ฉันคิดอยู่เสมอว่า เมื่อตื่นขึ้นในอีกวัน...อะไรๆก็คงจะดีขึ้นกว่าวันก่อน
แดดรำไรส่องกระทบ แยงตา... ปลุกฉันตื่นอย่างนุ่มนวล ฉันลุกขึ้น กล้ามเนื้อตึงเขม็ง พื้นแข็งริมระเบียงทำให้เมื่อยไปทั้งร่าง ฉันนั่งสัปหงกสักพัก สางผมยุ่งกระเซิงให้เข้าที่ ก่อนจะลุกเดินกลับเข้าไปในห้องนอน
“คุณธีรพลคะ ตื่นได้แล้ว” ฉันมองไปยังเตียงนอน...ที่เมือคืนเด็กน้อยนอนอยู่
แต่ตอนนี้... เขาหายไปแล้ว...
“คุณธีรพลคะ!”
ตาตื่นเต็มที่...หันไปหันมาทั่วห้อง
“คุณธีรพล!”
เปิดประตู วิ่งไปเปิดประตูห้องน้ำ แต่ไม่เจอเขา
“คุณธีรพล ซวยแล้ว ซวยๆๆ” ฉันผลุนผลันวิ่งออกไปนอกห้อง ทั้งชุดนอนและผมเผ้ากระเซอะกระเซิง วิ่งลงบันไดโครมๆไปจนถึงครึ่งทาง หยุดกะทันหัน! เพราะคุณมิรินทร์กำลังเดินขึ้นมาเช่นกัน เธอขวางทางฉัน
“เป็นอะไรเนี่ย ทำไมรีบร้อนนัก” สะใภ้ใหญ่ของบ้านกล่าวเสียงเคร่งเครียด
“คุณธีรพลหายไปค่ะ!” ฉันละล่ำละลักตอบ
“หายเหยอะไร ก็อยู่ข้างบนนั่นไง”
ฉันหันหลังขวับ เห็นร่างเด็กน้อย ยืนมองฉันอยู่จากบันไดขั้นบนสุด
“คุณธีรพลคะ ฉันตกใจแทบแย่” ฉันพูดอย่างโล่งใจ กำลังจะเดินขึ้นไปหาเขา
คิ้วเล็กๆของเขาขมวดขึ้น ดวงตาแข็งกร้าวจ้องมา ก่อนที่สองขาจะเริ่มออกวิ่ง เขาวิ่งลงบันไดปึงๆ เหมือนจะวิ่งมาหาฉัน แต่เปล่าเลย... เขาวิ่งชนฉันหงายหลังโครม
“ว้าย! พริมา” มิรินทร์รีบคว้ามือฉันไว้ ไม่ให้หงายหลังตกบันได ในขณะที่ธีรพลวิ่งปึงๆลงไปถึงชั้นล่าง ก่อนจะหายวับไปตรงทางแยกของคฤหาสน์
“เป็นอะไรหรือเปล่า” มิรินทร์พยุงฉันให้ลุกขึ้น “ร้ายจริงๆตาพล”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เมื่อตั้งตัวได้แล้ว ฉันก็รีบวิ่งตามธีรพลไปอย่างรวดเร็ว เขาไวมาก... ลับหายไปตรงทางแยกอันสลับซับซ้อนของคฤหาสน์ ภายในพริบตา จนฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแมวที่กำลังวิ่งไล่จับหนู ถ้าชะลอความเร็วลงแม้แต่นิดเดียว คงไม่มีทางหาเขาเจออีก
“คุณธีรพล หยุดก่อน! อย่าหนีฉันซิคะ”
