“จะคิดยังไงก็เอาเถอะคุณเมอร์ซี แต่ผมขอเตือนไว้อย่างนึง”
เจเรมีเลิกคิ้วสูง
“ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเสนอความเห็นอะไรที่มีแนวโน้มเอื้อผลประโยชน์ให้กับพวกโอเมก้า สำหรับตอนนี้น่ะอาจจะถามได้เพราะคุณกำลังศึกษาในสถาบัน แต่ถ้าคุณออกจากที่นี่ไป และพูดอะไรทำนองนี้ในชีวิตจริง ระวังจะใช้ชีวิตไม่ราบรื่นนะ อย่าลืมว่าคุณไม่ใช่โอเมก้า ไม่ต้องเรียกร้องสิทธิ์ให้คนพวกนั้น ทำตามที่อัลฟ่าควรจะทำก็พอแล้ว”
ได้ยินแล้วก็ขัดใจ ทำไมล่ะ ในเมื่อเขาไม่เห็นด้วยก็อยากจะแสดงความคิดเห็นบ้างไม่ได้งั้นเหรอ
ขนาดในหมู่อัลฟ่าด้วยกันยังไร้ซึ่งความยุติธรรมในการใช้สิทธิ์เลยให้ตายสิ!
แต่คนอย่างเจเรมีไม่ใช่พวกที่จะหุบปากเงียบแล้วทำตัวสงบเสงี่ยมเชื่อฟังโดยง่าย ถูกตอกกลับมาอย่างนั้น เขาก็สวนคืนทันที
“แล้วถ้าผมเป็นคนพวกนั้น... เวลาเห็นผมแล้วคุณจะเกิดอาการติดสัดด้วยไหมล่ะศาสตราจารย์”
“พูดอะไรของคุณ” คนถูกทักย่นคิ้ว ก่อนหน้าก็รู้สึกว่าตัวเองโดนดูถูกแล้ว แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายกดลงให้ต่ำมากกว่าเดิมเสียอีก
เจเรมีไม่ตอบในทันที ค่อยๆ ไล่สายตาจากใบหน้าย่นยู่ลงมายังเป้ากางเกงของอีกฝ่ายแล้วพยักปลายคางเล็กน้อย
“ไอ้หนูของคุณน่ะออกอาการแล้ว เก็บอาการหน่อยครับศาสตราจารย์ ไม่จำเป็นต้องติดสัดตามผู้เรียน เอ หรือว่ามันจะเป็นเรื่องปกติของคุณ”
คำพูดอวดดีหลุดออกจากริมฝีปากหนา ใบหน้าหล่อเหลาไร้ซึ่งความรู้สึกผิดที่พูดจาโอหัง ซ้ำยังยกยิ้มขึ้น ดูอย่างไรก็เป็นการยิ้มเย้ย และเหิมเกริมมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่ายั่วโมโหอีกฝ่ายได้จนศาสตราจารย์กำมือแน่น จ้องเขาอย่างเกรี้ยวกราด เห็นอย่างนั้น เจเรมีก็บิดตัวออกจากโต๊ะมาด้านข้าง อ้าขาออกกว้างแล้วชี้นิ้วไปยังส่วนกลางของลำตัว
“ว่าไงล่ะ ถ้าผมเป็นโอเมก้า เห็นผมทำท่าแบบนี้แล้วคุณจะออกอาการติดสัดไหม”
“คุณเมอร์ซี!”
คนมองแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างปกปิดไม่มิดด้วยสุดจะทนกับคนคนนี้แล้ว ขณะที่คนยั่วเย้ารอดูอย่างใจจดใจจ่อว่าศาสตราจารย์ที่เอาแต่อวดภูมิความรู้ใส่เขาจะตอบโต้อย่างไร ทว่ายังไม่ทันจะได้เห็น ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งมองเหตุการณ์โดยตลอดก็รีบเอื้อมมือไปสะกิดเพื่อนให้หยุดการกระทำบ้าๆ
“เจมี หยุดทำแบบนั้นน่า”
เจเรมีหันไปตามต้นเสียง เห็นหน้าเพื่อนสนิทที่ชื่ออัลเบิร์ตดูกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกก็หัวเราะลั่น
“นายเองก็อยากจะติดสัดเหมือนศาสตราจารย์เหรออัล เอาสิ โอเมก้าอย่างฉันจะถ่างขารอ”
“เจมี...”
“เอ้า คงไม่ต้องรอแล้วล่ะมั้ง นายติดสัดไปแล้วนี่”
ยังคงล้อเลียนไม่ยอมหยุด พลางชี้นิ้วไปยังบริเวณกลางลำตัวของเพื่อนที่มีอาการเดียวกันกับคนอื่นๆ ด้วย ก่อนอัลเบิร์ตจะหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายขึ้นมา
ไม่สิ ไม่ใช่แค่อัลเบิร์ต ศาสตราจารย์เองก็เช่นกันทว่าเป็นเพราะความโกรธ เขาตบโต๊ะดังปัง เรียกสายตาของเจเรมีให้หันกลับไป
“ถ้าคุณไม่พร้อมที่จะเรียนในคลาสผมก็ขอเชิญออกไปก่อนแล้วกัน พร้อมเมื่อไหร่ค่อยกลับเข้ามา”
“ช่วยไม่ได้นะ” เจเรมียืดตัวขึ้น บิดขี้เกียจเล็กน้อย ทำท่าทางไม่ยี่หระกับสิ่งที่เกิดขึ้นสักนิด หันไปชักชวนเพื่อนอีก “นายก็ไปกับฉันด้วยสิ”
“เอ่อ...คือ...” อัลเบิร์ตที่จู่ๆ ก็ถูกเรียกออกอาการเลิ่กลั่ก มองเพื่อนตัวเองกับศาสตราจารย์สลับกันไปมาแล้วก็ต้องชะงัก
“มัวแต่นั่งอยู่นั่น ตามมาเร็วๆ”
พูดจบ เจเรมีก็เดินออกจากห้องบรรยายไปโดยไม่สนใจสายตาของเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ที่มองมาอย่างเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมน่าระอาแม้แต่น้อย ปล่อยให้อัลเบิร์ตทนรับกับสายตาทิ่มแทงเพราะเป็นเพื่อนสนิทกันอีกพักหนึ่งจนเริ่มไม่ไหว รีบลุกขึ้น หันไปเอ่ยขอโทษคนอาวุโสกว่าเล็กน้อยแล้วก้าวตามออกไป ปล่อยให้ชั้นเรียนได้เข้าสู่ความสงบอีกครั้งเมื่อ ‘จอมวายร้าย’ จากไป
จอมวายร้ายประจำหมู่อัลฟ่าที่เป็นที่รู้จักกันดีอย่าง...เจเรมี เมอร์ซี
“ให้ตายเถอะเจมี นายไม่น่าพูดกับศาสตราจารย์แบบนั้นเลยนะ” พ้นจากบริเวณหน้าห้องบรรยายมาได้ อัลเบิร์ตก็หลุดตำหนิเพื่อนสนิทออกมา
เจเรมีไม่มีท่าทีสนใจกับคำร้องท้วงนั้น ก้าวเดินต่อไปให้อีกฝ่ายพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ก่อนจะเอ่ยอีก
“เมื่อไหร่นายจะหยุดก่อกวนสักที เมื่อวานนายก็เพิ่งจะทำคุณอีตันโมโหไป วันนี้ก็ทำศาสตราจารย์คอร์ทนีย์หัวเสียอีก พักนี้นายจะหาเรื่องมากไปแล้วนะ”
“ตาแก่นั่นชื่อคอร์ทนีย์เหรอ” แทนที่จะฟังเพื่อนดันถามชื่อคนที่ตัวเองเพิ่งยั่วโทสะไปเสียอย่างนั้นทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าเขาชื่ออะไร
อัลเบิร์ตถอนหายใจ ยกมือขึ้นคลึงขมับเล็กน้อย พึมพำอย่างเหนื่อยใจ
“ตั้งแต่เมื่อไหร่นะที่นายกลายเป็นพวกขวางโลกแบบสุดโต่งอย่างนี้ นายปั่นประสาทอาจารย์ไปกี่คนแล้ว”
กี่คนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ต้องมานั่งจำหรอก เอาเป็นว่าแทบจะไม่มีใครเหลือรอดจากการถูกเจเรมีปั่นหัวก็แล้วกัน และชายหนุ่มก็ไม่ใส่ใจด้วยเพราะนั่นเป็นนิสัยพื้นฐานของเขา
สงสัยก็ต้องถาม เห็นต่างก็ต้องโต้แย้ง คนพวกนั้นคิดว่าตัวเองมีความรู้สูงส่ง ไม่เปิดใจยอมรับฟังเอง มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องโดนลองภูมิ เพียงแต่การลองภูมิของทายาทตระกูลเมอร์ซีออกจะร้ายกาจและหยาบคายไปหน่อยก็เท่านั้น
“ฉันก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
เจเรมีว่าอย่างไม่ยี่หระ ทำเอาอัลเบิร์ตเหนื่อยใจหนักขึ้นไปอีก
“ใช่ ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้วด้วย แต่พอเข้าสถาบันพัฒนาฯ เมื่อปีก่อน นายก็ทำตัวขวางโลกมากขึ้น ตอนนี้ขึ้นปีสองแล้ว แทนที่จะเป็นผู้ใหญ่ ดันนิสัยเสียยิ่งกว่าเดิมอีก เมื่อไหร่นายจะเพลาไอ้ความกวนประสาทนั่นลงสักที”
“เมื่อฉันตายล่ะมั้ง” เสียงหัวเราะขบขันหลุดออกจากริมฝีปากหนาของเจเรมี ทำเอาอัลเบิร์ตย่นปากยู่ ก่อนที่จอมวายร้ายจะถลาเข้าไปกอดคอเพื่อน “จริงจังไปได้น่า ฉันเป็นแบบนี้ นายน่าจะชินแล้วนี่อัล”
“ชินมันก็ชินอยู่หรอก แต่มันวางตัวลำบาก”
วางตัวลำบากเพราะการกระทำของเจเรมีนี่แหละ เขาแทบจะกลายเป็นคนไม่มีสังคมเพราะเพื่อนสนิทเป็นคนน่ารังเกียจในสายตาคนอื่นอย่างนี้ เจเรมีเองก็ไม่เถียงหรอกว่าเขาร้ายกาจขนาดไหน หากนับตั้งแต่ตอนจบการศึกษาระดับตอนปลายจนมาเข้าสถาบันพัฒนาบุคลากรที่เป็นสถาบันบ่มเพาะเยาวชนอัลฟ่าเพื่อขัดเกลาก่อนจะออกไปเป็นบุคคลสำคัญในแวดวงชนชั้นสูงของมหานครเพิร์ล ก็ไม่รู้เลยว่าเขาก่อวีรกรรมชวนปวดกะโหลกให้กับเพื่อนและวงศ์ตระกูลมากี่ครั้งแล้ว เริ่มตั้งแต่เถียงไม่เลือกหน้า ก่อความวุ่นวาย จนถึงขั้นทะเลาะวิวาท เจเรมีล้วนทำมาแล้วทั้งสิ้น แต่นั่นเป็นเพราะเขาแค่ไม่ได้คำตอบในสิ่งที่เขาสงสัย ในเมื่อไม่ได้คำตอบก็ต้องถาม ใครจะไปรู้ล่ะว่ามันจะนำไปสู่ความขัดแย้ง ที่เขาทำมันไม่ใช่ความก้าวร้าวสักหน่อย เรียกว่ามีความคิดก้าวหน้าต่างหาก
“นายจะไปใส่ใจทำไม ก็แค่เรื่องเล็กน้อย”
“มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะเจมี ต่อให้จบการศึกษาจากที่นี่ไป เราก็ต้องเจอกับคนพวกนี้อยู่ดี แวดวงอัลฟ่ามันจะกว้างสักแค่ไหนกันเชียว จบออกไปแล้วก็ต้องไปทำงานเจอหน้ากันทั้งนั้น นายเป็นแบบนี้ ในอนาคตจะทำงานร่วมกับคนอื่นยากนะ”
อัลเบิร์ตเตือนตามความเป็นจริง กลุ่มอัลฟ่ามีจำนวนค่อนข้างน้อย นับเป็นหนึ่งในสี่ของพวกเบต้าเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างไรเสีย กลุ่มโอเมก้าก็ยังมีน้อยกว่าอีกมากโข