บทที่ 5
รู้ความจริง (2)
** คำเตือน! เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงสถานการณ์ที่ผู้เขียนได้จินตนาการขึ้นในเรื่องกระบวนการให้คำปรึกษาจากทางแพทย์และเรื่องการตั้งครรภ์ มิได้มีเจตนาจะบิดเบือนความจริงเพียงอยากแสดงอีกหนึ่งมุมมองเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้” พี่นุชผู้จัดการส่วนตัวของฉันเอ่ยขึ้นหลังจากที่กลับมาจากโรงพยาบาลมันเป็นน้ำเสียงที่ราบเรียงและเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย
ฉันรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลหลังจากที่ภูผาเป็นคนมาส่งฉันและในตอนนี้ฉันก็อยู่ที่คอนโดของตัวเองเพื่อทบทวนเรื่องราวทั้งหมดหลังจากที่หมอได้บอกรายละเอียดอาการหน้ามืดของฉัน
‘ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ คุณตั้งครรภ์ได้หกสัปดาห์แล้วครับ’ เสียงของหมอวัยกลางคนเอ่ยพร้อมด้วยรอยยิ้มยินดียังคงตราตรึงอยู่ในหัวของฉัน ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้มีอะไรผิดพลาด มันคือเรื่องจริง!
ฉันกำลังท้อง!
หากจะมีอะไรผิดพลาดมันก็คือตัวฉันเองที่ไม่รอบคอบและมักง่ายจนเกินไป...
“เจนไม่รู้...”
“ทำไมเจนนี่...ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร” ฉันส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนจะก้มหน้าลงเมื่อหยาดน้ำตากำลังเอ่อคลอรอบดวงตา
คนๆนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากภูผา...หลังจากคืนนั้นที่ออสเตรเลียฉันกับภูผาก็มีความสัมพันธ์ที่เกินเลยกันอย่างตั้งใจ และแน่นอนฉันไม่ได้ทานยาคุมป้องกันไว้เพราะคิดว่าเขานั้นได้ป้องกันด้วยการใส่ถุงยางอนามัยแล้ว
นั้นแหละ...ฉันไม่รอบคอบเอง
แต่ความผิดพลาดครั้งนี้ฉันไม่อยากจะโทษเขาเลย มันเป็นความผิดของฉันเองแล้วอีกอย่างถ้าฉันบอกเรื่องนี้ไปก็คงไม่มีใครเชื่อ
ใครบ้างล่ะจะกล้ามั่นใจคนที่ใจง่ายมีความสัมพันธ์ที่เกินเลยเพียงแค่ไม่กี่นาที ในคืนนั้นฉันอยากรู้อยากลองและได้พูดคุยกับภูผาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง...และท้ายที่สุดมันก็จบลงบนเตียง
ไม่มีใครที่ไหนจะเชื่อคำพูดของคนที่ใจง่ายนอนกับผู้ชายเพียงแค่คืนเดียวหรอกนะ
และที่สำคัญฉันก็ไม่อยากให้เขาต้องมารับผิดชอบชีวิตฉันด้วย เรื่องทั้งหมดเกิดจากความผิดพลาดฉันไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนเพราะฉัน!
“ฮึก...” ฉันยกมือขึ้นปิดใบหน้าเมื่อไม่สามารถสกัดกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้
ในตอนนี้ทุกอย่างมันตันมันมืดไปหมด เหมือนกับว่าฉันกำลังเดินอยู่ในเขาวงกตที่หาทางออกไม่เจอ
“บอกพี่ได้ไหมว่าเขาเป็นใคร”
“ฮึก...เจนไม่อยากให้เขารู้ฮึก...มันเป็นความผิดพลาด แล้วเจนก็ใจง่ายเอง” ฉันส่ายหน้าพัลวันฉันตั้งใจจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครและไม่อยากให้ใครต้องมารับผิดชอบชีวิตฉันด้วย
“แล้วจะเอายังไงต่อ เรื่องงานทางบริษัทคงไม่ยอมแน่”
“เจนเลี้ยงเขาได้สบายนะพี่นุช แต่เจนก็รักในอาชีพของเจน อาชีพนักแข่งเป็นสิ่งที่เจนรัก เจนไม่อยากทิ้งมันเพียงเพราะเจนท้อง!”
“เจนก็รู้ว่าสังคมตอนนี้มันเป็นยังไง เจนต้องพักงานยาวเป็นปีแน่ๆ ถ้าบอสรู้เรื่องพี่รับรองได้เลยว่าจบเห่!”
“...” ฉันเม้มปากแน่นเมื่อคิดหนทางที่ดีที่สุดออก และมันคงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
“พี่เข้าใจว่าเจนรู้สึกยังไง แต่การแข่งขันเขาไม่ให้คนท้องลงแข่งแน่นอน แล้วบอสก็โคตรจะดุเลยถ้ารู้ว่าเจนท้องบอสต้องฉีกสัญญาทิ้งแน่ๆ”
“...”