ธีรพลวิ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา เขาไม่สนด้วยซ้ำว่ามีอะไรขวางหน้าอยู่บ้าง วิ่งชนสาวใช้ที่กำลังถือถาดอาหาร จนชามน้ำแกงหล่นแตกกระจาย ฉันวิ่งเหยียบน้ำแกงลื่นพรืด สาวใช้ร้องกรี๊ด แต่ฉันไม่มีเวลาจะมาสนใจอะไร รีบลุกขึ้น แล้ววิ่งตามเขาไปอย่างรวดเร็ว
เด็กน้อยคนนี้ มีพลังงานมากมายเหลือเฟือจนเหมือนไม่ใช่คนป่วย เขาวิ่งชนคุณชายคนที่สองของบ้าน จนเอกสารปึกใหญ่ที่ถือมาร่วงกระจายลงกับพื้น
“ธีรพล!” ธีรนันท์หันไปตวาดด่าน้องคนเล็กด้วยเสียงเกรี้ยวกราดวูบหนึ่ง ก่อนจะก้มลงเก็บเอกสาร
ฉันวิ่งมาจนถึงตรงที่ธีรนันท์นั่งคุกเข่าอยู่พอดี เบรกเอี๊ยด! ไม่กล้าก้าวขาข้ามหนังสือ เหมือนเขาจะรู้ จึงหันขึ้นบอก ด้วยเสียงเหมือนออกคำสั่งมากกว่า... “ไม่เป็นไร! รีบตามมันไป อย่าให้ออกนอกคฤหาสน์”
ฉันกระโดดข้ามกองเอกสาร ตามเขาไปอย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน วิ่งผ่านธีรเมธที่กำลังยืนขำ
“เด็กเล่นวิ่งไล่จับกันเหรอ พี่นันท์” ธีรเมธ...คุณชายคนที่สามของบ้านเอ่ยถาม
ฉันไม่ใช่เด็ก! ถึงจะตัวเล็กแต่ไม่ใช่เด็ก บ้าจริง
“ไอ้พลก่อเรื่องแต่เช้า” ...ได้ยินเสียงธีรนันท์ตอบน้องชาย
ไม่มีเวลาสนใจอะไรทั้งนั้น หน้าที่ของฉันคือต้องตามจับตัวเขากลับมาให้ได้ ฉันไม่อยากถูกไล่ออกตั้งแต่วันแรกที่ทำงาน เสียประวัติหมด แล้วฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
ธีรพลวิ่งออกนอกบ้าน วิ่งผ่านซุ้มกระดังงา ไปตามทางเชื่อมระหว่างคฤหาสน์ กับหอคอยสีดำด่างๆเหมือนถ่านตั้งอยู่หลังคฤหาสน์ เขาวิ่งไปจนถึงประตูเล็กๆใต้หอคอย ทุบประตูปึ้งๆ เหมือนรอให้ใครลงมาเปิด
ฉันวิ่งออกมาจนถึงจุดที่เขายืน หยุดหอบแฮ่กๆ ก่อนจะกล่าวว่า...
“คุณธีรพลคะ เลิกหนีซักทีเถอะ ฉันจะหมดแรงแล้วนะคะ!”
เขายังคงทุบประตู แต่ไม่มีใครลงมาเปิด แววตาของเด็กน้อยเศร้าลง คอพับ...ตกลงกับอก
“คุณธีรพลคะ...” ฉันเดินไปจับไหล่เขา
เด็กน้อยสะบัด วิ่งชนฉันอีกครั้ง กระโจนลงสนามหญ้า และวิ่งเข้าไปยังทางเข้าสวนหิน ซึ่งมีไม้พุ่มทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ล้อมรอบอยู่คล้ายกำแพง
ฉันวิ่งตามเข้าไปในสวนนั้น และถึงกับตกตะลึง เมื่อเห็นรูปปูนปั้นตั้งตระหง่านอยู่เต็มไปหมด ปูนเหล่านั้นถูกปั้นเป็นคนในลักษณะต่างๆ...มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย มีทั้งคนแก่...และเด็ก
