บทที่ 7
มุ่งหน้าสู่ถังหนาน
เสียงเอะอะโวยวายที่หน้าห้องเก็บฟืนส่งผลให้คนที่นอนอยู่ด้านในรู้สึกตัวตื่น เป้าจื่อไป๋ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะบิดกายยืดเส้นสายขับไล่ความเกียจคร้าน หลังจากที่นางนอนหลับสนิทอย่างเพียงพอในค่ำคืนที่ผ่านมา
เผามัน! เผามัน!
ฆ่าปีศาจ! ฆ่าปีศาจ!
หญิงสาวแนบหูฟังเสียงเอะอะด้านนอกด้วยความใคร่รู้ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้นางรู้ว่า แม้อยากจะรู้เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากมายเท่าไหร่ ทว่าก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก ทว่าเสียงภายนอกที่นางได้ยินกลับสร้างความตื่นกลัวให้นางไม่น้อย
คงไม่ใช่ว่าพวกเขารู้แล้วว่านางเป็นเสือดาวหิมะหรอกนะ!
เมื่อได้ยินเสียงของผู้คนข้างนอกตะโกนว่าต้องการเผาและฆ่าปีศาจ มนุษย์ครึ่งสัตว์อสูรเช่นนางก็อดที่จะหวาดระแวงไม่ได้
หญิงสาวก้าวเดินถอยหลังออกห่างจากประตู กลัวเหลือเกินว่าคนพวกนั้นจะบุกเข้ามา
“ใจเย็นๆ ไม่ต้องกลัว” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม
ชายหนุ่มรู้สึกตัวได้พักใหญ่ๆ เพราะเสียงร้องตะโกนโวยวายของผู้คนด้านนอก
“คุณชายซ่ง เมื่อคืนข้าไม่ได้กลายร่างนะเจ้าคะ” หญิงสาวเอ่ยออกตัวว่าตนเองไม่ได้เป็นคนทำความลับรั่วไหล
“อืม...ข้ารู้ พวกเขาไม่ได้หมายถึงเจ้าหรอก” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยบอก
“เช่นนั้นพวกเขาหมายถึงใครกันเจ้าคะ?” คนอายุสิบสี่หนาวรู้สึกงุนงง
“มีนายพรานคนหนึ่งจับสัตว์ประหลาดได้เมื่อตอนเช้ามืด”
“สัตว์ประหลาด?”
“อืม...หัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าเป็นสัตว์เลื้อยคลานหน้าตาแปลกประหลาดตัวหนึ่ง” ชายหนุ่มอธิบายเพิ่ม
“อย่ามัวแต่สนใจสิ่งอื่นอยู่เลย ไปเก็บข้าวของของเจ้าเถิด พวกเราจะได้รีบไปจากที่นี่กัน” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยขึ้นบ้าง
“เจ้าค่ะ”
เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้วทั้งสามคนก็เดินออกมาจากห้องเก็บฟืน เหอเจ่อฮั่นกันให้เป้าจื่อไป๋เดินอยู่ข้างหลังเขาอย่างใกล้ชิด ไม่ยอมให้นางตกเป็นเป้าสายตาของใคร
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน มิทราบว่าพวกข้าพอจะหารถม้าหรือวัวเทียมเกวียนสักคันเพื่อเข้าไปในตัวเมืองได้หรือไม่?”
