บทที่ 5
เพื่อนใหม่
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงของคนที่เดินตามไล่หลังมาตะโกนอย่างโกรธเคือง ทำให้ฉันที่เห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งไปหลบหลังคนที่เข้ามาใหม่ เขาช่างมาได้ทันเวลาพอดีเลย!
“กันต์ ช่วยเราด้วย” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร ก่อนจะเกาะแขนเขาแน่น พลางส่งสายตาอย่างหวาดกลัว
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ?” น้ำเสียงของกันต์เอ่ยด้วยความงุนงง คิ้วหนาขมวดขึ้น มองฉันสลับไปมากับน้องชายของเขา
“อ้าวพี่ ไหนบอกว่ากลับมาตอนดึกๆไง ทำไมถึงกลับมาเร็วอ่ะ” กานต์เอ่ยเสียงอ่อนลง พร้อมกับส่งยิ้มเจือนๆให้กับคนตรงหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ต้มหอม มาทำอะไรในบ้านฉัน ?” เขามองหน้าฉันอย่างจับผิด ก่อนจะเสมองไปทางน้องชายที่ตอนนี้เอามือพาดหัวอย่างเฉยเมย
เอาแล้วไง! ฉันจะตอบว่ายังไงดีละ ซวยแล้วสิ ถ้าฉันตอบว่าน้องชายของเขาลากฉันเข้ามาเพื่อทำมิดีมิร้าย เขาคงจะไม่เชื่อแน่ๆ แต่กลับกัน เขาอาจจะคิดว่าฉันต่างหากที่จะเป็นฝ่ายทำมิดีมิร้ายอะไรกับน้องของเขา
“อะ...เอ่อ คือว่าฉัน” ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบ จู่ๆร่างบางที่ยืนห่างกับฉันเพียงสามก้าวก็เอ่ยขึ้นมาก่อน
“คืองี้ พอผมกลับมาจากบ้าน ผมก็เห็นพี่ต้นหอมเขายืนรอพี่หน้าบ้านอ่ะ ผมเลยชวนเข้ามาในบ้านก่อน เห็นว่ามีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับพี่ด้วย ใช่ไหมครับพี่ต้มหอม ?” กานต์เอ่ยยิ้มมุมปาก พลางจ้องหน้ามาที่ฉัน เหมือนกับบังคับให้ฉันพยักหน้าตอบ
“ใช่แล้วล่ะ ฉันมารอกันต์!” ฉันเอ่ยออกไปอย่างจำยอม
เฮ้อ เขาช่วยหาข้ออ้างให้ฉันเหรอเนี่ย ไม่ยักจะเชื่อแหะว่าคนอย่างเขาจะช่วยฉัน ทั้งๆที่เขาบอกว่า ‘เกลียด’ ฉันด้วยซ้ำ แถมยังทำอะไรแปลกๆกับร่างกายฉันอีก
เอ๊ะ! ไม่ใช่ว่าเขากำลังคิดแผนทำลายฉันให้ป่นปี้ เพื่อจะไล่ฉันให้อยู่ห่างจากกันต์ ?
“ต้นหอม”
แสดงว่าเขาก็เกลียดฉันจนไม่อยากมองหน้าเลยนะสิ งั้นฉันก็ตีสนิทกับเขาไม่ได้อ่ะดิ โถ่! ทำยังไงดีละเนี่ย ฉันจะได้ใกล้ชิดกับกันต์ไหม
“ต้นหอม”
ตอนนี้ความคิดในหัวสมองของฉันเตลิดเตลอผันกันยุ่งเหยิงไปหมด ต้องทำอะไรสักอ่างแล้ว!
“ต้นหอม!!!” เสียงทุ้มของกันต์เอ่ยขึ้น ทำให้ฉันหลุดออกจากภวังค์ภายใต้ความคิดในหัวสมองของตัวเอง
“มะ...มีอะไรเหรอ ?” ฉันส่งยิ้มเจือนๆไปให้คนตรงหน้า
“ฉันเรียกเธอหลายครั้ง ไม่ได้ยินรึไง = =;”
“ได้ยินสิ ได้ยินแล้ว”
“เธอมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันรึเปล่า ?”
“อะ...เอ่อ” ฉันยึกๆยักๆ สมองสั่งการพลางคิดหาคำตอบออกไป ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองกานต์ที่ตอนนี้ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ นี่ตั้งใจจะให้ฉันรับเคราะห์แทนใช่ไหมย่ะ!