“คุณพระช่วย!” ความเหนื่อยทำให้เดินซวนเซ ฉันกระเผลกๆไปนั่งอยู่บนฐานวงกลมของรูปปั้นหนึ่ง เมื่อเงยหน้ามอง เห็นดวงหน้าของเด็กผู้หญิงผมตรงยาว จากส่วนสูงของรูปปั้น เธอคนนี้คงอายุเพียงสิบสี่สิบห้า
ฮึ่ก..ฮึ่ก... เสียงหอบหายใจอ่อนๆของใครคนหนึ่งดังมา จากหลังรูปปั้นฝั่งตรงข้าม
ฉันลุกขึ้น เดินไปยังรูปปั้นหญิงสาวผมยาวสลวย ที่คิดว่าเป็นต้นกำเนิดของเสียง
...เดินอ้อมไปทางด้านหลังรูปปั้น
ธีรพลที่กำลังกอดเข่าอยู่ ค่อยๆเงยหน้าขึ้น หันขวับมาจ้องผู้แปลกหน้าอย่างฉัน ที่บังอาจรุกเข้าไปในที่หลบซ่อนของเขาอย่างเคืองแค้น
“คุณธี...” ฉันพูดไม่จบ เขาก็ลุกพรวดขึ้น แล้วโจนหายเข้าไปหลังพุ่มไม้
“เฮ้ย!” ฉันร้องลั่น รีบมองหาทางออกอื่น ที่จะทำให้โผล่ไปข้างหลังพุ่มไม้ได้ แต่ไม่มีทางใดนอกจากประตูทางเข้าที่เพิ่งวิ่งเข้ามาทีแรก
ฉันตัดสินใจ...กระโจนตามธีรพลเข้าไปในพุ่มไม้นั้น แต่เพราะผมเผ้าของฉัน มันไม่ได้สั้นเหมือนของเด็กน้อย การจะคลานออกมาได้ จึงเป็นไปอย่างทุลักทุเล
ฉันกระชากผมตัวเองที่พันรุงรังกับกิ่งไม้ โผล่หน้าออกมาสูดอากาศภายนอก พร้อมเศษใบไม้ติดเต็มหัว
“คุณธีรพ๊ล” ฉันตะโกน ไม่มีเวลาให้หยุดหายใจหายคอเลย ฉันเห็นร่างเล็กๆของเขากำลังเดินลุยเข้าในพงหญ้าคาสูงเทียมหัว “อย่าเข้าไปนะ อันตราย เดี๋ยวโดนงูฉก”
โดยไม่รอช้า... รีบวิ่งลุยหญ้าคาตามเข้าไปตรงบริเวณที่เห็นเขาครั้งสุดท้าย
ซวบ...ซวบ...ซวบ...โผล่พ้นโพงหญ้าคามาได้ ฉันก็พบกับทุ่งหญ้าที่มีดอกหญ้าสีขาวชูไสว กว้างใหญ่ตระการตา ตรงจุดรวมสายตาที่อยู่ไกลโพ้นนั้น คือต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่เดี่ยวๆ...เพียงต้นเดียว บนเนินเขาเล็กๆ
ธีรพลหยุดวิ่งแล้ว...ยืนนิ่งอยู่
และฉันเห็นเขา... ยืนอยู่ตรงด้านหลังกองหญ้าแห้งที่วางสุมกันบนพื้น
“คุณธีรพลคะ กลับกันเถอะค่ะ” ฉันเดินเข้าไปหาเขา... ...ใจชื้นขึ้นทันที คิดว่าเขาคงหยุดหนีแล้ว
เมื่อเดินใกล้เข้า และสบกับดวงตา...บนใบหน้าขาวซีดที่มีแววประหลาดของเขา ฉันก็เดินช้าลงเรื่อยๆ
