ปฐมบท
นานมาแล้ว... นานมาก พอที่จะใช้คำว่า กาลครั้งหนึ่ง ซึ่งถ้านับจากฤดูกาลที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปก็นับได้เกือบพันรอบ แต่เขาก็ยังอยู่... อยู่อย่างมีชีวิต เยี่ยงมนุษย์ที่ไม่มรณะกาล
เขารับรู้จากคำบอกเล่า เขาถือกำเนิดในฤดูใบไม้ผลิ และก่อนฤดูใบไม้ผลิจะเวียนครบรอบ เขาก็เดินได้คล่อง
เข้าฤดูหนาวที่สอง เขาสามารถพูดคุยชัดถ้อยชัดคำ และได้ใจความอย่างผู้ใหญ่
ถึงฤดูใบไม้ร่วงในรอบที่สาม เขาสามารถเสกสิ่งของให้หายไป และเรียกกลับคืนมาได้ เพียงจุ่มนิ้วลงในขันน้ำเปล่าก็สามารถเปลี่ยนน้ำให้เป็นเป็นเหล้าได้ตามใจสั่ง
นอกจากนี้ เขายังสามารถเรียกลม ฝน และเสกไฟ ขณะที่เด็กรุ่นๆ เขา ยังไม่เป็นประสีประสา
นอกจากเรียก ลม ฝน และไฟ เขายังบังคับกระแสน้ำให้ไหลวน เสกน้ำในบึงใหญ่ให้กลายเป็นน้ำเดือด
เมื่อยังเยาว์ เขาไม่เข้าใจว่า พวกผู้ใหญ่ประหลาดใจกัน เขาคิดว่ามนุษย์ผู้ชายทุกคน มีพรสวรรค์เหมือนเขา เขาประหลาดใจ เมื่อพบว่าผู้ที่อยู่ใกล้เขานั้นอ่านใจเขาไม่ได้เหมือนที่เขาอ่านใจคนพวกนั้นได้ทะลุปรุโปร่ง
ความสามารถพิเศษของเขาที่เพื่อนๆ เคยเห็นเป็นของสนุก เริ่มเปลี่ยนไป
ยิ่งเขาเติบใหญ่ ทุกคนยิ่งมองเขาอย่างยั่นยำเกรง
เวลาผ่านไป คนที่เคยกลัวเขา ก็ยังกลัวเขา และหวาดเกรงเขาไม่เสื่อมคลาย
จำได้ว่า แม้แต่คนใกล้ชิดเขา ก็ยังมองเขาด้วยแววตาแฝงความหวาดหวั่น
เก้าร้อยกว่าปีล่วงเลย คนที่เขาเคยรู้จักล้มหายตายจาก เขาคนเดียวยังมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว
เขาท่องไปในโลกกว้าง ในสถานที่เหมือน และต่างกันออกไป
แต่ในที่สุด เขาหวนคืนกลับสู่ปราสาทเก่าแก่ ก่อด้วยหินแลงอันมั่นคงบนเขาสูงที่ชาวบ้านเรียก ‘ป่าแดง’ ปราสาทที่บิดาของเขาสร้างขึ้น ซึ่งรางเลือนอยู่ท่ามกลางสายหมอก โอบล้อมด้วยขุนเขาและป่าดิบที่ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้ายสิงสาราสัตว์ และพันธุ์ไม้นานๆ ชนิด
ถึงตอนนี้ ความภูมิใจในความสามารถพิเศษกระทั่งทำให้เขากลายเป็นผู้วิเศษ เหลือทิ้งไว้แต่ความรู้สึกของผู้ที่ต้องคำสาป โดยที่เขาไม่รู้ว่าจะแก้คำสาปนี้ได้อย่างไร
ที่สำคัญ เขาไม่แน่ใจว่า ตัวเองอยากหลุดพ้นสภาพที่เป็นอยู่ แม้ว่าเขาจะเศร้าใจเมื่อต้องเฝ้ามองผู้คนล้มหายและตายไป เฝ้าดูความเสื่อมของมนุษย์โลก และความเจริญถึงขีดสุด
อย่างไรก็ตาม คนที่รู้จักเขาส่วนใหญ่ จะกลัวและระแวงเขา ขณะคนบางกลุ่มที่ต้องการความยิ่งใหญ่ ก็อยากขโมยอำนาจของเขา พากันตามไล่ล่าเขา พยายามทุกทางที่จะเรียนรู้ความลับของเขาที่ทำให้เขามีอำนาจ และมีชีวิตคงความเป็นหนุ่มมาหลายร้อยปี