ซ่งหานหลิ่งเดินเข้าไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน ที่ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของชาวบ้านที่พากันมามุงดูสัตว์หน้าตาแปลกประหลาด
“พวกท่านจะเข้าไปในเมืองรึ?” หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยถาม
“ขอรับ” ชายหนุ่มเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะยื่นสมุนไพรสองห่อให้อีกฝ่าย
“นี่เป็นสมุนไพรแก้ไข้ที่ข้าหาเก็บได้ระหว่างทาง มอบให้ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ ส่วนห่อนี้รบกวนท่านหัวหน้ามอบให้ผู้อาวุโสหูขอรับ”
“โอ้...เกรงใจเกินไปแล้ว แต่อย่างไรก็ขอบคุณท่านมาก”
หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ก็รีบรับสมุนไปโดยเร็วราวกับว่ากลัวอีกฝ่ายจะเอาคืน
ในหมู่บ้านท่ามกลางป่าเขาแห่งนี้ จริงอยู่ที่ว่าพวกเขาอาจจะรู้เรื่องสมุนไพรบ้างเล็กน้อย เพื่อเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยจะได้หาสมุนไพรเหล่านั้นมากินรักษาชีวิต
แต่ถึงแม้จะพอรู้จักสมุนไพรก็ใช่ว่าพวกเขาจะรู้เรื่องการแพทย์ การรักษา อีกทั้งยามเจ็บไข้ได้ป่วยมาก็ต้องเปลืองเงินหลายตำลึง ดังนั้นเมื่อมีผู้หยิบยื่นของมีค่าเช่นห่อยาห่อนี้ให้ เหตุใดเขาจึงจะไม่รับไว้เล่า
“แล้วเรื่องเดินทางเข้าเมือง...”
“อ้อ ข้าถามไว้ให้แล้ว วันนี้สามีภรรยาแซ่ติ้งจะเข้าไปขายถ่านในเมืองพอดี พวกท่านสามารถติดเกวียนของพวกเขาเข้าเมืองได้ เห็นว่ารอบนี้ถ่านที่เผาได้มีไม่มาก คงจะมีพื้นที่เหลือให้พวกท่านนั่งอยู่”
“ขอบคุณท่านหัวหน้าที่เป็นธุระให้”
“ไม่เป็นไรๆ พวกท่านไปเถิด เดินไปตามทางนั้นไม่ไกลก็จะพบกับบ้านของสามีภรรยาคู่นั้น หน้าบ้านของพวกเขามีเกวียนจอดอยู่”
“เช่นนั้นพวกข้าต้องขอตัวก่อน ขอบคุณท่านหัวหน้าหมู่บ้านอีกครั้ง”
“ขอให้พวกท่านโชคดี เดินทางปลอดภัย”
ปลายยามเฉิน (07.00-08.59น.) วัวเทียมเกวียนเล่มหนึ่งก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากหมู่บ้าน มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองไหน่หนง อันเป็นหนึ่งในสามของหัวเมืองใหญ่ทางเหนือของแคว้นหนานไห่
“แม่นาง ชายหนุ่มผู้ใดเป็นสามีของเจ้าหรือ”
“นั่นสิๆ ชายหนุ่มคนไหนที่เป็นสามีของเจ้ากัน พวกข้าอยากรู้นัก ชายหนุ่มสองคนนั้นรูปงามทั้งคู่เลย”
สองสามีภรรยาแซ่ติ้งเอ่ยถามเป้าจื้อไป๋ด้วยความสงสัย เนื่องจากว่าบนเกวียนตอนนี้ไม่มีถ่านอยู่เลยสักกระสอบ ทำให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ค่อนไปทางด้านหน้าถูกสองสามีภรรยาซักถามนู่นนี่นั่นไม่หยุด กระทั่งมาถึงคำถามเมื่อครู่นี้
“สามีของข้า?”
“ก็ใช่นะสิ! ระหว่างสองคนนั้นใครเป็นสามีของเจ้ากัน หรือว่าเป็นทั้งคู่” ภรรยาแซ่ติ้งเอ่ยถามอย่างละลาบละล้วงไร้ความเกรงใจ
เหอเจ่อฮั่นที่นั่งอยู่ท้ายเกวียนส่ายหน้าไปมาด้วยความเอือมระอา หากไม่ติดว่าพวกเขาอาศัยนั่งเกวียนของอีกฝ่ายอยู่ ป่านนี้เขาคงตะโกนต่อว่าสามีภรรยาคู่นี้ไปแล้ว
“ข้ายังไม่ได้แต่งงานนะเจ้าคะ แล้วก็ยังไม่มีสามี” เป้าจื่อไป๋เอ่ยตอบอย่างงุนงง
เหตุใดพวกเขาจึงคิดว่านายท่านกับคุณชายซ่งเป็นสามีของนางเล่า?