“คุณ...ธีรพล...คะ” ถามอย่างไม่แน่ใจ...พลางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
ฮวบบบบบ! …..กรี๊ดดดดด
ไม่ทันแล้ว! ฉันตกลงไปในหลุมที่ซ่อนตัวอยู่ใต้กองหญ้าคานั้น ร่างไถลลงไปตามดินลาดชัด ที่ลื่นเหมือนสไลเดอร์ และหล่นตุ้บ! ลงบนกองฟางชื้นๆที่สุมอยู่ด้านล่างหลุม...ลึกจากพื้นดินเบื้องบนเกือบ 6 เมตร
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย กรี๊ดๆ” ฉันร้องบ้าไม่เป็นภาษา พยายามจะปีนขึ้นไปให้ได้ “คุณธีรพล คุณธีรพล ช่วยด้วย ช่วยไปตามคนมาช่วยที”
เขายื่นหน้ามา...เหนือปากอุโมงค์ แววตาขณะมองลงมาบ่งบอกว่าสะใจ
นี่มัน...อะ...ไร...กัน
ฉันตะลึง หน้าซีดเผือด ไม่คิดเลยว่าเด็กสิบขวบจะทำได้ถึงขนาดนี้ นี่ฉันถูกส่งมาเลี้ยงเด็กปีศาจงั้นเหรอ
ธีรพลมองฉันสักพัก ก่อนที่ใบหน้าเขาจะหายไปจากปากหลุม ตามมาด้วยเสียงสวบๆของการเดินจาก
เด็กเลว... คิดเหรอว่าจะแกล้งสำเร็จ ฉันจะหาทางขึ้นไปให้ได้ คอยดูเถอะ คิดแล้วก็เริ่มที่จะปีนไปตามทางดินที่ลาดชัน เกือบถึงแล้ว อีกนิดเดียวเอง อีกนิดเดียวก็จะขึ้นไปได้
ปีนไปเกือบจะถึงทางออก...แค่สามเมตรเท่านั้น ดินเจ้ากรรมก็ถล่ม!
“กรี๊ดดดดด” ฉันกลิ้งลงไปเหมือนลูกบอล นอนแอ้งแม้งหมดท่า คราวนี้ขาขวาเจ็บเหมือนจะแพลง
ทำไม! ทำไมฉันต้องเจอเรื่องแบบนี้ด้วย...
น้ำตาหยดเผาะ... รสชาดชีวิตฉัน...จากแอปเปิ้ลเปรี้ยวๆ ตอนนี้กลายเป็นแอปเปิ้ลเน่าๆแล้ว
ผ่านไปร่วมชั่วโมง... ฉันยังตะโกนอยู่เบื้องล่าง
“ใครก็ได้ช่วยที ฮู้วววววว มีใครอยู่ข้างบนหรือเปล่า ฮู้ววววววววว”
เปล่าประโยชน์...ไม่มีใครมาหรอก... ฉันคงต้องตายอยู่ในนี้แน่ๆ
ตึก! ...มีบางอย่างหล่นลงมาโดนหัวฉัน เมื่อหันไปมอง โอ... สวรรค์ นั่นมันเชือกนี่นา
รีบคว้าไว้ทันที เส้นเชือกตึงแน่น... แสดงว่ามีคนกำลังดึงปลายเชือกอยู่บนปากหลุม ฉันรีบเอาเชือกมาพันเอวแน่น ดึงเชือก แล้วก็มีแรงดึงค่อยๆยกตัวฉันไถลขึ้นไปตามทางดินลาดชัน แรงดึงนั้นทรงพลังเหลือเกิน เพียงไม่นาน...ร่างฉันก็โผล่ขึ้นไปพบแสงสว่างเบื้องบน
ในแสงสว่างใกล้ปากหลุมมา ใบหน้าใครคนหนึ่งโผล่เข้ามา
เขา...
คุณธีรดนย์นั่นเอง... มาช่วยฉันงั้นเหรอ...
