หลังจากจัดการล้างแค้นให้กับเยว่กวางคนเก่าได้แล้ว ชีวิตของเธอก็สงบสุขมาก…..มากจนเกินไป ผ่านมา 10 กว่าวันแล้ว ชีวิตของเธอวนเวียนอยู่กับกิจกรรมภายในจวนเท่านั้น การจะออกไปข้างนอกแต่ละครั้งต้องขออนุญาตท่านพ่อกับท่านแม่เสียก่อน ซึ่งทั้งสองท่านยอมปล่อยเธอไปก็ต่อเมื่อมีพี่ชายคนใดคนนึงไปกับเธอด้วย แต่ช่วงนี้พี่ๆ ของเธองานยุ่งมาก พี่ใหญ่ต้องเข้าไปฝึกทหารในค่ายไม่ค่อยได้กลับบ้าน พี่รองและพี่สามยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง เนื่องจากหอประมูลทำรายได้มหาศาลบวกกับสินค้าที่เธอให้สูตรไปขายดีจนผลิตไม่ทัน พี่ๆ ทั้งสองจึงต้องออกเดินทางเพื่อหาวัตถุดิบมาทำสินค้าตัวใหม่เพิ่ม นอกจากนี้ยังมีกองคาราวานจากต่างแคว้นมาสนใจหอประมูลด้วย ท่านพ่อเองก็วุ่นวายกับการเข้าวังเพื่อประชุมขุนนางทั้งวัน ส่วนท่านแม่นั้นก็มาคุยเล่นกับเธอบ้าง…แต่จะมาสอนการเย็บปักถักร้อยให้เธอเสียมากกว่า ซึ่งมันไม่ใช่ทางของเธอเลย ดีที่ยังมีการฝึกวรยุทธกับพี่ฮุ่ยเหอและพี่ฮุ่ยหวงที่พอจะทำให้เธอรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง
“เฮ้ออออ น่าเบื่อจัง” เสียงหวานใสบ่นเบาๆ อย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่กำลังปักผ้าตามคำสั่งมารดา นิ้วมือเรียวสวยมีร่องรอยบาดแผลจากการโดนเข็มตำราวๆ สองสามแผลจนเจ้าตัวยู่หน้าอย่างไม่สบอารมณ์
“คิกๆ เพิ่งจะเริ่มปักได้ไม่ถึง 2 เค่อ (ครึ่งชั่วโมง) เลยนะเจ้าคะคุณหนู” ชุนเฟินเอ่ยเย้าผู้เป็นนาย โดยที่ตัวนางเองก็มานั่งปักผ้าเป็นเพื่อนคุณหนูของตนเช่นกัน
“ขนาดเพิ่งเริ่มทำ ข้ายังได้มาแล้วสามแผลเลยนะ หากรอจนปักเสร็จมือจะมีที่ว่างเหลือหรือไม่เล่า” ริมฝีปากอิ่มเบะออกอย่างน่ารัก อะไรที่มันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ไง! เหตุใดชีวิตของผู้หญิงในยุคนี้ถึงยุ่งยากนัก! ยังดีที่เยว่เยว่คนเดิมยังมีฝีมือในศาสตร์ทั้ง 4 (ศิลปะ 4 แขนงแห่งปัญญาชน กู่ฉิน หมากล้อม การเขียนอักษร และภาพวาดจีน) อยู่บ้าง เพราะถึงเธอจะเรียนศาสตร์ต่างๆ มามากมาย แต่ก็เน้นไปในทางบู๊เสียมากกว่า เช่นศาสตร์การลอบสังหาร ศาสตร์การแพทย์ทั้งรักษาและพิษ ศาสตร์การแสดงเพื่อแฝงตัว ศาสตร์ด้านจิตวิทยาเพื่อตรวจจับและสังเกตเป้าหมาย และอื่นๆ ไม่เช่นนั้นตัวเธอต้องมาเริ่มเรียนศาสตร์ทั้ง 4 ใหม่ล่ะก็…แค่คิดเธอก็ลมจะจับเสียแล้ว
“โธ่ ไม่หรอกเจ้าค่ะคุณหนู ประเดี๋ยวฝึกมือไปเรื่อยๆ ก็จะคล่องขึ้นนะเจ้าคะ อย่างน้อยตอนนี้ก็ปักไปได้ถึงสามส่วนแล้วนะเจ้าคะ!” สาวใช้ตัวน้อยเอ่ยให้กำลังใจอย่างกระตือรือร้น หวังเพียงว่าผู้เป็นเจ้านายจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