“อ้าว? เช่นนั้นแล้ว...”
“นางเป็นบุตรสาวของข้า พวกท่านทั้งสองอย่าถามให้มากความอีกเลย ข้าไม่ให้นางแต่งออกไปให้ผู้ใดง่ายๆ หรอก”
เหอเจ่อฮั่นเอ่ยตัดบท คำพูดของเขาทำสองสามีภรรยาหน้าเจื่อนสนิท ที่กล้าถามเรื่องส่วนตัวของหญิงสาวต่อหน้าผู้เป็นบิดาของนาง
“และนี่เป็นค่าตอบแทนของพวกท่านทั้งสอง” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยพร้อมกับยื่นเงินก้อนไปให้ก้อนหนึ่ง
“และช่วยเร่งความเร็วขึ้นให้ข้าอีกสักหน่อยเถิด”
เมื่อยื่นเงินให้แล้ว ชายหนุ่มก็เอ่ยข้อร้องด้วยน้ำเสียงที่ฟังอย่างไรก็ไม่เหมือนการขอร้องไปอีกประโยคหนึ่ง นั่นจึงทำให้สามีภรรยาแซ่ติ้งหมดคำถามไปในทันที ทั้งยังตั้งหน้าตั้งตาขับเกวียนไปด้วยความตั้งใจ
วัวเทียมเกวียนของสามีภรรยาแซ่ติ้ง มาถึงตัวเมืองไหน่หนงในกลางยามโหย่ว (17.00-18.59น.) หลังจากที่ผ่านเข้าประตูเมืองมาได้ พวกเขาทั้งสามก็แยกย้ายจากสามีภรรยาคู่นั้นในทันที
สองหนุ่มหนึ่งสาวมุ่งหน้าหาโรงเตี๊ยมที่พักในเวลาใกล้ค่ำ ทว่าพวกเขากลับไม่คาดคิดว่าจะเจอใครบางคนที่นี่
“นะ...นั่นอาหลิ่งหรือ?”
ใครคนหนึ่งที่นั่งดื่มสุราอยู่ในโรงเตี๊ยมที่พวกเขาทั้งสามตั้งใจมาหาห้องพักเอ่ยขึ้น ซ่งหานหลิ่งหันไปมองตามเสียงเรียก ก็พบว่าคนที่เอ่ยเรียกเขาอย่างสนิทสนมนั้นคืออู่หยง
“ท่านอาอู่หยง?”
ชายหนุ่มว่าพร้อมประสานมือคำนับ บุคคลผู้ครั้งหนึ่งเคยเป็นลูกน้องคู่ใจของซ่งหานโจว บิดาบุญธรรมของพวกเขา
“ได้ยินว่าเจ้าปลีวิเวกไปอยู่ในป่า ดียิ่งที่ตอนนี้เจ้ากลับมาแล้ว” ชายหนุ่มเพียงแต่ยิ้มรับ ไม่ตอบตกลงหรือปฏิเสธคำกล่าวนั้น
“แล้วนี่หลานกำลังจะหาที่พักหรือ?”
“เป็นเช่นนั้นขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นไปพักที่บ้านอาก็แล้วกัน ไหนๆ วันนี้ก็โชคดีได้เจอเจ้า ว่าแต่สองคนนั้น...”