เขายื่นมือมาคว้าแขนฉันไว้ เมื่อสบตากันก็ยิ้มให้...เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน ยิ่งกว่าเคยเห็นจากใคร ดวงตาที่เคยเป็นประกายดังไฟ...จางหาย กลายเป็นกลีบดอกไม้ โรยร่วงลงสู่ใจแทนที่
“โชคดีจริงๆที่คุณมา ฉันนึกว่าจะไม่มีใครมาช่วยแล้วเสียอีก” ฉันกล่าว...เมื่อขาสองข้างหย่อนลงบนพื้นหญ้าเบื้องบนอย่างปลอดภัย
เขายังคงยิ้ม...ดวงตาเป็นประกายคล้ายเด็กไร้เดียงสา ดูเดียงสากว่าธีรพลไม่รู้กี่เท่า
“อ..เอ่อคือ ฉัน... เดินไม่ระวัง เลยมาตกอยู่ในนี้” ฉันรู้สึกอาย...หน้าแดงซ่านจนไม่กล้าสบตา
เขาพยักหน้า...ไม่พูดอะไรนอกจากวางมือลงบนหัว และปัดเศษใบไม้ออกจากเส้นผมฉัน
ฉันพยายามจะลุกขึ้น “โอ๊ย!” แต่ก็เซถลา...ล้มลงเพราะเจ็บที่ข้อเท้า
เขาก้มลงจับข้อเท้าฉัน พอฉันร้อง “โอ๊ย!” ขึ้นอีกรอบ คราวนี้คิ้วเขาขมวด กดนิ้วรอบข้อเท้าฉันเบาๆ ฉันรีบเขยิบเท้าหนี...เพราะรู้สึกเจ็บ
เขาเงยหน้ามองฉัน ดวงหน้าเราห่างกันเพียงคืบ ตึกตักๆ... หัวใจเต้นแรงขึ้น ฉันก้มหน้าลง รู้สึกเลือดฉีดไล้ไปทั่วแก้ม อายมาก...อายจนพูดอะไรไม่ออก
เขาพลิกตัว หันหลังให้ฉัน และชี้หลังตัวเอง
ฉันทำหน้างง...
เขาหัวเราะ...คว้ามือสองข้างของฉันมาโอบไว้รอบคอเขา ฉันถึงได้รู้...ว่าเขาต้องการให้ฉันขี่หลัง
ตึกตัก ตึกตัก บ้าจริงเชียว! ตอนนี้ฉันดัน...หายโกรธธีรพลขึ้นมา
“คุณรู้ได้ไงคะ! ว่าฉันมาตกอยู่ในนี้ ธีรพลบอกเหรอ”
เขาพยักหน้า แล้วหันมายิ้มให้ฉันอีก ...จะยิ้มอีกสักกี่ร้อย รอยยิ้มเขาก็ช่างน่ารักเหลือเกิน
“ทำไมวันนี้มอมแมมจัง คุณไปทำงานในสวนมาเหรอคะ” ฉันถาม เพราะเห็นเขาใส่เสื้อยืดสีขาวเก่าๆ...เปื้อนคราบดิน
เขาหันมา...พยักหน้าหงึกหงักๆ แต่ไม่ส่งเสียง
เมื่อมาถึงแนวพุ่มไม้ที่ฉันคลานออกมาในทีแรก เขาเดินลัดเลาะตามแนวพุ่มไม้ไปเรื่อย กระทั่งถึงกำแพง เป็นระยะทางไกลโขอยู่ กว่าจะอ้อมมาถึงประตูทางเข้าคฤหาสน์
เขาอุ้มฉันเดินผ่านประตูรั้วเข้ามา... วางลงตรงม้านั่งหน้าทางเข้าบ้าน ลูบหัวฉันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินจากไป
“คุณธีรดนย์คะ” ฉันพยายามจะเรียกเขา แต่เขาไม่หันกลับมามอง ยังคงเดินเรื่อยๆ...กระทั่งลับหายไปหลังคฤหาสน์
“...ยังไม่ได้ขอบคุณคุณเลย” ฉันกระซิบกับตัวเองเบาๆ รู้สึกหวั่นในหัวใจอย่างประหลาด คล้ายกำลังกลัว...ว่าจะไม่มีโอกาส ได้พบหน้าเขาอีก
******************
เพียงแค่ย่างก้าวแรกเข้าบ้าน... เสียงตวาดแว้ดก็ดังมาให้ได้ยิน
“พริมา! เธอหายไปไหนมา” สะใภ้ใหญ่ของบ้าน...ยืนเท้าสะเอว ขมวดคิ้วมองฉัน ส่วนธีรดา...เธอได้แต่นั่งเงียบๆอยู่บนโซฟา พลิกหน้านิตยสารอ่าน...ด้วยสีหน้าเฉยเมย
ฉันเดินกระเผลกๆ ไปยืนต่อหน้าเธอทั้งสอง ตรงกลางห้องรับแขก
“ฉันออกนอกบ้าน ไปตามหาคุณธีรพลมาค่ะ”
“ตาพลเนี่ยนะ ออกนอกบ้าน! นี่เธอรู้มั้ยว่าตาพลกลัวนอกบ้านยิ่งกว่าอะไรดี ขนาดจะให้ไปโรงเรียนที เขายังร้องไห้ซะจะเป็นจะตาย” มิรินทร์พูดไม่หยุด
ถึงตรงนี้...ธีรดาเริ่มออกโรง เธอกล่าวเสริม “ตาพลบอกว่า...เขาอยู่แต่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปไหนเลย”
ฉันเลิกคิ้ว... นี่ธีรพลกลับมาคฤหาสน์แล้วเหรอ
“ในเมื่อตาพลอยู่ในบ้าน แล้วเธอมีความจำเป็นอะไร ถึงต้องออกไปนอกบ้าน” มิรินทร์หันถามฉัน
“ฉันเห็นธีรพลวิ่งออกไปนอกบ้านจริงๆค่ะ”
“เธอกำลังจะบอก” ธีรดา...ปรายสายตาเย็นชามาทางฉัน “ว่าน้องชายของฉันพูด โกหกเหรอจ๊ะ”
“เธอไม่ควรเอาเรื่องตาพล มาเป็นข้ออ้างให้ออกไปเที่ยวเตร็ดเตร่นอกบ้านอย่างนี้นะ” มิรินทร์พูดอีก
“ต...แต่ ฉันเห็นแกวิ่งออกไปนอกบ้านจริงๆนะคะ” ฉันกำลังจะอธิบาย แต่ไม่มีใครยอมให้ฉันพูดจบ
“เอ... ตาฝาดหรือเปล่าจ๊ะ” ธีรดากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ถ้าตาพลออกไปนอกบ้านจริง ทำไมรองเท้าแกไม่เปื้อนโคลนเลยล่ะ”
ฉันเงียบ... กัดริมฝีปาก จ้องหน้าธีรดาอย่างไม่รู้จะเถียงไปว่าอะไร
“เฮ้ออ พริมา” มิรินทร์กุมขมับตัวเอง บ่นยาวยืด “ฉันไม่อยากรีบไล่เธอออก ทั้งที่ยังทำงานไม่ถึง 3 วันนะ ทำไมไม่ทำตัวดีๆล่ะ ไนยเขาอุตส่าห์ไว้ใจเธอ คิดว่าเธอจะเป็นเด็กนิสัยดี ไม่ได้เหลวไหลอย่างนี้”
“ใจเย็นๆค่ะ พี่รินทร์ อย่าไปว่าเขาเลย” ธีรดากล่าว...เหมือนใจดี
“ฉันจะหักเงินเดือนเธอ” มิรินทร์ชี้หน้า...คาดโทษฉัน แต่ธีรดาส่ายหน้า
“ไม่ถึงกับต้องหักเงินเดือนหรอกค่ะ แค่พี่รินทร์คิดวิธีลงโทษแกเบาๆก็พอ จะได้หลาบจำ”
“จะลงโทษยังไงดีล่ะ” มิรินทร์ทำหน้าเหมือนจนปัญญา “แค่นี้พี่ก็มีงานให้ทำมากพอแล้ว ไม่อยากวุ่นวายอีก เรื่องลงโทษนี่ปล่อยให้รดาจัดการละกัน”
“คุณมิรินทร์คะ” สาวใช้วิ่งเข้ามาในห้องรับแขก “คุณธีรพลอยากให้คุณไปหาน่ะค่ะ”
มิรินทร์กุมขมับตัวเอง บ่นพึมพำ “โอ๊ย มันจะอะไรนักหนาเนี่ย”
...ก่อนหันไปหาธีรดา “งั้นเดี๋ยวพี่ขอตัวขึ้นไปดูตาพลก่อนนะจ๊ะ”
ธีรดายิ้ม... และทำเหมือนเดิม เหมือนกับเมื่อวาน เฝ้ามองมิรินทร์เดินขึ้นบันได ไปจนถึงห้องธีรพล และในทันทีที่ประตูห้องปิด ปึ้ง! เธอก็หันขวับมาหาฉัน
“เมื่อกี๊...เธอจ้องหน้าฉัน มีปัญหาอะไรเหรอ”
ฉันจ้องเธอไม่วาง...กัดริมฝีปากแน่น
“ขยับมาใกล้ๆซิ” เธอกระดิกนิ้ว...