“เข้าใจแล้วๆ ขอบใจเจ้ามากนะชุนเฟิน อุตส่าห์มานั่งหลังขดหลังแข็งเป็นเพื่อนข้าทั้งวัน” เยว่กวางแย้มยิ้มละไมส่งไปให้สาวใช้ประจำตัวของตน
“ไม่ลำบากเลยเจ้าค่ะคุณหนู บ่าวเต็มใจยิ่ง” ชุนเฟินกล่าวอย่างยินดีที่เจ้านายดูสดใสขึ้นมาบ้างแล้ว
แต่ผ่านไปอีกเพียงเค่อ (15นาที) เยว่กวางก็ทิ้งงานในมือแล้วหนีไปนั่งรับน้ำชาที่ศาลาในสวนเสียแล้ว ทำเอาบ่าวตัวน้อยได้แต่ทำหน้าเศร้าที่ต้องหาข้อแก้ตัวกับฮูหยินไม่ให้ลงโทษคุณหนู
“ฮะๆ ทำหน้าอันใดของเจ้ากันเล่าชุนเฟิน” เจ้ากระต่ายน้อยเอ่ยหยอกอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
“เดี๋ยวฮูหยินจะต้องมาเค้นเอาความกับบ่าวแน่ๆ เลยเจ้าค่ะ” ชุนเฟินเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้ แต่มือก็ยังคงจัดวางน้ำชาและขนมหวาน
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก เดี๋ยวตอนรับสำรับช่วงเย็นข้าจะไปอ้อนท่านแม่ว่าข้าเจ็บมือจนปักผ้าไม่ไหวเอง” เจ้าตัวแสบหาทางลงให้ตนเองไว้เสร็จสรรพ จนชุนเฟินถึงกับยกนิ้วให้ คุณหนูของตนเฉลียวฉลาดจริงๆ
ช่วงยามเซิน (15.00 – 16.59 น.) ขณะที่กำลังดื่มด่ำกับสายลมโชยและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้นานาพันธุ์อยู่นั้น เยว่กวางก็เห็นบ่าวรับใช้สาวๆ ต่างเดินยิ้มแย้มพร้อมกับแต่งตัวด้วยชุดแปลกตาที่ไม่ใช่ชุดของสาวใช้ ทำให้เธออดสงสัยไม่ได้จึงหันไปสอบถามสาวใช้ของตน
“วันนี้มีกันอะไรงั้นหรอชุนเฟิน เหตุใดทุกคนดูร่าเริงแล้วก็แต่งตัวสวยอีกด้วย”
“อ๋อ เพราะวันนี้มีงานเทศกาลหยวนเซียว (โคมไฟ) เจ้าค่ะคุณหนู” สาวใช้ตัวน้อยตอบด้วยความกระตือรือร้น
“เทศกาลหยวนเซียว?” เยว่กวางพึมพำเสียงเบาพร้อมทั้งขุดคุ้ยความทรงจำของร่างนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นเทศกาลทำโคมไฟเพื่อเป็นสิริมงคลสินะ การปล่อยโคมสีแดงลอยขึ้นฟ้ายังหมายถึงความโชคดี และเป็นสัญลักษณ์ของการปล่อยตัวตนในอดีตให้ผ่านพ้นไป เพื่อเปิดรับชีวิตและความสดใสใหม่ที่กำลังจะผ่านเข้ามา ขณะเดียวกันเทศกาลหยวนเซียวยังสามารถเปรียบได้กับวันวาเลนไทน์ในยุคก่อน เนื่องจากช่วงเทศกาลนี้จะเป็นเวลาไม่กี่วัน ที่หญิงสาวซึ่งยังไม่แต่งงานจะสามารถออกจากบ้านและเข้าสังคมโดยไม่ต้องมีพี่เลี้ยงติดตามไปด้วย ส่วนโคมไฟที่ถูกจุดก็คล้ายเป็นสัญญาณของบรรยากาศแห่งความรักที่กำลังจะเบ่งบานขึ้น…..เมื่อคิดมาจนถึงจุดนี้ดวงตากลมโตก็สว่างกระจ่างใสดุจน้ำค้างยามเช้าในทันที
เธอสามารถออกจากจวนไปเที่ยวเพียงลำพังได้!!!!