“เป็นสหายของข้าเองขอรับ เหอเจ่อฮั่น ส่วนนี่ก็บุตรสาวของเขา ไป๋เอ๋อร์” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยแนะนำคนทั้งสองให้อู่หยงรู้จัก
เหอเจ่อฮั่นอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าซ่งหานหลิ่งจะเอ่ยแนะนำเป้าจื่อไป๋ไปแบบนั้น แต่เขาไม่อยากฉีกหน้าสหาย จึงได้ปล่อยให้เป็นไปตามนั้น
หากเขาเป็นบิดาของนาง เช่นนั้นก็ให้อาหลิ่งเป็นมารดาไปก็แล้วกัน...เห็นเคยแนะนำวิธีย่างปลาทำอาหารให้กันอยู่บ่อยๆ ตอนอยู่ในป่า
เมื่อคิดได้อย่างนั้นเหอเจ่ออั่นก็ค่อยสบายใจขึ้นมาบ้าง เขาเดินตามซ่งหานหลิ่งกับชายวัยกลางคนที่อาหลิ่งเรียกว่าท่านอาผู้นั้นไป ด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า
“เอาม้ามาให้ข้า” อู่หยงเอ่ยสั่งกับบ่าวชายที่มาด้วย ก่อนจะหันหน้ามาคุยกับซ่งหานหลิ่ง
“อาหลิ่ง เจ้าเดินทางมาเหนื่อยๆ พาสหายกับหลานสาวขึ้นไปนั่งในรถม้าเถิด”
“ท่านอากังวลเกินไปแล้ว ข้าสบายดีหาได้เหน็ดเหนื่อยอันใด มิต้องลำบากท่านอาหรอกขอรับ”
ด้วยเพราะรถม้าของอู่หยงนั้นคันไม่ใหญ่ บุรุษสามคนไม่อาจเข้าไปนั่งด้วยกันได้ ทั้งยังมีสตรีอีกคนหนึ่งด้วย
แต่เมื่อหลานชายปฏิเสธที่จะนั่งรถม้า อู่หยงจึงเอ่ยให้สหายของหลานพร้อมบุตรสาวเข้าไปนั่งข้างใน ทว่าคำตอบที่ได้กลับไม่ต่างกัน
“ข้าเป็นเพียงแขก หากตนเองนั่งสบายในรถม้า ส่วนท่านอาผู้เป็นเจ้าบ้านต้องลำบากควบม้าไปเอง นั่นจะไม่เป็นการเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยหรือขอรับ อีกอย่างอาหลิ่งเองก็ขี่ม้าไม่เก่งนัก เช่นนั้นข้าว่า...”
หลังจากที่เหอเจ่อฮั่นเอ่ยปาก ผลสรุปที่ได้คือเป้าจื่อไป๋ได้นั่งในรถม้า พร้อมกับบ่าวชายของอู่หยงที่ทำหน้าที่ขับรถม้าอยู่ด้านนอก ส่วนอู่หยงก็ทำหน้าที่ควบม้านำทาง
ในขณะที่ด้านหลัง ซ่งหานหลิ่งและเหอเจ่อฮั่นที่นั่งอยู่บนหลังม้าตัวเดียวกัน กำลังควบม้าตามไปอย่างช้าๆ โดยมีอดีตหมอเทวดานั่งอยู่ด้านหน้า ภายในอ้อมแขนแข็งแกร่งของเหอเจ่อฮั่น
“ใครบอกเจ้าว่าข้าขี่ม้าไม่แข็งกัน”
บุรุษผู้นั่งอยู่ด้านหน้าเอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศที่เงียบเหงา ท้องฟ้าในยามนี้มืดสนิทแล้ว สองข้างทางก็ว่างเปล่าไร้ผู้คนค้าขาย
“ไม่มี” คนที่กำลังใช้มือควบม้าอยู่เอ่ยตอบ
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าขี่ม้าไม่แข็ง” ซ่งหานหลิ่งเผลอตัวเอ่ยถามอย่างแง่งอน
ความจริงแล้วชายหนุ่มขี่มาเป็น ก่อนหน้านี้หลายปีเขาก็ขี่ม้าบ่อย ตอนที่ออกจากจวนตระกูลซ่งเพื่อท่องยุทธภพ เขาก็มีม้าคู่ใจอยู่ตัวหนึ่ง
ทว่าพอตัดสินใจปลีกวิเวกไปอยู่ในป่า เขาจึงทิ้งมันไว้ที่จวนตระกูลซ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าป่านนี้มันจะเป็นอย่างไรบ้าง
“อาหลิ่ง เจ้าอยู่ในป่าไม่ได้ขี่ม้ามาตั้งนาน ความชำนิชำนาญของเจ้าอาจจะขึ้นสนิมแล้วก็เป็นได้ ข้าไม่อยากให้เจ้าได้รับบาดเจ็บ จึงได้เสนอตัวมาควบม้าให้เจ้านั่งเช่นนี้”
“...”