ฉันขยับเข้าไปใกล้เธอ เห็นเล็บสีขาวเรียวแหลมเหมือนลิ่ม กระดกขึ้นลง
“พริมา...” เธอเอ่ยชื่อฉัน เมื่อใกล้ในระยะพอสมควร มือเรียวของเธอก็ยื่นพรวดมาตระครุบหน้าฉัน
ฉันสะดุ้ง! ผละถอยหนี แต่เธอกดเล็บลงบนแก้ม แล้วกระชากกลับมา
“ถาม! ว่ามีปัญหาอะไร ทำไมไม่พูดล่ะ พูดสิ” เธอเขย่าหน้าฉัน
ฉันกัดริมฝีปากแน่น น้ำตาไหลซึม...ล้นดวงตาที่กำลังมองผู้หญิงคนนั้น
“โถๆ ร้องไห้เหรอ สมน้ำหน้า ฉันเตือนเธอแล้วว่าอย่ากลับมาที่นี่ แต่เธออยากแส่หาเรื่องเอง”
ผู้หญิงคนนี้...ทำเป็นดีต่อหน้าทุกคน แท้จริงแล้วเป็นแม่มด
“รู้มั้ย...ว่าฉันจะลงโทษเธอยังไง!” เธอบีบกระพุ้งแก้มฉัน...แรงขึ้นเรื่อยๆ “ฉันจะให้เธอปีนขึ้นไปขัดหลังคาสักสองคืน เพราะหลังคาบ้านนี้ไม่มีคนขัดมานานแล้ว”
“ฉัน...ทำ...อะ...ไร...ผิด” ฉันพยายามจะพูด เสียงลอดปากที่อ้าได้เพียงน้อยนิด
“ไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก แค่เพราะเธอดันเป็นผู้หญิงคนที่สอง ที่หลุดเข้ามาในบ้านนี้”
“ทำไมคุณต้องทำแบบนี้!” ฉันสะบัดหน้าออกเพราะทนไม่ไหว เล็บเธอเฉี่ยวแก้มเป็นรอยเลือดเล็กๆ
เสียงประตูเปิด...แอ๊ด มิรินทร์เดินลงบันไดมา
เป็นไปตามคาด ธีรดาปรับสีหน้า...ทำตาใส และเอียงคอถามฉันอย่างเสแสร้ง “ฉันทำอะไรเหรอจ๊ะ”
ฉันจ้องเธอ...รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเอาอย่างมาก
“พริมา! ดูทำตาเข้าสิ” มิรินทร์รีบวิ่งลงบันไดมา “เธอจ้องน้องรดาแบบนี้ได้ไง เธอไม่รู้เหรอว่าตัวเองเป็นลูกจ้าง เธอนี่ชักจะไม่ไหวแล้วนะ ฉันต้องเอาเรื่องความประพฤติก้าวร้าวของเธอ ไปรายงานพี่ไนย!”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่รินทร์ รดายังไม่เห็นเลยว่าพริมาเขาก้าวร้าวตรงไหน” ธีรดาหันไปบอกมิรินทร์
มิรินทร์หย่อนตัวลงบนโซฟา นวดขมับพลางเอ่ยปากถามลอยๆ
“แล้วเมื่อกี๊...ตาพลเรียกพี่รินทร์ขึ้นไปทำไมเหรอคะ” ธีรดาถามบ้าง
“ไม่มีอะไรหรอก เขาแค่เรียกพี่ขึ้นไปเพื่อจะบอกว่าเขาเป็นคนผิดเอง อย่าลงโทษพริมาเลย”
“อะไรนะ บอกว่าเขาเป็นคนผิดเองงั้นหรือ” ธีรดาเลิกคิ้วทำหน้าฉงน “แล้วแกพูดอะไรต่อหรือเปล่า”
“ก็พูดแค่ว่าเขาเป็นคนผิด อย่าลงโทษพริมา แค่นั้นเอง ไม่พูดอะไรมากกว่านี้”
“แปลก...จัง” ธีรดาเริ่มมีสีหน้าครุ่นคิด...