“พี่ไม่ทิ้งเราหรอกนะเจนไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ พี่จะพยายามไปช่วยพูดให้แน่นอน พี่ว่า...”
“เจนจะเอาเด็กออก*” ฉันเอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงเรียบพร้อมกับเงยหน้าขึ้น
“ไม่ได้!!”
“...”
“เจน! จะบ้าไปแล้วเหรอ นี่มันชีวิตคนๆหนึ่งเลยนะ”
“แล้วชีวิตเจนล่ะคะ เจนก็ไม่อยากให้เขาต้องเกิดมารับรู้ว่าเขาไม่ได้เกิดมาจากความรัก พ่อก็ไม่มี เจนไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น!”
จริงอยู่ที่ว่าในท้องของฉันก็เป็นชีวิตของคนๆหนึ่ง แต่ฉันเองก็มีชีวิตและจิตใจเช่นกัน ในเมื่อเขาไม่ได้เกิดจากความตั้งใจฉันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเก็บเขาไว้!
“เจน ฟังพี่นะ ฟังพี่ก่อน”
“เจนคิดไม่ออกแล้วพี่นุช”
“เอางี้นะ พรุ่งนี้เราไปฝากครรภ์ก่อน จะได้ปรึกษาหมอด้วย เจนใจเย็นๆก่อน ทุกอย่างมีทางแก้”
“...”
“เชื่อพี่นะ แล้วเราค่อยมาจัดการปัญหาอื่นๆกันต่อ พี่อยู่ข้างๆ พี่อยู่ตรงนี้” พี่นุชดึงฉันเข้าไปกอดพรางลูบที่เรือนผมของฉันเบาๆ
ในตอนนี้สมองของฉันมันตื้อมันตันไปหมด แต่สิ่งเดียวที่ฉันมั่นใจเลยก็คือฉันจะไม่บอกเรื่องนี้ให้ภูผารับรู้เด็ดขาด
วันถัดไป
@โรงพยาบาล
ฉันเดินออกมาจากห้องตรวจหลังจากที่คุยกับคุณหมอในเรื่องความไม่พร้อมในการตั้งครรภ์และแน่นอนว่าคุณหมอก็เข้าใจและมีแนวทางแก้ไขให้ฉันเยอะมาก ตามกระบวนการแล้วคุณหมอจะให้ฝากครรภ์เพื่อให้เด็กในท้องอยู่ในการดูแลกับแพทย์ก่อนและก็จะมีจิตแพทย์ให้คำปรึกษาในเรื่องต่างๆ
ซึ่งคุณหมอก็ให้ฉันกลับไปคิดทบทวนก่อนแล้วค่อยให้คำตอบในภายหลังได้ ฉันเองก็เบาใจไปได้บ้าง แค่นี้ฉันก็เครียดจนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรแล้ว
ตุ้บ!
“อ๊ะ!!” ไม่ทันระวังร่างของฉันก็ล้มลงกับพื้นเมื่อเดินชนกับผู้ชายคนหนึ่งเขาอย่างแรง
“เธอมาทำอะไรที่นี่” เสียงเข้มอันคุ้นหูเอ่ยขึ้นทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองแต่ก็ต้องตกใจสุดขีดเพราะคนๆนั้นคือ...ภูผา!
“นะ...นาย” ฉันเอ่ยเสียงสั่นพรางขยับตัวให้ลุกขึ้น
“มาทำอะไรที่นี่?” เขาถามฉันอีกครั้งด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
แต่ผิดกับฉันที่สั่นกลัวไปทั้งตัว!
ภูผายังไม่รู้เรื่องที่ฉันท้องและแน่นอนฉันจะไม่บอกเขา เพราะฉันตัดสินใจแล้วว่าฉันจะเอาเด็กออก!
“เปล่า ละ...แล้วนายล่ะมาทำอะไรที่นี่” ฉันถามด้วยพรางปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ
“มาเข้าห้องน้ำ”
“แผนกสูติฯ เนี่ยนะ”
“ก็ตึกอื่นมันเต็ม” เขาตอบและยังคงจดจ้องมาที่ฉันด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา
“อ่อ...เอ่อ...ฉะ ฉันขอตัวก่อนนะ”
หมับ!
