าสิบเอกแลนเดน ทั้งหมดมีเวลาเตรียมตัวสองชั่วโมง แล้วให้มารวมพลกันที่ลานจอดรถของสนามบิน ระหว่างที่ทุกคนแยกย้ายกันจู่ ๆ ปรมัตถ์ก็นึกอยากติดต่อคนทางบ้าน จึงได้ทำการขออนุญาตจากร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว เพื่อใช้โทรศัพท์ในการติดต่อไปที่บ้าน ซึ่งคนที่รับสายก็คือ มาลัย แม่ของเขาเอง พอรู้ว่าปลายสายคือลูกชาย เธอก็แสดงน้ำเสียงของความโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก "บอม ลูกปลอดภัยไหม ไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม" มาลัยถามด้วยความเป็นห่วง "ลูกไม่ส่งข่าวหาแม่เลย รู้ไหมว่าแม่ห่วงลูกมากแค่ไหน" "ผมขอโทษครับแม่" ปรมัตถ์พูดด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้แม่เป็นห่วง "ผมพึ่งจะได้พักจริง ๆ ก็วันนี้เองครับ" คำตอบของเด็กหนุ่มทำให้ปลายสายเงียบไปจนใจคอไม่ดีนัก "แม่ยังอยู่ไหม" มาลัยได้สติอีกครั้งจึงตอบลูกไปแบบลนลาน "อยู่จ๊ะอยู่... แต่แม่ได้ยินมาว่า หลี่ชิงชิงก็ไปที่เขตเดียวกับลูกนี่" "ใช่ครับ" ปรมัตถ์ตอบ "และเธอกำลังตามข่าวหมวดหลี่เอินไหลอยู่" "แม่หวังว่าหมวดเขาจะปลอดภัยนะ" "ผมก็หวังแบบนั้นเหมือนกันครับ" ปรมัตถ์หันไปเห็นหลี่ชิงชิงกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกล เขาจึงหันไปคุยกับปลายสายของตัวเอง "แม่ครับ ผมต้องไปแล้ว" "อืม ระวังตัวด้วยนะลูก" มาลัยอวยพร "ครับแม่" ปรมัตถ์วางสายแล้วก็เดินมาหาหลี่ชิงชิงที่น่าจะคุยสายกับคนที่บ้าน เนื้อหาบทสนทนาที่พอจับใจความได้คือข่าวคราวของร้อยตำรวจโทหลี่เอินไหล แม้จะไม่ได้ยินเสียงปลายสายแต่เด็กหนุ่มก็สัมผัสได้ว่า ทุกคนดูวิตกกังวลเพราะพื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีทีท่าจะสงบลง แถมข่าวลงทุกช่องเกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดขึ้น เขาได้แต่หวังว่าทุกคนจะปลอดภัย เด็กหนุ่มเดินเข้ามาในห้องแต่งตัว ซึ่งเขาเห็นเพื่อนทั้งสามคนนอนกลางห้อง คงเพื่อเก็บแรงไว้ลุยต่อและสายตาของปรมัตถ์ดันไปสบตากับสิบตรีหานเทียนพอดี โดยทางฝั่งนั้นยิ้มให้อย่างเป็นมิตรในฐานะรุ่นพี่ "นายนอนพักเอาแรงเถอะ" สิบตรีหานเทียนบอก "ถึงเวลาเรียกรวมพล ฉันจะปลุกพวกนายเอง" ปรมัตถ์พยักหน้าและทิ้งตัวลงนอนกลางห้อง เป็นเรื่องน่าแปลกดีที่พอหัวถึงหมอน (เสื้อเกราะกันกระสุน) เขาก็หลับสนิทเหมือนมีคนมากดสวิตช์หยุดทำงาน จึงทำให้เขาไม่รู้ว่ามีคนแอบดูเขาผ่านช่องประตู ซึ่งก็หลี่ชิงชิงที่ยืนดูปรมัตถ์พักหนึ่ง ก่อนจะปิดประตูอย่างแผ่วเบา +++++
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD