จิวซัว ใส่ฟืนเข้าไปในกองไฟจนลุกโชติช่วงค่ำคืนเหน็บหนาวมีหญิงงามข้างกาย บัดนี้ช่างรู้สึกเป็นสุขอย่างประหลาด
“ข้าคงต้องกลับแล้ว”น้ำเสียงเรียบเฉยแผ่วเบา
น้ำตาลก้อนเสียบไม้ถูกล้วงออกมาจากอกเสื้อยื่นส่งให้ซินเฟย
“ข้า เสี่ยวซัว”ยินดีที่ได้พบแม่นาง…”
“ข้าซินเฟย ท่านไม่เก็บมันไว้กินหรือไร”จิวซัวยิ้มกว้างสดใสอีกครั้งนั่งลง ข้างกองไฟใช้ไม้ในมือเขี่ยไฟให้ลุกโชติช่วง
“ข้าจะยอมไม่กินมันเพื่อจะได้ระลึกถึงรสหานอร่อยของมัน หากข้ากินมันเสียตอนนี้คงไม่อยากกินมันไปอีกหลายวัน”ซินเฟยยิ้มบางๆ จิวซัว ก้มหน้าเขี่ยดินไปมารู้สึกว่ารอยยิ้มของซินเฟยทำเอาเขาประหม่าไม่น้อย
บ้านตระกูลฟง ตระกูลใหญ่ผู้ภักดี
“ฝ่าบาท แม้ตอนนี้ทุกอย่างจะราบเรียบเข้าที่เข้าทาง แต่ทัพของแคว้นเหลี่ยงตอนนี้ ประชิดแนวชายแดน ท่านแม่ทัพรอบัญชาจากฝ่าบาทว่าต้องการให้ตรึงกำลังหรือไม่”
“ทัพแคว้นเหลี่ยง”
“แคว้นเหลี่ยงยิ่งใหญ่อลังการฮ่องเต้ของแคว้นเหลี่ยงบัญชาการรบด้วยตัวเองจัดว่าเป็นแม่ทัพที่ฝีมือเยี่ยมยอดคนหนึ่งทีเดียว อาจเป็นเพราะฮ่องเต้ยังไม่ได้มีการแต่งตั้งฮองเฮาจึง ไม่มีสิ่งใดต้องห่วงออกเดินทางบัญชาการรบด้วยตัวเอง”
“มีทีท่าว่าจะบุกเข้ามาหรือไม่”
“ตอนนี้ยังคงรั้งอยู่ที่แนวชายแดนยังไม่ได้กล่ำกรายเข้ามาแต่อย่างใด ข้าน้อยเองก็ไม่แน่ใจว่าแคว้นเหลี่ยงต้องการอะไรกันแน่”
“ส่ง คนเจรจา”
“ฝ่าบาท เดิมเรื่องนี้ไว้เป็นหน้าที่ของกระหม่อม ฝ่าบาททรงตรากตรำมาแสนนานครั้นจะได้พักกลับต้องมีเรื่องนี้มากวนใจ”
“ขอบใจใต้เท้าฟงมาก ตอนนี้ข้ายังปล่อยมือจากเรื่องราวของบ้านเมืองยังไม่ได้ เรื่องอื่นเอาไว้ที่หลัง ท่านว่าจะดีหรือไม่หากข้า จะเร้นกายไปสืบข่าวทัพแคว้นเหลี่ยง”จ้องมองใบหน้าใต้เท้าฟงค้นหา บางอย่างในสายตาและคำพูด
“ฝ่าบาทข้าตั๋วฟงเกรงว่าเรื่องนี้ฝ่าบาท ไม่จำเป็นต้อง กระทำด้วยตัวเองคนของเราในทัพเหลี่ยงตอนนี้มีอยู่จำนวนหนึ่ง ความเคลื่อนไหวของทัพเหลี่ยงจึง ส่งมาถึงเราตลอดเวลา”
“อืม ท่านฟงช่างรอบคอบ”
“ฝ่าบาทละทิ้ง เรื่องราวเหล่านี้หาความสำราญเสียบ้างจะดีไม่น้อยตั้งแต่ทรงนั่งบัลลังก์มา กระหม่อมไม่เคยจะเห็นว่าฝ่าบาท จะละมือจากงานในราชสำนักทั้งยามหลับยามตื่น”
“ความสุขของราษฎรแคว้นฉินนับว่าสำคัญกับข้าที่สุด”
