“ต้าย! ไปทำอะไรกันมาคะทั้งสองคน เนื้อตัวถึงได้มอมแมมแบบนี้!” นมบุษร้องลั่นเมื่อเห็นสภาพของคนสองคนที่พากันเดินกอดคอเข้ามาในบ้านโดยสภาพของแต่ละคนนั้นเลอะเทอะไปด้วยโคลนตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ไอ้ทรายมันบ่นร้อนครับนม ผมก็เลยชวนมันลงไปเล่นน้ำที่ท้ายสวน” เป็นธเนศที่ตอบคำถาม ก่อนยักคิ้วให้คนข้างกายอย่างกวนประสาท
“โตๆ กันแล้วนะคะ ยังเล่นกันเหมือนเด็กๆ อยู่อีก ไปค่ะรีบพากันไปอาบน้ำอาบท่า ประเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา” ทั้งสองคนยิ้มรับ หันมองหน้ากันชั่วครู่เหมือนรู้ใจก่อนจะวิ่งกรูพากันสวมกอดแม่นมผู้ซึ่งรักความสะอาดเสียยิ่งกว่าใครๆ เพราะเป็นอดีตนางรับใช้เก่าในวัง ทำเอาหญิงชราถึงกับกรีดร้องก่อนจะไล่ฟาดคนดื้อดึงทั้งสอง ที่วิ่งหนีความผิดหายลับสายตาไปยังท่าน้ำหลังบ้าน ทิ้งไว้แต่นางที่เฝ้ามองจนทั้งคู่ลับสายตา ถึงได้หันมามองรูปถ่ายของนายผู้หญิงผู้จากไปด้วยความสับสนหนัก
“ดูเอาเถอะค่ะคุณท่าน นิสัยล่ะเหมือนกันไม่มีผิด คุณท่านคิดถูกแน่เหรอคะที่ให้พวกเขาสองคนแต่งงานกัน” คำถามนั้นไม่มีสิ่งใดตอบกลับนอกเสียจากคนในรูปที่กำลังส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ นางไม่รู้ว่าคุณท่านคิดอะไรอยู่ถึงได้อยากให้คุณหนูสองคนแต่งงานกันแบบนี้ทั้งๆ ที่พวกเขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เพื่อนที่จู่ๆ ก็ต้องกลายมาเป็นสามีภรรยากันโดยไม่เต็มใจ
เพราะห้องน้ำภายในห้องนอนของเอื้องทรายมีเพียงแค่ห้องเดียวทั้งสองคนจึงเปลี่ยนใจพากันมานั่งอาบน้ำที่ท่าน้ำหลังบ้านเหมือนที่เคยทำร่วมกันอยู่บ่อยๆ แม้จะโตขึ้นแต่ความสนิทสนมที่เคยเป็นมากลับไม่ได้จางหายไปแม้แต่น้อย แม้ในสายตาของคนอื่นสิ่งเหล่านี้อาจไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่นัก แต่สำหรับธเนศกับเอื้องทรายนั้น ทุกๆ ความรู้สึกจากคนอื่นย่อมไม่เป็นผล ตราบใดที่เธอและเขาไม่ได้ทำอะไรให้ใครที่ไหนเดือดร้อน
“หันหลังมาสิ ฉันสระผมให้”
หญิงสาวยิ้มรับพร้อมกระชับผ้าถุงเอาไว้มั่น เธอทิ้งตัวนั่งที่บันไดขั้นสุดท้าย ปล่อยให้เพื่อนรักที่ตอนนี้เลื่อนขั้นมาเป็นสามีตีทะเบียนสระผมให้เหมือนทุกครั้งที่อาบน้ำด้วยกัน
“สบายจังเลย” ธเนศยิ้มรับก่อนจะมองคนที่กำลังหลับตาพริ้มยกขาขึ้นตีน้ำเล่นอย่างมีความสุข เขาไม่แคร์เลยว่าใครจะมองแบบไหน สำหรับเขาเอื้องทรายคือเพื่อนที่เขารักแม้จะต่างเพศแต่ก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด
เพราะตอนเป็นเด็กเขาเข้ากับเพื่อนๆ ไม่ค่อยได้ แสนขี้อายจนใครๆ ต่างก็พากันล้อว่าเกิดผิดเพศ สิ่งเหล่านั้นทำให้เขาขาดความมั่นใจจนกลายเป็นคนถือตัว ไม่ค่อยคบเพื่อน ที่จริงต้องบอกว่าไม่มีใครคบมากกว่า
จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อคุณย่าของเขาพาเขาเดินทางมาที่นี่เพื่อพบกับเพื่อนรักของท่านซึ่งก็คือคุณย่าประไพ วันนั้นเองที่เขามีโอกาสได้รู้จักเด็กผู้หญิงผมแกละหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง คนที่เอาแต่วิ่งแกล้งคนอื่นไปทั่ว
จำได้ว่ายัยนั่นแกล้งเอาคางคกมาโยนใส่จนเขาต้องวิ่งหนีจนหกล้มหัวแตก เอื้องทรายถูกคุณย่าของเธอฟาดไปหลายทีจนทำให้เธอฝังใจเจ็บกับเขาที่ถูกคาดโทษว่าเป็นตัวการของเรื่องทั้งหมด ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนถูกกระทำ แต่แม่คุณก็ยังตราหน้าว่าทั้งหมดเป็นเพราะเขา เหลือเชื่อจริงๆ
ตั้งแต่นั้นทุกครั้งที่มาที่นี่เขาก็มักจะถูกยัยตัวแสบแกล้งด้วยสารพัดวิธีเท่าที่เธอจะนึกออก และทุกครั้งก็เป็นไปตามคาดเมื่อเธอถูกคุณย่าจับตีก้นโทษฐานที่แกล้งเขา ทว่าความแสบสันกลับไม่ได้ลดน้อยลงไปบ้างเลย
หลายคนอาจกำลังสงสัยว่าเขากับยัยแสบนี่กลายมาเป็นเพื่อนรักกันได้ยังไง! เรื่องมันเกิดขึ้นในเย็นวันนั้นที่เขากำลังเดินเล่นที่อยู่ที่ท้ายสวน
เสียงร้องอวดครวญของยัยเด็กแสบที่ดังขึ้นทำให้เขาต้องรีบวิ่งไปดู กระทั่งพบเอื้องทรายที่กำลังนั่งกุมขาตัวเองเอาไว้ทั้งน้ำตา นั่นเองเขาถึงได้รู้ว่าเธอถูกงูกัด แม้จะเป็นศัตรูกัน แต่อย่างไรก็ต้องช่วย คิดเช่นนั้นเขาจึงให้เธอขึ้นหลังพากลับบ้าน โชคดีที่งูไม่มีพิษทำให้เธอเพียงแค่เสียขวัญเท่านั้น
“ฉันเป็นหนี้ชีวิตนาย ต่อไปเราเป็นเพื่อนกันฉันจะปกป้องนายเอง!”
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น แม้แรกๆ จะไม่ยินยอมเท่าไหร่เพราะไม่เคยมีเพื่อนมาก่อน แต่พอนานเข้าถึงได้รู้ว่าการมียัยเด็กแสบเอื้องทรายเป็นเพื่อนกลับไม่ได้เลวร้ายไปกว่าที่คิด เธอทำให้เขายิ้มได้ หัวเราะเป็น มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีเขาที่ไหนก็ต้องมีเด็กแสบอยู่ที่นั่นด้วยเข้าไปแล้ว
“คิดอะไรอยู่” เสียงที่ดังขึ้นเรียกเขากลับมาสู่ปัจจุบันได้ในที่สุด
“คิดถึงวันแรกที่เจอกัน แกมันเป็นยัยตัวแสบประจำบ้านเลย จำได้ไหมมีครั้งหนึ่งเคยหลอกให้ฉันปีนบันไดขึ้นไปเก็บหมวกให้แล้วยกบันไดหนี” คนถูกถามหัวเราะขึ้น ยามเมื่อคิดตามไปถึงวีรกรรมสุดแสบในวัยเด็ก
“ใครจะไปลืมลง! วันนั้นแกร้องไห้หาแม่ด้วยนี่ รู้ไหมว่าฉันถูกคุณย่าฟาดจนขาลายไปหมด เพราะแกคนเดียวเลย!” ดูเข้าเถอะ ขนาดตัวเองเป็นคนผิดแท้ๆ ยังมีหน้าโยนให้คนอื่นหน้าตาเฉย นี่แหละคือยัยแสบเอื้องทรายตัวจริงเสียงจริง แต่ถึงจะแสบซบแค่ไหนเรื่องดีๆ ของเธอก็มีมากโข
