ปรมัตถ์ก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงวุ่นวายจากด้านนอก เขาจึงหันมาปลุกเพื่อนอีกสามคนให้รีบตื่น และพากันออกมาด้านนอกอย่างรวดเร็ว เห็นทั้งตำรวจกับทหารวิ่งวุ่นไปหมด พอดีกับที่มีทหารคนหนึ่งเห็นทั้งสี่ยืนงงงวยกันอยู่ จึงรีบวิ่งไปเรียกสติทันท่วงที ด้วยการตบหัวพวกเขาเรียงตัว ทำให้สติกลับคืนสู่ร่างในบัดดล
"เกิดอะไรขึ้นครับ" ปกรณ์วุฒิถามขึ้นทันทีที่ได้สติ
"แก๊งขวานซิ่งโจมตีขบวนเคลื่อนย้ายโอโตฮวานะสิ ตอนนี้พวกเรากำลังไปช่วยทีมคุ้มกันอยู่" ทหารคนนั่นตอบ
"อะไรนะ !" ทั้งสี่ร้องเสียงหลงพร้อมกัน
คณณัฐหันมาทางปรมัตถ์ "ทำไมผู้กองหลิวไม่ปลุกพวกเราล่ะ"
"นั้นสิ แบบนี้ไม่ดีแน่" บุญธรพูดอย่างกังวล
"ตอนนี้ขบวนเคลื่อนย้ายอยู่ตรงไหนแล้วครับ" ปรมัตถ์ถามทหารคนนั่น
"ห่างจากตรงนี้อีกเจ็ดร้อยกี่โหลเมตร ตรงหัวมุมถนนมิเนอร์ว่า"
ปรมัตถ์พยักหน้าและหันมาทางเพื่อนทั้งสาม
"ฉันจะล่วงหน้าไปก่อน พวกนายตามมาให้ทันล่ะ" เขาบอก
"เดี๋ยว ! นายจะไปยังไง...."
คณณัฐ์ยังไม่ทันที่จะพูดจบปรมัตถ์ก็ใช้พลังควบคุมธาตุวายุ ส่งร่างตัวเองขึ้นสูงไปในอากาศโดยไม่ทันฟังคำเพื่อนเลยแม้แต่นิดเดียว บุญธรพอรู้ว่าทำไม
เพราะหนึ่งในทีมอารักขาขบวนเคลื่อนย้าย มันมีหลี่ชิงชิง คู่ผูกวิญญาณของเขาอยู่ด้วย
++++++
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้
หลังจากประชุมเส้นทางที่จะไปสนามบินของกองทัพ ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวและร้อยโทกู้เจิ้นหนานได้มาบอกให้ทุกคนในทีม พักเอาแรงอย่างน้อยสองชั่วโมง แล้วค่อยมารายงานตัวจากนั้นเธอก็เดินมาที่เต็นท์หนึ่ง ซึ่งสี่ยุวชนทหารกำลังหลับพักผ่อนอยู่ แต่ละคนหลับลึกมากบอกให้รู้ว่าพวกเขาคงเหนื่อยมาก ครู่ต่อมาร้อยโทกู้เจิ้นหนานเดินมาสมทบ เขามองทั้งสี่คนที่กำลังหลับอยู่
"ให้ตายสิ" ร้อยโทกู้เจิ้นหนานพูดขึ้น "หลับเหมือนเด็กทารกเลย"
"หึ ! เมื่อก่อนตอนนายฝึกจนหมดแรงก็มีสภาพไม่ต่างจากเจ้าพวกนี้หรอก" ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว
ร้อยโทกู้เจิ้นหนานครางเบา ๆ
"ฉันว่าปล่อยให้พวกนี้พักก่อน ถ้าถึงเวลารวมพลฉันจะมา..." ร้อยโทกู้เจิ้นหนานยังพูดไม่ทันจบก็ถูกตัดบทเสียก่อน
"ไม่ต้องหรอก ให้พวกเขาได้พักเถอะทีเหลือพวกเราจัดการกันได้" ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวสรุป
"จะดีหรืออาเสี่ยว" ร้อยโทกู้เจิ้นหนานถาม
"ฉันตัดสินใจแล้วและจะขอรับผิดชอบเอง"
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนครบสองชั่วโมง ทุกคนต่างมารายงานตัวตรงหน้ารถหุ้มเกราะ ในขณะที่ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวและร้อยโทกู้เจิ้นหนาน กำลังพูดคุยกับอัยการโพลเกี่ยวกับคนที่จะมารับตัวโอโตฮวา เป็นเจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติส่งตัวมามีชื่อว่า แม็กซ์ มาร์ช เป็นเพื่อนสมัยเด็กของอัยการโพล ซึ่งเพื่อให้การเดินทางราบรื่นคนของเจ้าหน้าที่แม็กซ์จะมาช่วยอีกแรง