ฉันจะตอบเขาว่ายังไงดีละทีนี้ ไม่ได้มีเรื่องอะไรจะคุยจริงๆสักหน่อย TOT
“ที่จริงฉันกะจะชวนนายไปทานข้าวเย็นด้วยกัน” ฉันเอ่ยอย่างแก้ตัว คำแก้ตัวของฉันมันฟังดูไม่เข้าหูเอาซะเลย ยืนรอเขาอยู่ตั้งนาน เพื่อจะมาชวนเขากินข้าว มันสมเหตุสมผลกันซะจริงๆ =*=*
“นึกว่าเรื่องอะไรซะอีก” ใบหน้าหล่อหลุดขำออกมาก่อนจะพูดต่อ “ ทานที่ไหนดีละ ฉันก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลย เพิ่งทำโปรเจคที่มหาลัยเสร็จ ”
“อืม....” ฉันทำหน้าคิดหนักสักพัก สายตาเหลือบไปมองคนตรงหน้า ยิ่งมองหน้าเขาเท่าไหร่ ใจฉันมันก็ยิ่งเต้นมากเท่านั้น ฉันคงจะตกหลุมรักเขาจริงๆสินะ =///=
“นายอยากทานอะไรเหรอ” ฉันเอ่ยยิ้มๆ
“อะไรก็ได้อ่ะ ได้หมด”
“งั้นเนื้อย่าง ?” ฉันเสนอ
“อืม ก็ดีนะ งั้นไปกันเลย” เขาตอบฉันก่อนจะหันหน้าไปหาน้องชายที่ตอนนี้ยืนกดโทรศัพท์เล่นอยู่
“แกจะไปด้วยกันไหม?” เขาเอ่ยถาม
“ ไปดิ จะไม่ไปได้ไงกันครับ ผมหิวแล้ว รอพวกพี่ตัดสินใจกันอยู่นั่นแหละ” กานต์เอ่ยขึ้น พลางยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย
เขาวางแผนอะไรเอาไว้รึเปล่านะ ถึงส่งยิ้มแบบนั้นมาให้ฉัน
“รถเธอเอาไปซ่อมรึยัง” เขาเอ่ยถามขึ้นเมื่อพวกเรามาอยู่บนรถด้วยกันสามคน
“เอาไปซ่อมแล้ว พรุ่งนี้ก็คงได้แหละ” ฉันตอบออกไปตามความเป็นจริง ช่วงเช้าตอนไปถึงมหาลัยฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าต้องโทรเรียกประกันมาเคลมรถ
“ฮ่าๆ ฉันรู้นะที่เธอมาชวนฉันไปทานข้าวแบบนี้ เพราะไม่มีรถขับไปทานเองละสิ” เขาพูดหยอกล้อฉัน ก่อนจะสตาร์ทรถยนต์จับพวงมาลัยและขับออกไปตามทางเรื่อยๆ จนมาถึงห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหมู่บ้านของพวกเรานัก
พวกเราทั้งสามคนเดินเข้ามาในห้างสรรพสินค้า ที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
ฉันมองหาร้านเนื้อย่างไปเรื่อยๆ จนไปสะดุดกับร้านเนื้อย่างที่มีซีฟู๊ด
ฉันสะกิดแขนกันต์ พลางใช้มือเรียวยาวชี้ไปที่ร้านตรงนั้น
“ร้านนั้นไหม” ฉันบอกยิ้มๆ ก่อนจะหันหน้าไปมองหน้ากันต์ที่ยืนอยู่ตรงกลางและฝั่งตรงข้ามของเขานั้นมีกานต์เดินข้างๆประกบแนบชิดอยู่
“อืม เอาดิ” กันต์พยักหน้าให้กับความคิดของฉัน ตอนนี้ร่างสูงรู้สึกหิวเหลือเกิน ไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว
“พี่ ผมอยากกินร้านนั้นอ่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ก่อนจะชี้ไปอีกร้านหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มันเป็นร้านเนื้อย่างเพลียวๆที่ไม่มีอาหารทะเลเลยแม้แต่นิดเดียว
“เออ น่ากินว่ะ” กันต์มองหน้าน้องชายแว๊บหนึ่ง ก่อนจะคิดว่า น้องคนนี้รู้ใจเขาซะเหลือเกินว่าเขาไม่ชอบกินอาหารทะเล กันต์เหมือนจะลังเลใจอยู่พักใหญ่ๆ จนทำให้ฉันทนไม่ไหวต้องพูดออกมา
“กินร้านนั้นก็ได้ ฉันก็ชอบนะ”
“จริงเหรอ!? งั้นกินร้านนั้นเลยนะ”
ฉันได้ยินกันต์พูดอย่างนั้น ฉันก็เลยได้แต่ยิ้มให้กับความคิดของกานต์ ในใจก็ได้แต่คิดว่าอยากกินอาหารทะเลอ่ะ
เราทั้งสามเดินตรงเข้าไปในร้านเนื้อย่างที่กานต์เลือก มีพนักงานทั้งผู้หญิงและผู้ชายมาต้อนรับเป็นอย่างดี พร้อมจัดแจงโต๊ะและที่นั่งให้เรียบร้อย
กานต์เริ่มเปิดเมนูและสั่งอาหารเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าอาหารที่กานต์สั่งนั้นล้วนแต่เป็นของที่กันต์ชอบทั้งสิ้น ช่างรู้ใจกันเหลือเกิน! ดูฉันสิ ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาสักอย่าง ฮือ ~
สักพักอาหารที่สั่งก็มาเสิร์ฟโดยเร็วจนเกือบจะครบหมดทุกอย่าง กันต์และกานต์จัดการปิ้งย่างอาหารที่อยู่ตรงหน้า มองไปทางไหนก็มีแต่เนื้อกับหมู ฉันอยากกินอาหารทะเลอ่ะ!
ฉันได้แต่ร้องไห้งอแงในใจ สีหน้าที่แสดงออกมาก็พยายามปั้นยิ้มอย่างเต็มที่ ฉันมองกานต์ที่จัดการปิ้งเนื้อและหมูทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะแทนพี่ชาย ฉันว่าหมอนี่ก็น่ารักดีนะ เวลาอยู่กับกันต์ยิ่งดูน่ารักเข้าไปใหญ่
ออร่าของพวกเขาทั้งสองช่างเปร่งประกายจนผู้หญิงโต๊ะรอบๆต้องหันมาเหลียวมอง แต่เสียอย่างเด็กนี่หมดความน่ารักในสายตาของฉันไปซะแล้ว ก็ดูสิ่งที่เขาทำกับฉันสิ มันน่าให้ฉันเกลียดเขาไหมละ!
ฉันสลัดความคิดทั้งหมดก่อนจะมองผู้ชายสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ฉันอยากจะนั่งข้างๆกันต์ชะมัด แต่เหมือนเด็กนั่นจะพยายามขัดขวางฉันอยู่ ตั้งแต่เลือกร้านอาหารแล้วมั้ง
“พี่กินนี่สิ” กานต์เอ่ยขึ้น ก่อนจะคีบเนื้อย่างที่สุกกำลังพอดีใส่จานของพี่ชาย
ฮึ้ย! น่าโมโหชะมัด ฉันก็อยากทำแบบนั้นให้กันต์มั่งอ่ะ
“วันนี้แกเอาใจฉันแปลกๆนะ” กันต์ส่งสายตามองน้องชายอย่างระหวาดระแวง ก่อนจะจัดการรับประทานชิ้นเนื้อชิ้นใหญ่ที่น้องชายคีบมาให้เมื่อกี้
“ผมอยากเอาใจพี่ชายมั่งนี่ครับ” ร่างบางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะจัดการชิ้นเนื้อที่อยู่ในจานของตัวเองมั่ง
“กานต์ ลองกินนี่สิ ไก่คาราเกะอร่อยนะ” ฉันว่าพลางตักไก่คาราเกะไปไว้ที่จานของกานต์ ก่อนจะยิ้มบางๆให้เขาไปหนึ่งที
“ผมว่ามันไม่อร่อยหรอก กินนี่ดีกว่า ผมรู้พี่ชอบปลาซาบะย่าง” กานต์มองหน้าฉัน ก่อนจะจัดการตักปลาซาบะใส่จานพี่ชายของเขาอีกที
อะไรของเขากันย่ะ ไม่อร่อยตรงไหน ฉันเห็นไอ้เด็กนี่กินไก่คาราเกะของฉันไปตั้งเยอะ แล้วมาหาว่าไม่อร่อยเนี่ยนะ
“เอ่อ ขอบคุณนะต้นหอม” กันต์ส่งยิ้มมาให้ฉัน ฉันยิ้มตอบเขาแก้มแทบปริ เห็นเขากินอร่อยฉันก็ดีใจแล้วละ!
พวกเราทั้งสามจัดการมื้อเย็นตรงหน้าเรียบร้อยหมดเกลี้ยง สุดท้ายก็ได้เวลาจ่ายค่าใช้จ่ายของอาหารทั้งหมด ฉันเอ่ยปากบอกว่าจะจ่ายทั้งหมดเอง เพราะเป็นคนชวนพวกเขามาทานอาหารเย็นด้วย แต่กันต์กลับบอกว่าเขาจะจ่ายแทนเอง แ
ถมยังบอกอีกว่าให้ฉันเลี้ยงข้าวเขาเป็นการตอบแทนวันอื่นแล้วกัน เขาบอกอย่างนี้ฉันก็ใจเต้นรัวเลยสิ มีวันอื่นด้วยเหรอ ฉันจะได้ทานข้าวกับเขาสองต่อสองโดยที่ไม่มีเด็กอย่างหมอนั่นมากวนแล้วใช่มั้ย
ตอนนี้เวลาประมาณสองทุ่มแล้ว พวกเราแวะเดินดูของนิดๆหน่อยก่อนจะมุ่งหน้าตรงกลับบ้าน ฉันเอ่ยกล่าวขอบคุณที่เขาพาฉันมาส่งถึงบ้าน เพราะบ้านเราอยู่ใกล้ชิดสนิทกัน แถมเขายังเอ่ยปากชวนฉันไปมหาลัยพร้อมกับเขาพรุ่งนี้อีก แต่ฉันก็เกรงใจสิ เลยแกล้งทำเป็นพวกมีมารยาทจัด ปฏิเสธคำชวนของเขาไป ฉันนี่มันปากไม่ตรงกับใจเลย
“ฉันไปก่อนนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้” ฉันเอ่ยลา ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ แล้วปิดประตูรถอย่างแผ่วเบา พร้อมกับเดินฉับๆมาเปิดประตูบ้านอย่างเร็วไว
ทำไมฉันรู้สึกว่ามีสายตาของใครสักคนบนรถจ้องมาทางฉันอยู่ก็ไม่รู้สิ = =; สงสัยเด็กนั่นอาจจะแค้นจัดที่ฉันทำเหมือนไปสนิทกับพี่ชายเขา จริงสิ ทำไมหมอนั่นถึงหวงพี่ชายขนาดนั้นนะ
14 : 35 นาฬิกา
“เย็นนี้แกว่างป่ะ” ฉันเอ่ยถามเพื่อนสนิทของตัวเองออกไปทันที ก่อนจะก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ส่งไลน์หาพี่ชายของฉันเอง ร้อยวันพันปีตานั่นไม่เคยคิดจะทักไลน์ฉันมา แต่วันนี้กลับทักมาอย่างไร้สาเหตุ เพียงแค่คำว่า ‘สวัสดี’ ฉันอยากจะบ้าตาย พี่น้องสายเลือดเดียวกัน คนอย่างตานั่นไม่คิดจะเป็นห่วงฉันมั่งเลยเหรอ
“ไม่อ่ะ วันนี้ต้องไปสอนพิเศษเด็กอีก” มิวสิคเพื่อนรักของฉันตอบออกมาด้วยสีหน้าเบื่อโลกแบบสุดๆ ยัยมิวสิคปริปากพูดกับฉันเมื่อเช้า พร้อมกับเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังอย่างคร่าวๆเกี่ยวกับเรื่องที่ทำให้อารมณ์ของยัยนี่ดูหงุดหงิดทั้งวัน
ฉันพอจะจับใจความได้ว่า เพื่อนสนิทของแม่ยัยมิวสิคมีลูกชายที่กำลังเรียนอยู่ม.ห้า แล้วทีนี้อยากจะเตรียมตัวสอบเข้าคณะเดียวกับยัยมิวสิค เลยอยากจะให้แนะแนวทางการเข้าคณะนี้ตั้งแต่อายุสิบเจ็บ
“ฉันเกลียดเด็กว่ะ เด็กนั่นโคตรกวนตีนฉันอ่ะ” มิวสิคสบถออกมาอย่างเกินจะทน พร้อมกับเกาหัวจนตอนนี้ผมยาวตรงสลวยสวยของเธอยุ่งฟูไปหมดแล้ว
“ไม่ต่างกับฉันอ่ะ เด็กข้างบ้านฉันก็กวนตีนไม่แพ้กัน” ฉันเบ้ปากมองบนอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อนึกถึง ‘กานต์’ ขึ้นมา จู่ๆใบหน้าของฉันก็เริ่มเป็นสีแดงเถือก ฉันเล่าเรื่องทั้งหมดให้มิวสิคฟัง แต่ที่ไม่ได้เล่ามีเพียงจุดเดียว จุดที่หมอนั่นจูบฉัน แถมยังจับหน้าอกฉันอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหที่สุดเลย!
“เฮ้อ แล้ววันนี้แกนัดฉันถ่ายรูปตอนเย็นใช่ป่ะ ฉันลืมอ่านไลน์ไปเลย” มิวสิคถามออกมาอย่างเหนื่อยล้า พลางหยิบโทรศัพท์ออกมาก่อนจะกดจิ้มยุกยิกยุกยิกไปมา
“เออ ใช่ ฉันเอากล้องมาแล้วด้วย” ฉันตอบออกมา พลางก้มมองกระเป๋ากล้องที่ฉันสะพายอยู่ตอนนี้
ฉันส่งไลน์ไปบอกกับมิวสิคตั้งแต่เมื่อคืนว่าวันนี้จะนัดกันไปทำโปรเจคถ่ายรูปพอตเทรตกับเดือนคณะวิศวะที่มิวสิคนัดเอาไว้ให้ เห็นว่าเป็นหนุ่มหล่อที่ใครต่างก็เหลียวมองกันเลยทีเดียว
“แกไปได้ไหม ?” ฉันถามออกมาอย่างกังวลใจ โปรเจคก็ใกล้จะต้องส่งอาทิตย์หน้าแล้วด้วย แถมไหนจะยังตัดต่อนู่นนี่นั่นให้ออกมาสมบูรณ์ที่สุดอีก ถ้าไม่ทำภายในวันนี้มีหวังไม่เสร็จแน่ๆ มิวสิคทำหน้าลำบากใจอยู่ชั่วครู่
“เดี๋ยวฉันดูก่อนนะ เออๆ งั้นไปหาเดือนคณะวิศวะกันก่อนดีกว่า รับรองคนนี้ถูกใจแกแน่นอน ไม่มีบ่นว่าไม่อยากถ่ายแน่ๆ” มิวสิคบอกก่อนจะเดินก้าวขานำไปยังตึกเรียนของคณะวิศวะ
พวกเราทั้งสองเดินเข้ามารอบๆบริเวณคณะวิศวะ ทำให้นักศึกษาคณะนี้หันมาเหลียวมองกันไม่หยุดหย่อน ฉันกับมิวสิคแต่งชุดนักศึกษาคล้ายคลึงกัน โดยสวมเสื้อที่รัดแน่น กับกระโปรงทรงเอที่สั้นแค่คืบ ฉันเริ่มเปลี่ยนการแต่งตัวตามคำนัดแนะของยัยมิวสิค
ทำให้ผู้คนรอบๆตัวต่างมองฉันกันมากขึ้นกว่าเดิม ถึงตอนแรกฉันใส่ชุดแบบนี้จะอายมากเลยก็เถอะ แต่พอใส่ไปเรื่อยๆ มันก็รู้สึกความอายหายไปหมดเลย
“แก มาแล้ว คนที่ฉันนัดไว้อ่ะ” มิวสิคสะกิดแขนฉันแรงๆ ก่อนจะเดินไปหาเดือนคณะวิศวะที่นัดแนะเอาไว้
“หวัดดีครับ มิวสิค ต้นหอม” เดือนคณะวิศวะหน้าหล่อเอ่ยขึ้น พร้อมกับยกยิ้มทักทายพวกเราทั้งสองคนตามมารยาท ฉันยิ้มต้อบอย่างทักทาย ก่อนจะละสายตาไปมองคนที่อยู่ข้างๆแทน
“อ้าว กันต์ เจอกันอีกแล้ว” ฉันทักทายเขาก่อน สายตาของเขาก็จ้องมองมาที่ฉันอย่างแปลกใจ ฉันก็แปลกใจไม่แพ้กันที่เจอเขาอย่างบังเอิญ
“อ้าว เธอเองเหรอที่นัดถ่ายรูปอ่ะ” เขาถามออกมา ฉันได้เพียงพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหยิบกล้องที่ใส่ไว้ในกระเป๋าออกมา
“นายจะมาถ่ายด้วยเหรอ” ฉันถามออกไปอย่างสงสัย วันนี้เขาอยู่ในลุคชุดนักศึกษาที่เรียบร้อยกว่าปกติ
“ไม่หรอก แค่ไปเป็นเพื่อนเพื่อนฉันนะ”
“อ่อ...” ฉันตอบรับในลำคอ ก่อนจะมองหน้ากันต์กับเพื่อนเขาสลับไปมา