“ก็คือ ตาพลต้องการจะบอกว่า อย่าทำร้ายพริมา แค่นั้นเองไม่มีอะไรหรอก” จากนั้น...มิรินทร์ก็หันมาหาฉัน “คราวนี้เธอรอดตัวไปละกัน”
“รอดไม่ได้หรอกค่ะพี่รินทร์” ธีรดาเถียง...เสียงอ่อนหวาน “ครั้งนี้ ยังไงๆพริมาก็ต้องถูกลงโทษอยู่ดี เพราะถือว่าเธอทำผิด...เรื่องที่ทิ้งตาพลออกนอกลู่นอกทาง ปล่อยแกวิ่งเล่นคนเดียวตั้งนาน ไม่ยอมมาอยู่เฝ้า”
“แล้วน้องรดา...คิดว่าจะลงโทษเด็กคนนี้ยังไงล่ะ” มิรินทร์ถามแทนฉัน
“แค่ลงโทษโดยให้งานทำความสะอาดห้องใต้หลังคาสักวันสองวัน” ธีรดากล่าวยิ้มๆ
ไม่รู้...ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่า ...แต่รู้สึกว่าสายตาที่สะใภ้ใหญ่ของบ้าน มองน้องสามี ..เริ่มมีแววประหลาด แต่เธอรีบกลบเกลื่อนโดยการพูดว่า
“เอ่อ... ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะแค่นี้ เครือมันก็ทำงานหนักจะแย่อยู่แล้ว ทำอยู่คนเดียวทั้งบ้าน แต่เป็นห่วงตรงที่พริมาจะเอาเวลาไหนไปทำงานล่ะ ในเมื่อแกก็ต้องคอยเลี้ยงตาพลอยู่ตลอด”
“เธอสะดวกทำตอนไหนจ๊ะ” ธีรดาหันมาถามความเห็นฉัน แต่เพราะฉันไม่มีอะไรจะพูด เธอจึงแสร้งทำหน้านึก ทั้งที่จริงไม่ได้นึก เธอมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว...
“อืมม... ตอนกลางคืนก็ดีนะ กลางคืนตาพลยังไม่ตื่น คงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด”
ถึงตรงนี้ แววประหลาดในดวงตาของมิรินทร์แจ่มชัดขึ้น... บอกใบ้ให้รู้ว่าไม่ใช่ฉันคนเดียวที่มองเห็นความผิดปกติของผู้หญิงคนนี้
ฉันเงียบ... คุณมิรินทร์ก็เงียบ... ไม่มีใครออกความเห็น ทว่าธีรดา...ก็สามารถหาข้อสรุป ได้ด้วยตัวเธอเอง “ตกลงว่า เริ่มงานวันพรุ่งนี้...ตอนเที่ยงคืนละกันนะจ๊ะ แล้วเธอสะดวกมั้ย”
“สะ...ดวกค่ะ...”
มันไม่ยุติธรรม นี่เป็นครั้งแรกที่อยู่ๆฉันก็ต้องมาถูกลงโทษทั้งยังไม่ทันทำอะไรผิด แต่ฉันไม่อาจอะไรได้ นอกจากแค่เพียงก้มหน้า...ยอมรับสภาพการถูกกดโดยสดุดี