ซึ่งร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวสังเกตเห็นสีหน้า ที่ดูไม่สบายใจเท่าไหร่ปรากฏบนใบหน้าของอัยการหนุ่ม เธอคิดว่ามันคงจะเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่แม็กซ์อย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะเป็นเรื่องส่วนตัวแต่หากมันมีผลต่อภารกิจ เธอก็จำเป็นที่ต้องรู้
"ท่านอัยการดูไม่สบายใจเลยนะคะ" ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวตัดสินใจถาม "มันเกี่ยวกับเพื่อนในวัยเด็กของท่านหรือไม่"
เจอคำถามตรง ๆ อัยการโพลมีสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจออกมาเหมือนคนที่เจอเรื่องหนัก ๆ มาครึ่งชีวิต แต่เขาไม่สามารถเอาความรู้สึกส่วนตัวมายุ่งกับภารกิจ
"ผมไม่รู้จะเรียกว่ากังวลหรือไม่สบายใจดี แม็กซ์เป็นคนดีและเกลียดความอยุติธรรมเหมือนผม..." อัยการโพลหยุดพูดไปครู่หนึ่ง
"ท่านอัยการ" ร้อยโทกู้เจิ้นหนานเรียกสติอีกฝ่าย
"โทษทีหมวด เพื่อนผมคนนี้บ้างครั้งเขาก็มีความรุนแรงและโหดจน... แม้แต่กับเพื่อนร่วมอาชีพยังหวาดหวั่น"
"อืม ฉันพอจะนึกภาพออก มันคงเป็นเหตุผลว่าทำไมเจ้าหน้าที่แม็กซ์ถึงถูกส่งมาที่นี้"
อัยการโพลไม่รู้อะไรต่อและทั้งสามก็พากัน เดินมายังจุดรวมพลซึ่งมีทีมของร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว ทีมของจ่าสิบเอกแลนเดนและทีมของเจ้าหน้าที่แม็กซ์ ตามรายงานอีกประมาณเจ็ดนาทีจะมีการนำตัวโอโตฮวาออกมา มีรถคุ้มนักโทษจอดรออยู่ อัยการโพลยืนนิ่งไม่พูดอะไรกับใคร แต่ในใจได้แต่นึกเจ็บใจเล็กน้อย เพราะเขาทุ่มแรงกายใจเพื่อจับโอโตฮวามาลงโทษ
แต่ใครจะนึกล่ะว่าโอโตฮวาคนนี้ จะเป็นคน ๆ เดียวกับอาชญากรสงคราม ในยุคของฮันจารบกับโกยาตเลย์ ซึ่งเข่นฆ่าผู้คนไปมากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้นเพื่อให้ดวงวิญญาณของผู้บริสุทธิ์มากมาย ที่ต้องตายด้วยน้ำมือโอโตฮวาได้ไปสู่สุขคติ และมันยังเป็นการเรียกความยุติธรรม ให้กับเหล่าบรรดาเหยื่อที่ยังมีลมหายใจด้วย
ทางฟรอนเทียร์จึงไม่มีทางเลือก นอกจากต้องส่งชายคนนี้ไปรับการพิพากษาในศาลโลก ซึ่งโทษเดียวที่รอโอโตฮวาคือการประหารชีวิตเพียงอย่างเดียวไม่มีการรอลงอาญา บางทีนี้อาจเป็นการลงโทษคนชั่วในอีกรูปแบบหนึ่งก็ได้
ครู่ต่อมาเจ้าหน้าที่แม็กซ์ก็เดินมาหาอัยการโพล เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงเท่ากับอัยการหนุ่มผู้เป็นเพื่อน หากแต่มีสีผมดำสนิทและมีทางท่าที่ดุดันมาก ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวเชื่อสนิทใจว่าคน ๆ นี้สร้างความน่าสะพรึงได้ทั้งฝ่ายศัตรูและฝ่ายเดียวกัน เหมือนที่อัยการโพลพูดไว้ไม่มีผิด
"ไม่ได้เจอกันนานเลยนะโพล ยินดีด้วยกับผลงานของนายครั้งนี้" เจ้าหน้าที่แม็กซ์กล่าวทักทายและแสดงความยินดีไปด้วย
"ขอบใจนะแม็กซ์" อัยการโพลพูด พลางถอนหายใจเบา ๆ "แต่ฉันอยากให้เราเจอกันในสถานการ์ที่รื่นรมย์กว่านี้"