แต่ไม่ทันที่ฉันจะเดินออกไปได้ถึงสองก้าวมือหนาก็คว้าที่แขนของฉันเอาไว้จนทำให้ฉันต้องกลับหันไปประจันหน้ากับเขาอีกครั้ง
“อะไรของนาย ปล่อยฉัน”
“เดี๋ยวไปส่ง” ฉันพยายามแกะมือเหนียวของเขาออกแต่ก็ไม่เป็นผล อยู่ๆเขาก็มาจับที่ข้อมือของฉันเอาไว้พร้อมกับออกแรงให้ฉันเดินตามเขาไปอีก
แม้ว่าฉันจะสวมแมสก์และหมวกสีดำเพื่ออำพรางใบหน้าไว้แล้วแต่ฉันก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี หากมีภาพหลุดออกไปทำให้ฉันต้องเป็นข่าวกับภูผามันคงไม่ดีแน่ๆ
แล้วถ้าข่าวสืบไปเรื่อยๆแล้วรู้ว่าฉันตั้งครรภ์ชีวิตของฉันต้องจบเห่!
ฉันเดินตามภูผาออกมาจนถึงลานจอดรถของโรงพยาบาลซึ่งระหว่างทางไม่ได้มีบทสนทนาหรือคำพูดใดๆออกมาจากปากของเขาสักคำจนมันทำให้ฉันรู้สึกกลัวเขาอย่างบอกไม่ถูก
อีกทั้งในวันนี้ฉันต้องมาคนเดียวเพราะพี่นุชผู้จัดการส่วนตัวของฉันนั้นต้องเข้าบริษัทเพราะมีประชุมด่วน ถ้ารู้ว่ามาแล้วจะบังเอิญเจอเขาที่นี่รู้แบบนี้ฉันมาวันพรุ่งนี้ดีกว่า!
“ขึ้นรถดิ” สายตาคมมองมาที่ฉันพร้อมกับเลยหน้าไปที่รถยนต์คันหรูของเขาที่จอดอยู่ตรงหน้า
“ไม่เป็นไร ฉันเอารถมา”
“ขึ้นรถ” เสียงเข้มทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นพร้อมสายตาที่แข็งกร้าวไปจากเดิมทำให้เผลอกลืนน้ำลายลงคอและขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าว
“ก็บอกว่าไม่ต้องไง ฉันเอารถมา”
“เจนนี่ ขึ้นรถ”
“อึก!” แม้ว่าเขาจะไม่ได้ขึ้นเสียงแต่ฉันก็รับรู้ได้เลยว่าน้ำเสียงที่เขาเอ่ยออกมานั้นดุดันมากแค่ไหน
ฉันยอมทำตามที่เขาสั่งเดินไปขึ้นรถของเขาก่อนที่ภูผาจะตามขึ้นมานั่งที่ฝั่งคนขับ เขาสตาร์ทรถก่อนจะหันมามองหน้าฉันราวกับมีอะไรบางอย่างอยากจะถามแต่เขากลับเงียบและหันออกไปมองนอกกระจกรถดังเดิม
หรือว่าเขาจะรู้เรื่องแล้ว...
“นะ...นายมีอะไร”
“เธอมาทำอะไรที่นี่” ฉันเงยหน้าขึ้นและขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินคำถามเดิมจากเขา
“ก็...เปล่า”
“คิดว่าเชื่อ?”
“ฉันไม่สบาย ก็เลยมาโรงพยาบาลแปลกตรงไหน” ฉันตอบกลับไปด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เป็นปกติ
“แผนกสตูิ?” ใบหน้าหล่อเหลาเลิกคิ้วสงสัยและมองฉันอย่างต้องการคำตอบ
“ก็...”
กึก!
มือหนากระชากเกีียร์รถยนต์ก่อนที่เขาจะขับออกจากโรงพยาบาลด้วยความรวดเร็วทำให้ฉันถึงกับต้องเกาะที่เบาะหนังราคาแพงไว้แน่น
“นะ...นาย! จะพาฉันไปไหน”
“...”
“นี่! ฉันถามได้ยินไหม!!”
“...”
“ภูผา นายบ้าไปแล้วเหรอ นายจะทำอะไรกันแน่” ไม่ว่าพูดอะไรออกไปฉันก็ได้รับคำตอบเป็นความเงียบจากคนข้างกาย
สายตาคมยังคงจดจ้องไปกับหนทางด้านหน้าและยังขับรถไปที่ๆหนึ่งซึ่งฉันไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่ามันคือที่ไหน
เขากำลังทำให้ฉันกลัว...
“อึก...ขับช้าๆหน่อยได้ไหมฉันกลัว”
“ฉันไม่พาเธอไปฆ่าหรอก นั่งนิ่งๆแล้วก็เงียบไป”
ฉันเม้มปากเป็นเส้นตรงเมื่อได้ยินเช่นนั้น น้ำเสียงที่ราบเรียบแต่มันเต็มไปด้วยความดุดันและแข็งกร้าวราวกับว่าเขากำลังจะพรากชีวิตของฉันไปด้วยสายตาคมของเขา