“ป่ะๆ ไปกันเถอะ เดี๋ยวแสงยามเย็นหมดซะก่อน” มิวสิคเอ่ยก่อนจะเดินนำไป
“นายชื่ออะไรเหรอ” เดือนคณะวิศวะหน้าตาหล่อเหลา เดินมาข้างๆฉัน ก่อนที่ริมฝีปากได้รูปจะเอ่ยถามออกมา ผมของเขานั้นเป็นสีดำสนิทซอยไร่ระดับ จมูกโด่งสัน พร้อมกับใบหน้าเรียวได้รูป นัยน์ตาสีฟ้าเป็นประกาย อีกทั้งยังมีสีผิวที่ขาวอมชมพู
ฉันไม่แปลกใจเลยที่เขาจะได้เป็นเดือนคณะวิศวะ หล่อซะขนาดนี้ ถึงจะหล่อน้อยไปกว่ากันต์บ้างก็เถอะ -,.-
“ฉันชื่อ เอิร์ธ เป็นเดือนคณะวิศวะ วันนี้ฝากตัวด้วยนะ” เอิร์ธทักทายอย่างเป็นทางการ
“เช่นกัน วันนี้ฉันจะถ่ายรูปให้นายหล่อๆเลย ฮ่าๆ” ฉันยิ้มออกมา ก่อนจะเดินไปถึงรถของตัวเอง
ทุกคนต่างแยกย้ายขับรถของตัวเองออกไปคนละคัน ฉันขับมาเรื่อยๆ จนถึงสถานที่นัดหมายไว้กับมิวสิค
ฉันขับรถไปจอดที่ลานจอดรถ ก่อนจะเดินออกมา พร้อมกับมองสำรวจไปรอบๆสถานที่บริเวณนี้ ที่นี่เป็นสวนธรรมชาติ ที่ให้บรรยากาศเหมือนป่าใหญ่ มีทั้งต้นไม้ ดอกไม้ และเรือนกระจกที่ดูตกแต่งอย่างหรูหรา แถมยังมีร้านคาเฟ่ที่ดูกลมกลืนไปกับธรรมชาติ
ฉันนัดถ่ายรูปกับมิวสิคไว้ที่นี้ ซึ่งถ้าจะมาถ่ายรูปแบบเป็นทางการต้องส่งใบร้องขอถ่ายก่อน ถึงเจ้าหน้าที่จะอนุญาต แต่ฉันทำเรื่องพวกนี้เรียบร้อยแล้ว เลยไม่ต้องห่วงว่ามันจะมีปัญหาใดๆ
“เอาละ พร้อมกันรึยัง” ฉันเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินไปหามิวสิคที่ตอนนี้กำลังรอฉันอยู่ ฉันขนอุปกรณ์กล้องถ่ายรูปมาก่อนจะเช็คตรวจสอบความเรียบร้อยอีกที
“พร้อมแล้วๆ รีบๆเลย เดี๋ยวฉันต้องไปแล้วอ่ะแก” มิวสิคเอ่ยอย่างรีบร้อน
“อย่าเร่งกันดิว่ะ เดี๋ยวภาพไม่สวยกันพอดี” ฉันบ่นอุบอิบออกมา พลางมองมิวสิคที่ตอนนี้จ้องโทรศัพท์ในมืออย่างร้อนรน
“นายแบบของเราไปไหนละ” ฉันมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบคนทั้งสอง
“พวกเราอยู่นี่” เอิร์ธตะโกนมาในขณะที่ฉันกับมิวสิคยืนรออยู่ ก่อนจะก้าวฉับๆเดินมาใกล้ๆ
“นึกว่าหนีกลับบ้านแล้วซะอีก” มิวสิคแอบเบ้ปาก
“ใครจะกล้าหนีไปละ เพื่อนรักอย่างเธออุตสาห์มาให้ฉันเป็นนายแบบ ฮ่าๆ” เอิร์ธหัวเราะเบาๆ
“เออๆ เริ่มกันเถอะ กันต์จะเป็นนายแบบกับหมอนี่ด้วยไหม” มิวสิคเอ่ยถามคนที่ตอนนี้ยืนนิ่งเงียบอยู่
“คือว่าฉันไม่...” ยังไม่ทันที่กันต์จะพูดจบ เอิร์ธก็เอ่ยตัดหน้าขึ้นมาก่อน
“ ใช่ กันต์จะเป็นนายแบบคู่กับฉัน!”