“คิดถึงคุณย่าจังเลยนะ แกล่ะวิน คิดถึงพวกท่านสองคนบ้างไหม”
“ที่สุดในหัวใจ…” ธเนศตอบโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ การสูญเสียคนที่รักไปในเวลาพร้อมๆ กันทำให้เขากับเอื้องทรายสนิทกันมากขึ้น เขากับเธอต่างรักคุณย่ามาก เพราะฉะนั้นจึงไม่คิดขัดใจคำสั่งเสียที่ท่านเขียนทิ้งเอาไว้ก่อนจาก ไม่ว่าสุดท้ายแล้วชีวิตคู่ของพวกเขาจะสิ้นสุดลงตรงไหน
เขาก็จะไม่มีวันลืมสัญญาที่ให้พวกท่านต่อหน้าโรงศพว่าจะดูแลเอื้องทรายให้ดี จะไม่ยอมให้ใครหรืออะไรมาทำร้ายรอยยิ้มสดใสนี้ของเธอ
“แกว่าย่ามองลงมาเห็นเราไหม แล้วนี่อยู่บนดาวดวงไหนกันนะ…”
เอื้องทรายเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ เธอเงยหน้าขึ้นมองฟ้าที่เริ่มมีดาวออกมาส่องแสงให้เห็น จำได้ว่าครั้งหนึ่งย่าเคยได้บอกไว้ว่าหากพวกท่านไม่อยู่เวลาคิดถึงให้แหงนหน้ามองดาว พวกท่านจะส่องแสงส่งยิ้มให้เป็นแรงใจ
“ฉันว่าน่าจะเป็นดาวดวงนั้นนะ” คนถูกถามตอบก่อนชี้ไปที่ดาวดวงที่สว่างที่สุด เชื่อว่าคุณย่าทั้งสองคงกำลังมองลงมาอยู่ที่ไหนสักแห่ง
“แกรู้ได้ไง!”
“เชื่อสิ ฉันเรียนมา” สิ้นคำตอบทั้งสองคนก็หัวเราะขึ้นพร้อมกันเพราะประโยคนี้เป็นประโยคประจำตัวของคุณย่าประไพที่มักพูดให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ ครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะเอื้องทรายที่ยิ้มได้ทุกครั้งที่มีคนๆ นี้อยู่เคียงข้าง แม้ชีวิตของเขาจะมีใครอีกคนแต่เขาก็ไม่เคยคิดทิ้งเธอ
การได้ใช้ชีวิตโดยมีเขาอยู่ใกล้ๆ ทำให้เธอมีความสุข มีมากเสียจนอยากหยุดเวลาไว้แต่เพียงเท่านี้ อยู่บนโลกที่มีแค่เขากับเธอสองคนก็พอ
ทั้งคู่ใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก็พากันกลับเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะเดินกอดคอกันออกมาทานข้าวกับนมบุษที่ได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างมีความสุข อยากที่จะเห็นภาพทั้งสองคนหยุดวิวาทกันแบบนี้ไปอีกนานๆ
“ยิ้มอะไรคะนม”
“นมมีความสุขค่ะ คุณท่านทั้งสองก็คงมีความสุขเหมือนกับนม แค่นมได้เห็นพวกคุณสองคนรักกันแค่นี้นมก็ตายตามพวกท่านทั้งสองได้แล้ว”
“ไม่เอาไม่พูดแบบนั้นสิคะนม นมน่ะแข็งแรงจะตายไป ยังอยู่ให้พวกเราสองคนแกล้งไปอีกนานเลยค่ะ จริงไหมไอ้วิน” ธเนศยิ้มรับ รู้สึกเห็นไปตามที่เอื้องทรายพูด เขาเองก็รักและผูกพันกับนมบุษมามากเช่นกัน เชื่อว่าท่านจะอยู่ไปอีกนาน แต่จะนานถึงเมื่อไหร่คงต้องให้เวลาเป็นคำตอบ