ซ่งหานหลิ่งหมดคำจะกล่าว ในเมื่ออีกฝ่ายออกตัวเป็นผู้เสียสละไปแล้วเขาจะทำอะไรได้ แม้จะรู้สึกตัวอยู่ว่าท่อนแขนทั้งสองข้างของเขาแนบชิดเนื้อตัวเกินไป แต่กลับไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาสักคำ ด้วยเพราะกลัวว่าจะหน้าแตก หากเป็นเขาที่คิดมากเกินไป
ก็แค่บุรุษสองคนขี่ม้าตัวเดียวกัน ใครเขาจะมองว่าชายหนุ่มสองคนกำลังโอบกอดกันบนหลังม้าเล่า…
เดินทางมาได้ไม่นานขบวนน้อยๆ ของพวกเขาก็หยุดลงตรงหน้าจวนหลังหนึ่ง ประมาณการจากสายตาดูแล้วพบว่าจวนหลังนี้ไม่เล็กไม่ใหญ่ เพียงพอแค่ครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ได้โดยไม่เบียดเสียดเท่านั้น
เป้าจื่อไป๋ลงจากรถม้ามายืนอยู่หน้าจวน ในขณะที่เหอเจ่อฮั่นกลับไม่มีท่าทีว่าจะลงจากหลังม้า ซ้ำสองแขนของเขายังคงโอบรอบกายของคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขาไว้อย่างนั้น ทั้งๆ ที่ถึงจุดหมายปลายทางแล้วแท้ๆ
“นายท่าน คุณชายซ่ง ไม่ลงมากันหรือเจ้าคะ?”
สาวน้อยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่เบานัก ทำให้อู่หยงที่ยืนรออยู่หน้าประตูหันหลังกลับมามองชายหนุ่มทั้งสองด้วยสีหน้าสงสัย
“เอาบันไดไปให้คุณชายรองซ่งกับคุณชายเหอ” อู่หยงเอ่ยสั่งบ่าวชายที่ยืนอยู่ข้างๆ
หลังจากพากันลงจากหลังม้าได้แล้ว ทุกคนก็ตามอู่หยงเข้าไปภายในจวน
เป้าจื่อไป๋ยังตามติดซ่งหานหลิ่งไม่ห่าง แม้ว่าอู่หยงจะไม่มีท่าทางเป็นชายวัยกลางคนที่น่ากลัว แต่ลึกๆ แล้วนางก็ยังอดระแวงไม่ได้อยู่ดี
เพราะสาวน้อยครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์อสูรจำฝังใจแล้วว่า นอกจากนายท่านและคุณชายซ่งแล้ว มนุษย์คนอื่นล้วนไว้ใจได้ยากยิ่ง...