"เหมือนกัน"
สักพักในที่สุดโอโตฮวาก็ถูกคุมตัวออกมาในชุดนักโทษ มีโซ่ตรวนไว้มี่แขนซ้ายมีการกำกับอาคมไว้ สำหรับอัยการโพลนี้อาจเป็นนักโทษรายแรก ที่โดนใส่โซ่แค่แขนข้างเดียว ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่แม็กซ์ก็คว้าบุหรี่ม้วนหนึ่งมาสูบ
"หือ.. นี่นายยังสูบอยู่อีกเหรอ"
"ทำไงได้ล่ะ ตอนนี้มันกลายเป็นเหมือนเพื่อนคู่ใจฉันแล้ว" เจ้าหน้าที่แม็กซ์พูดและพ่นควันขึ้นบนฟ้า
อัยการโพลส่ายหน้าเล็กน้อยพลางนึกถึงอดีต สมัยที่เขาไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่สำนักงานอัยการโลกที่เฮสติงส์ ส่วนเจ้าหน้าที่แม็กซ์ในตอนนั้นยังเป็นแค่ระดับสิบตำรวจพึ่งเข้ามาประจำการ แรก ๆ เจ้าหน้าที่แม็กซ์เป็นเพื่อนที่พูดจาตลกและสนุกสนาน มีความกระตือรือร้นต่อภารกิจที่ได้รับมอบหมายเสมอ ตำรวจรุ่นพี่ต่างก็เอ็นดูแม็กซ์อย่างมากโดยเฉพาะ สารวัตรบาเบล ผู้เปรียบได้เหมือนพ่อคนที่สองของเจ้าหน้าที่แม็กซ์
ทว่าในภารกิจตามจับ เลนิน หัวหน้ากลุ่มหัวรุนแรงมายังศาลโลกเพื่อพิพากษา แต่ระหว่างเดินทางพวกเขาถูกลอบโจมตีโดยเหล่าผู้ภักดีของเลนิน ทำให้เกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดมาก ซึ่งสุดท้ายจบลงด้วยชัยชนะของตำรวจมือปราบ ทว่าด้านความสูญเสียก็ย่อมเกิดขึ้นตามมามีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 26 คน และเสียชีวิต 19 คนหนึ่งในนั้นคือสารวัตรบาเบล นับแต่นั้นมาเจ้าหน้าที่แม็กซ์ก็แปรเปลี่ยนไปไม่ใช่คนเดิมที่อัยการโพลรู้จัก
โอโตฮวาขึ้นรถคุ้มนักโทษโดยมีทีมของจ่าสิบเอกแลนเดนขึ้นไปคุม หลี่ชิงชิงที่สวมหน้ากากปกปิดใบหน้า เธอนั่งตรงริมประตูแทนเพราะจ่าสิบเอกแลนเดนไม่อยากให้เธอนั่งใกล้นักโทษ ทางฝั่งอัยการโพลก็เหใอนจะพึ่งสังเกตว่า ในทีมของร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวขาดไปสี่คน
"ผู้กองหลิว คนในทีมคุณขาดไปสี่คนไม่ใช่หรือ" อัยการโพลถาม
"พวกเขาสี่คนเหนื่อยจากการทำภารกิจ และมีอาการบาดเจ็บด้วยอีกหนึ่ง ฉันจึงให้พักฟื้นก่อน" ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวอธิบาย
"ที่สำคัญนี้เป็นแค่การย้ายนักโทษ ทีมพวกผมมีแค่นี้ก็เพียงพอแล้วครับ" ร้อยโทกู้เจิ้นหนานเสริม
อัยการโพลพยักหน้าและจากนั้นทุกคนต่างก็รีบขึ้นรถหุ้มเกราะเพื่อเตรียมตัวเดินทาง ขณะเดียวกันทางด้านฝั่งทีมจ่าสิบเอกแลนเดน ซึ่งมีหน้าที่คุ้มกันตัวนักโทษอยู่ขณะนี้ โอโตฮวาอยู่ในท่านั่งสงบไม่มีท่าทีจะขัดขืน แต่เพื่อความไม่ประมาท ทุกคนจึงจับอาวุธให้มั่น
"ไม่ต้องกังวล... พวกนั่นไม่ปล่อยให้กูมีลมหายใจอยู่แล้ว" โอโตฮวาพูดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบและอึดอัด
"เออ แต่ฟังน้ำเสียงมึงแล้วดูจะสบายใจจังนะ" สิบเอกจางเสิ้งที่อยู่ใกล้ ๆ พูดขึ้น ในใจนึกอยากเอารองเท้ายัดหน้าสักยก
โอโตฮวาหันมามองทหารหนุ่มด้วยแววเหยียดหยาม
"เหอะ คนที่ต้องกังวลคือพวกมึงมากกว่าเพราะหน้าที่ของพวกมึง คือ..."