“พรุ่งนี้ กระหม่อมเห็นสมควรทูลเชิญเสด็จประภาสป่าล่าสัตว์สร้างความสำราญ”
“เวลาเช่นนี้ข้าจะหาความสำราญได้อย่างไรยามที่ข้าศึกประชิดแนวชายแดน”
“ฝ่าบาทหากตื่นกลัวเกรงว่าแคว้นเหลี่ยงจะได้ใจฮึกเหิมยิ่งขึ้น ฝ่าบาทเห็นควรจะทำเป็น ไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้มากนัก แต่ใช่ว่าจะหละหลวมกระหม่อม ได้สั่งให้มีการรับบุรุษหนุ่มเข้ามาในวังหลวงเพื่อเพิ่มกำลังทหารในวังหลวงและกำลังทหารของแคว้นฉิน ระหว่างนี้จึงถือว่าได้คัดเลือกผู้ที่มีฝีมือทั่วแคว้นมาไว้ใช้งาน เช่นนั้นฝ่าบาทจึงจำต้องช่วยเบี่ยงเบนความสนใจในเรื่องการเพิ่มกำลังทหารโดยการทำทีว่ามิได้เดือดเนื้อร้อนใจเรื่องทัพของแคว้นเหลี่ยงประชิดแนวชายแดน”จางหลง พยักหน้าหงึกหงัก
“ตั้งแต่เสด็จพ่อจากไป ท่านเป็นเพียงผู้เดียวที่ข้าไว้ใจและช่วยแบ่งเบางานในราชสำนักได้ดีทีเดียว ท่านต้องการสิ่งใดตอบแทนบ้างหรือไม่หลายปีมานี้ข้าไม่เคยแม้สักครั้งที่จะเอ่ยปากถามท่านตามตรง”โยนหินถามทาง
“กระหม่อมภักดีไม่เปลี่ยนแปลงมีสิ่งเดียวที่ต้องการตอนนี้คืออยากให้ฝ่าบาท ได้รับความสำราญบ้าง อย่าได้หักโหมกับจนเกินไป องค์รัชทายาทเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อยากจะเป็นก่อนที่จะไร้ลมหายใจ กระหม่อมเองก็แก่เฒ่าแล้ว ฝ่าบาท จึงถือว่าเป็นฮ่องเต้ที่มีคุณธรรม เห็นแก่ราษฎรเป็นหลักจึงไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้วจะห่วงก็แต่ องค์รัชทายาทที่ป่านนี้ยังมีมีวี่แวว”
แววตา จริงใจจางหลงยิ้ม หลายปีมานี้เขาตรากตรำอย่างมากเพื่อแคว้นฉิน จนละเลยเรื่องบ้างเรื่อง สนมบางคนถูกไล่กลับตั้งแต่หัวค่ำบางคน กับถูกปล่อยให้นอนหลับบนแท่นนอนจนสาย จะมีก็เพียงแต่..สนมนางนั้น สนมที่แววตาเศร้าสร้อย นางมีชื่อแซ่ว่าอะไรกันเขาจำได้แต่เพียงแววตาเศร้าสร้อยของนาง ในเปลวไฟไหวระริกก็เท่านั้น
“ฝ่าบาทจะต้องตามหาหญิงคนนั้น”จางหลงหันมามองใต้เท้าฟงเต็มตา ตกใจกับคำพูดที่คิดว่าใต้เท้าฟงรู้เรื่องของนาง
“หญิงคนที่ฝ่าบาท พร้อมที่จะให้นางเป็นแม่ขององค์รัชทายาท กระหม่อมรู้ดีเรื่องในวังหลังบางอย่างไม่ได้อยู่ในสายตาของฝ่าบาทเป็นฮองเฮาที่จัดการเพียงลำพังเช่นนั้นต่อจากนี้ ฝ่าบาทใส่ใจอีกนิดความหวังเรื่ององค์รัชทายาทคงไม่ไกล”ฮองเฮาจัดการเพียงลำพัง จางหลงสะดุดกับคำนี้ไม่น้อย
จางหลงเดินนำหน้าเสี่ยวซานตามาไม่ห่าง ในค่ำคืนมืดมิดทางเดินทอดยาวสู่ตัวตำหนักใหญ่สองข้างทางขนาบข้างด้วยกำแพงสูง
“ฝ่าบาท เสี่ยวซานได้ยินเรื่องหนึ่งมา ค้างคาใจอยากจะบอกเล่าให้ฝ่าบาทได้ฟังแต่เกรงว่า...”จางหลงชะงักฝีเท้า
“เรื่องใดกัน”
“สนมนางนั้นที่ถูกโบยถึงร้อยไม่นางยังไม่ตาย และถูกส่งตัวยังตำหนักเย็น”จางหลงยิ้มบางๆ
“ถูกต้องที่สุดแล้ว เป็นกฎมณเฑียรบาล ว่าด้วยการลงทัณฑ์ในวังหลังเจ้ามีอะไรสงสัยอย่างนั้นหรือ”
“ฝ่าบาทนางถูกโบยถึงร้อยทีแต่ไม่อาจตาย ฝ่าบาทคิดว่าอย่างไรกัน”จางหลงยังคงยิ้ม
“นางคงจะมีความอดทนเกินหญิงทั่วไปหรือไม่ก็คนที่ลงไม้โบยนางในวันนั้นออมมือเพราะความสงสารที่นางตั้งครรภ์”
“ฝ่าบาทเสี่ยวซานยังได้ยินมาอีกว่า…”
“พอแล้ว ข้าเหนื่อยมาทั้งวันอยากจะพักผ่อนเสียเต็มที เจ้าเร่งฝีเท้าให้ถึงตำหนักโดยเร็ว”เสี่ยวซานหยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้นใจจริงอยากจะบอกว่าเป็นเรื่องน่าแปลกมากที่ฮองเฮาไม่ทรงไต่สวน องครักษ์ชั้นต่ำผู้นั้นแต่ลงมือประหารด้วยตัวเองเพียงดาบเดียวก่อนที่จะสั่งให้มีการลงทัณฑ์สนมซินเฟย อีกเรื่องที่ฝังใจคืออยากถามจางหลงว่าลืมเลือนนางไปแล้วหรือนางอาจเป็นคนที่ฝ่าบาทพบในคืนนั้น
จางหลงสาวเท้าเร็วรี่ที่มุมกำแพงนั้น ซินเฟยเดินสวนมาพอดีมุ่งหน้ายังตำหนักเย็นภายใต้แสงจันทร์สว่างดุจกลางวัน ใบหน้างาม กับอาภรณ์สีขาว รับกับใบหน้างดงามทว่าดวงตาเศร้าสร้อย ซินเฟยเดินเลี้ยวออกประตูไปตามทางที่มุ่งสู่ตำหนักเย็นที่หนาวเหน็บไม่ทันสังเกตเห็นจางหลง จางหลงยืนมองตาค้างเสี่ยวซานวิ่งตามมาพอดี
“เสี่ยวซาน เจ้าเห็นนางหรือไม่”เสี่ยวซานหันซ้ายหันความมองเห็นแต่ความมืดมิด
“ใครกันฝ่าบาท”
“นาง นางเป็นใคร”พูดเหมือนละเมอ
“เสี่ยวซานไม่ทราบฝ่าบาท ฝ่าบาทเห็นผู้ใดกัน”
“เสี่ยวซาน ประตูนั่นไปที่แห่งใด”ชี้มือไปยังประตูทางออก
“ทางนั้นไปได้หลายแห่ง ออกไปนอกเขตวังหลวงหรือไม่ก็ ไปตำหนักเหมยฮวาของไทฮองไทเฮา คุกหลวง คอกม้า ห้องซักล้าง และตำหนักร้อน ตำหนักเย็น
“พรุ่งนี้ส่งคนหานางให้ข้า”
“ฝ่าบาททำไมต้องหานาง”
“ข้าอยากรู้ว่านางเป็นใคร”