“ท่านพี่ นั่นพาใครมาด้วยเจ้าคะ?” อู่ฮูหยินเอ่ยถามสามีที่เพิ่งเดินเข้ามาในเรือนรับรอง
“น้องหญิง ท่านนี้คือคุณชายรองซ่งหานหลิ่ง บุตรชายคนรองของท่านแม่ทัพซ่งหานโจว”
“บุตรชายของท่านแม่ทัพซ่ง?” อู่ฮูหยินเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
นางนั้นเพิ่งแต่งให้อู่หยงเมื่อหกปีก่อน ทว่าตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา ผู้เป็นสามีนั้นเคยเอ่ยปากเล่าเรื่องราวก่อนเก่า เมื่อครั้งยังเป็นเพียงหารผู้น้อยชั้นปลายแถวให้ฟังบ่อยครั้ง ซึ่งแม่ทัพซ่งหานโจวนั้นก็เป็นบุคคลที่นางได้ยินสามีเอ่ยถึงบ่อยที่สุด
หากไม่มีแม่ทัพซ่ง วันนี้ก็คงไม่มีแม่ทัพแห่งหนานไห่ที่มีนามว่าอู่หยง
สามีของนางมักจะเอ่ยเช่นนี้เสมอ และก่อนที่จะย้ายมาประจำการที่แถบเหนือเมื่อราวห้าปีก่อน ผู้เป็นสามียังเคยพานางไปที่จวนตระกูลซ่งในตัวเมืองหลวงราวสองครั้ง
ครั้งแรกไปเยี่ยมเยียนคารวะ ส่วนครั้งที่สองไปเพราะฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเสีย ซึ่งทั้งสองครั้งนั้นนางไม่เคยได้พบหน้าคุณชายรองซ่งหานหลิ่งที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าผู้นี้เลย
“คารวะอู่ฮูหยิน” ซ่งหานหลิ่งประสานมือทำความเคารพ ทว่าคนถูกคารวะกลับมีท่าทางร้อนรน
“ไม่ได้เจ้าค่ะ ไม่ได้ ข้าจะให้บุตรชายของผู้มีพระคุณคารวะข้าได้อย่างไร” อู่ฮูหยินปฏิเสธพัลวัน
ซ่งหานหลิ่งมีสีหน้าเรียบเฉย ชายหนุ่มหันไปมองอู่หยงเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมามองสตรีวัยกลางคนตรงหน้า
“เช่นนั้นข้าจะเรียกท่านว่าอาสะใภ้ก็แล้วกัน ระหว่างเราอย่าถือเป็นผู้มีพระคุณเลย นับเป็นญาติกันเสียเถิด ไหนๆ ข้าก็เรียกท่านแม่ทัพว่าท่านอามาตั้งนานแล้ว”
อู่หยงพยักหน้ารับ ก่อนจะเชื้อเชิญให้ผู้มาใหม่นั่งพักดื่มชา อู่ฮูหยินขอปลีกตัวไปจัดการเรื่องห้องพักให้กับคนทั้งสาม ในห้องรับรองตอนนี้จึงเหลือเพียงเจ้าบ้านอย่างอู่หยงและแขกทั้งสาม
“ข้าว่าเจ้าเปลี่ยนไปมากทีเดียวนะหานหลิ่ง” อู่หยงเอ่ยขึ้นขณะวางจอกชาลงบนโต๊ะ
ซ่งหานยิ้มรับกับคำทักท้วงนั้น เขาปรายตามองเป้าจื่อไป๋ที่กำลังกินขนมอย่างเอร็ดอร่อยครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาหาผู้เป็นเจ้าบ้าน
“อยู่คนเดียวมานาน ความคิดอ่านส่วนใหญ่จึงเปลี่ยนไปบ้างขอรับ” อู่หยงฟังแล้วหัวเราะ
“พูดเก่งกว่าแต่ก่อนด้วยสินะ” เขาว่าแล้วยกชาขึ้นจิบ “ตอนเด็กๆ เจ้าพูดน้อยมาก มากจนหลายๆ คนคิดว่าเจ้าเป็นใบ้เชียวล่ะ”