เพื่อแผนการหนีเที่ยวของเธอ หลังจากไปรับสำรับเย็นกับท่านพ่อท่านแม่แล้ว แน่นอนว่าเธอต้องหาเรื่องส่งพี่ฮุ่ยเหอและพี่ฮุ่ยหวงออกไปปฎิบัติภารกิจที่เธอมอบหมายให้ แน่นอนนว่าทั้งสองจะต้องมีใครคนใดคนนึงรั้งอยู่ข้างกายของเธอเสมอ
‘แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างคิดว่าอีกคนนึงอยู่ที่นี่ล่ะ หึหึ’
เยว่กวางยิ้มเจ้าเล่ห์ พลางนึงถึงตอนที่ตนมอบหมายงานให้พี่ฮุ่ยเหอไปส่งข่าวให้พี่รอง เพื่อนำสูตรครีมบำรุงมือซึ่งจะเปิดตัวเป็นสินค้าใหม่ของหอประมูลชุนเฟิงยู๋อี้ไปให้ พี่ฮุ่ยเหอก็ออกเดินทางทันทีด้วยเข้าใจว่าพี่ฮุ่ยหวงอยู่คอยดูแลเธอ เมื่อพี่ฮุ่ยเหอไปแล้วเธอจึงเรียกพี่ฮุ่ยหวงมามอบหมายให้ไปส่งข่าวถึงพี่สาม ว่าเธอต้องการสมุนไพรชนิดหนึ่งซึ่งเป็นสมุนไพรหายากมาใช้ในการทำครีมบำรุงหน้าสูตรปรับปรุง และเธอก็บอกพี่ฮุ่ยหวงว่าพี่ฮุ่ยเหอแค่ไปส่งข่าวให้พี่ใหญ่ที่ค่ายทหารประเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว ทำให้ตัวฮุ่ยหวงไม่ได้ติดใจสิ่งใดเร่งออกเดินทางในทันทีเช่นกัน
‘ทางสะดวก!!’ เจ้ากระต่ายน้อยแสนซนตื่นเต้นจนเก็บอาการแทบไม่อยู่ เมื่อถึงต้นยามซวี (19.00 – 20.59 น.) ก็สั่งชุนเฟินว่าวันนี้ตนจะนอนแต่หัวค่ำ ห้ามเข้ามารบกวนเด็ดขาด
ร่างบางระหงในชุดเสื้อสีดำตัวนอกปักลายดอกมู่ตาน (โบตั๋น) กระโปรงสีแดงช่วงบนไล่สีดำด้านล่างปักลายดอกฝูหลงฮาว (ชบา) และเถาวัลย์ห้อยระย้า ผ้าคาดเอวปักลายปลาคราฟคู่แหวกว่ายดูงดงาม ลวดลายบนชุดทั้งหมดปักด้วยด้ายสีขาวประกายเงินระยิบระยับล้อแสงจันทร์ ผมนุ่มดุจเส้นไหมสีดำเข้ากับชุดถูกรวบขึ้นเป็นทรงห้างม้าอย่างง่ายๆ พร้อมปักแค่ปิ่นเงินลายผีเสื้อไม่หวือหวามากนักแต่ก็ช่วยขับให้ใบหน้าหวานพริ้มเพราดูโดดเด่นยิ่งขึ้น เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วเยว่กวางก็ลักลอบออกจากจวนท่านแม่ทัพใหญ่
บรรยากาศในงานเทศกาลหยวนเซียวช่างคึกครื้นยิ่งนัก มีร้านแผงลอยเปิดอยู่ทั้งสองข้างทางยาวไปจนสุดถนนเส้นหลัก ด้านบนมีการตกแต่งโคมไฟสีแดงทั้งที่ระเบียงร้านอาหารและห้อยระย้าตามเชือกซึ่งผูกไขว้ไปมาระหว่างร้านค้าฝั่งตรงข้าม ทำให้เพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองด้านบนก็จะพบโคมไฟจำนวนหลายร้อยอันอยู่บนศีรษะ นอกจากนี้ยังมีการแสดงงิ้ว และการแสดงข้างถนนให้ชมเป็นระยะ ส่วนจุดที่นิยมที่สุดคงเป็นแม่น้ำตรงสะพานอ้ายเสิน (กามเทพ) ว่ากันว่าคู่รักที่ได้มาจุดโคมไฟคู่กัน ณ ที่แห่งนี้จะครองคู่ร่วมกันไปจนแก่เฒ่า ทำให้เหล่าคู่รักหรือคนที่ต้องการสารภาพรักแห่กันมาที่สะพานอย่างเนืองแน่น
.......................................................................................