ผัวะ !
ปลายศอกอันแหลมคมก็ประทับเข้าที่ใบหน้าของโอโตฮวา โดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันจะพูดจบและคนที่เอาศอกอัดเข้าหน้าก็คือ จ่าสิบเอกแลนเดนที่นั่งอยู่ข้างซ้ายของโอโตฮวานั้นเอง
"หุบปากเน่า ๆ ของมึงซะ หนวกหู !"
ด้านชายร่างใหญ่ที่ถูกตรึงด้วยโซ่ตรวนจึงยอมสงบปากสงบคำ พร้อมกับเลือดไหลอาบในหน้าอันบู้บี้ดูไม่ได้ (อันที่จริงหน้าปกติก็ไม่ได้น่ามองอยู่แล้ว)
ทว่าทันใดนั้นเอง....
บึ้ม !
เสียงระเบิดจากด้านซ้ายของรถดังขึ้น พร้อมกับแรงสั่นสะเทือนจนคนข้างในสัมผัสได้ จ่าสิบเอกแลนเดนทำการวิทยุถามคนอื่น ๆ จึงได้คำตอบว่าแก๊งขวานซิ่งบุกโจมตี ฉับพลัยเสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง รอบนี้ดังใกล้กว่าเดิมทำให้จ่าสิบเอกแลนเดนบอกให้ทุกคนรีบลงจากรถ รวมทั้งตัวโอโตฮวาด้วยเช่นกัน
ทว่าทันทีที่ลงจากรถมาบรรดาศัตรูพร้อมอาวุธ ต่างพากันกรูวิ่งตรงมาทางทีมจ่าสิบเอกแลนเดน หลี่ชิงชิงที่ไหวตัวทันก็คว้ากระบี่ออกมา สู้กับศัตรูที่บุกเข้ามา โดยมีจ่าสิบเอกจางเสิ้งออกมาช่วยอีกแรง
ด้านโอโตฮวามันก็เงยหน้ามองไปด้านบน และเห็นบนมุมตึกหนึ่ง มีเงาคนยืนอยู่บนนั้นพร้อมกับลูกไฟขนาดเท่าฟุตบอล และขว้างมาทางที่ทีมจ่าสิบเอกแลนเดนอยู่ เดชะบุญที่รอบนี้การโจมตีไม่โดนพวกเขา แต่ถ้าไม่เคลื่อนพลก็อาจไม่รอด
"พวกเราต้องไป เดี๋ยวนี้ !" โอโตฮวาพูดเสียงดังแข่งกับเสียงสู้รบ "ถ้าไม่อยากโดนย่างสด"
จ่าสิบเอกแลนเดนไม่รอช้ารีบสั่งให้ทุกคนรีบเคลื่อนพล ไปสมทบกับทีมของฝั่งตำรวจสากล และทีมของร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว ทันทีกลับมารวมพลครบ สิบตรีจางเสิ้งหันมาจับคอเสื้อของโอโตฮวาเพื่อเค้นข้อมูลบางอย่าง
"บอกพวกกูมา !" ทหารหนุ่มตะคอกเสียงดัง "คนที่อยู่บนตึกนั้น มันเป็นใคร"
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้เขาก็สังเกตเห็นแบบเดียวกัลโอโตฮวา และสิบเอกจางเสิ้งคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะมีข้อมูลพวกเดียวกัน
"รู้จักสิ รู้จักอย่างดีเลย" โอโตฮวาตอบเสียงเรียบ "และมันมาเพื่อฆ่ากู"
+++++++