ซ่งหานหลิ่งยิ้มรับ ในขณะที่คนพูดและคนฟังอีกสองคนส่งเสียงหัวเราะ
“แล้วคุณชายเหอรู้จักอาหลิ่งได้เยี่ยงไรหรือ?” อู่หยงหันไปชวนคนที่นั่งดื่มชาอยู่อีกฝั่งคุยบ้าง
“ในเมื่อท่านแม่ทัพเอ่ยถาม ข้าก็จะบอกกล่าวตามตรงว่าข้านั้นนับว่ามีวาสนากับอาหลิ่งยิ่งนัก หลายปีก่อนเขาเคยช่วยชีวิตข้าไว้ ไม่ให้ข้ากลายเป็นคนพิการตาบอด ยามนั้นจึงได้นับกันเป็นสหาย มายามนี้ชีวิตของข้าก็ถูกเขาช่วยเหลือไว้อีก ดังนั้นนอกจากเป็นสหายแล้ว อาหลิ่งยังเป็นผู้มีพระคุณของข้าด้วย”
“อ้อ...เป็นเช่นนี้เอง นับว่าท่านกับอาหลิ่งมีวาสนาต่อกันโดยแท้” อู่หยงว่าแล้วยกชาขึ้นจิบ
“แล้วคุณชายเหอเป็นคนเมืองใดรึ? ตัวข้านั้นประจำการมาแล้วทั่วทุกทิศของหนานไห่ แต่กลับไม่เคยได้พบคนแซ่เหอเลย คนแซ่นี้ที่แผ่นดินหนานไห่นับว่ามีน้อยนัก”
อู่หยงเอ่ยถามราวกับเป็นเรื่องเรื่อยเปื่อย ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับทำให้แม่ทัพวัยกลางคนนิ่งค้างไปชั่วขณะ
“ข้าผู้แซ่เหอ มีนามว่าเจ่อฮั่น เป็นคนตงเหลียวแคว้นตงฟู่แต่กำเนิด เดินทางไปมาหลายแคว้นเพื่อค้าขาย แต่สุดท้ายกลับมาได้สหายรู้ใจที่หนานไห่ บ้านพี่เมืองน้องเคียงใกล้ นับว่าวาสนาถูกเส้นผมบังภูเขาโดยแท้”
“คนแคว้นตงฟู่เช่นนั้นรึ?”
อู่หยงหันหน้าไปมองซ่งหานหลิ่ง และเมื่ออีกฝ่ายมีสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดออกมา คนผ่านร้อนหนาวมาครึ่งชีวิตเช่นเขาจึงเลือกที่จะนิ่งเฉยไป
“ขอรับ” เหอเจ่อฮั่นตอบรับ เขารู้ถึงสาเหตุดีว่าทำไมแม่ทัพวัยกลางคนจึงเงียบไปเมื่อได้ยินคำตอบของเขา
สำหรับซ่งหานหลิ่ง คนแผ่นดินตงฟู่นั้นเปรียบเสมือนคู่อาฆาตที่ไม่ขออยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกัน
และการที่ซ่งหานหลิ่งคบค้าสมาคมกับเขานั้น จึงถือเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายอยู่มาก ในเมื่อน้องสาวของอีกฝ่ายต้องตายตกเพราะคนแคว้นตงฟู่ และพี่ชายเช่นซ่งหานหลิ่งยังจะสมาคมกับคนที่แคว้นตงฟู่ได้อย่างไร
“เหมันต์ผันผ่านมาห้าครั้ง คิมหันต์เลือนรางมาห้าหน ข้าเองก็เป็นเพียงปุถุชน ย่อมเหี่ยวย่นสูญสลายไปตามกาล”
ซ่งหานหลิ่งร่ายกลอนขึ้นหนึ่งบท ก่อนจะยกยิ้มแล้วหันหน้าไปหาอู่หยง
“ท่านอา...ความแค้นของข้าหาได้จางหายไปตามเหมันต์ฤดู ทว่ามันกลับถูกเผาผลาญไปแล้วด้วยความร้อนของฤดูคิมหันต์ สิ่งที่ซ่งหานหนี่ว์บอกกับข้าก่อนตายนั้น คือไม่ให้ข้าแค้นเคืองสิ่งใดในโลกหล้า