วันเวลาที่ล่วงเลย ทำให้เขารู้จักที่จะหลีกเร้นจากสายตาคนภายนอก
เขายังมีตัวตน แต่เขากลายเป็นตำนานปรัมปรา มีน้อยคนนักจะรู้ว่าเขายังคงอยู่
นามของเขา...จอม นาเคนทร์
จอมรู้ว่าชาวบ้านในหุบผาข้างล่างเรียกเขาจอมเวท
แต่ก็ยังมีคนอีกหลายหมู่ หลายพวก เรียกเขาต่างออกไป บางชื่อส่อไปทางชั่วร้าย บางนามบอกถึงความยกย่องเกินจริง
แต่ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร คนเหล่านั้นก็เกรงกลัวเขา พอๆ กับให้ความเคารพศรัทธา ที่มาพร้อมความหวาดระแวง
เขาถอนใจให้กับความเหงา และเปล่าดาย นึกถึงชีวิตที่ผ่านมาที่มีทั้งทุกข์และ สุข
สุขเมื่อได้รัก และสมหวังในรัก ทุกข์ เมื่อรักนั้นจากไปตามกาลเวลา เพราะไม่มีใครเลยไม่ว่าชายหรือหญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเขามีอายุยืนยาว อยู่เป็นเพื่อนเขาได้ยาวนานโดยไม่ถูกพรากด้วยความตาย
มันทำให้เขาเหนื่อยหน่าย เพราะรู้ว่าผลสุดท้าย เขาก็ต้องพบกับความเจ็บปวดจากความสูญเสียและพลัดพราก
กว่าสองร้อยกว่าปีก่อน เขาบังเอิญได้พบสมณะรูปหนึ่ง ซึ่งมีฌานสูง ผู้สงบกิเลสแล้วรูปนั้นได้เทศนาโปรดเขา ทำให้จิตใจที่กำลังบ้าคลั่งของเขาขณะนั้นค่อยๆ สงบลง
บางช่วงบางตอนในคำเทศนานั้นเขายังได้ติดใจจนบัดนี้
“ดูก่อน...ท่านผู้ยืนอยู่บนทางสองแพร่ง ผู้อยู่ระหว่างความมืดและความสว่าง ขอให้ท่านจงรู้ไว้เถิด ในสุดเขตขอบจักวาลนี้ เมื่อมีผลก็ต้องมีเหตุ เฉกเช่นมีผลไม้ก็ย่อมมาต้นไม้ มีลูกลิงก็ต้องมีแม่ลิง... ตัวท่านเองลองมองลึกเข้าไปในตัวตนแท้จริงแห่งตนแล้วท่านจะได้คำตอบว่า เหตุใด ท่านจึงมีชีวิตที่ไม่เป็นไปตามวัฏสงสาร ทุกอย่างล้วนมีที่มา ขอเพียงท่านจงสงบจิต เอาชนะความดำมืดที่พยายามจะครอบงำดวงวิญญาณของท่าน รู้จักคำว่าให้ แม้เลือดเนื้อและชีพที่ดำรงอยู่ของท่านจากห้วงหัวใจที่อ่อนโยน ไม่หวังสิ่งตอบแทน บางที... เมื่อนั้น ท่านอาจหลุดพ้น”
แต่จนบัดนี้ เขาก็ยังตีปริศนาธรรมของภิกขุรูปนั้นไม่ออก เขายังไม่สามารถหลุดพ้นจากความเป็นนิรันดร์
เขาถอนใจ เมื่อนึกถึงความจริงที่ว่า เกือบร้อยปีมานี้ เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยว ชีวิตจมอยู่กับการศึกษาเวทมนตร์แขนงต่างๆ จากตำรับตำราที่หามาได้ในทุกมุมโลก เพื่อฆ่าเวลาจนกว่าสิ่งที่เขารอคอยจะมาถึง
เขานึกถึงสิ่งที่ตัวเองรอคอย บอกกับตัวเองว่า บางที...ชีวิตเขาอาจจะหายเหงา เมื่อมีเพื่อนเคียงกายอีกครั้ง