“อีกทั้งข้ากับคุณชายเหอนั้น เราทั้งสองก็ผูกมิตรเป็นสหายกันมาตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่อง ยามที่หนี่ว์เอ๋อร์อยู่ตงเหลียว เขาเองก็ช่วยดูแลนางในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง แม้บางเวลาข้าจะถูกความแค้นบังตา ทว่าสติของข้านั้นยังดีอยู่ และไม่อาจเปลี่ยนมิตรเป็นศัตรูได้อย่างไร้เหตุผล”
ซ่งหานหลิ่งอธิบายยาวเหยียด ซึ่งอู่หยงก็ทำเพียงแค่พยักหน้ารับ
ขึ้นชื่อว่าบุญคุณความแค้นนั้นต้องแยกแยะ หาไม่แล้วชีวิตที่เหลืออยู่คงยากที่จะดำเนินต่อไปได้อย่างมีความสุข
“ดีแล้วที่อาหลิ่งปล่อยวางได้เยี่ยงนี้” อู่หยงเอ่ยออกมาคำหนึ่ง
เขาเป็นหนึ่งในคนที่รู้ดีถึงการตายของซ่งหานหนี่ว์ และอดที่จะรู้สึกเวทนาสงสารหญิงสาวที่เขาเห็นมาตั้งแต่นางยังเป็นเพียงเด็กน้อยไม่ได้
ทว่าคนก็ตายไปแล้ว ยิ่งเมื่อคนสายเลือดเดียวกันไม่คิดแก้แค้นหรือผูกใจเจ็บ คนนอกเช่นเขาจะทำสิ่งใดได้อีก
ความเงียบเข้าปกคลุมห้องรับรองจวนแม่ทัพอู่อยู่ราวหนึ่งอึดใจ ก่อนที่เสียงใสของอู่ฮูหยินจะเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบงัน
“ห้องพักจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว อาหารก็จัดเตรียมเสร็จแล้ว เชิญทุกท่านทานมื้อค่ำกันเถิดเจ้าค่ะ”
จากนั้นสาวใช้สามสี่คนก็ทยอยยกอาหารมาวางบนโต๊ะ ผ่านไปราวครึ่งชั่วยามมื้อเย็นอันเงียบเหงาก็ผ่านไป
อู่หยงขอตัวกลับเรือนทันทีที่กินเสร็จ คนเป็นฮูหยินถึงกับมองหน้าสามีความสงสัย แขกคนสำคัญผู้นี้เป็นเขาที่พามา แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่รับหน้าต้องเป็นนางเพียงผู้เดียว
“ท่านอาสะใภ้อย่าได้กังวล พวกเราเพียงพูดคุยเรื่องเคร่งเครียดกันเท่านั้น ท่านอาอู่หยงมีความหลังให้ต้องคิดถึงมากมาย ข้าผิดเองที่ไปกระตุ้นความทรงจำเก่าๆ ของเขา”
ซ่งหานหลิ่งเอ่ยขออภัย จากนั้นก็เอ่ยปากขอให้อู่ฮูหยินช่วยส่งสาวใช้มานำทางไปห้องพัก และเมื่อได้ตามที่ประสงค์ ชายหนุ่มทั้งสองกับหนึ่งหญิงสาวก็เดินตามสาวใช้ไป
ซ่งหานหลิ่งกับเหอเจ่อฮั่นส่งเป้าจื่อไป๋ที่ห้องพักของนาง ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินตามสาวใช้ไปยังเรือนอีกหลังที่ถูกจัดให้เป็นของพวกเขาทั้งสอง
“ขอบใจเจ้า” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยกับสาวใช้ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องพัก
ทว่ายังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้หันมาปิดประตู ร่างสูงของเหอเจ่อฮั่นก็โผล่มายืนอยู่ต่อหน้า ทั้งยังใช้มือดันประตูไว้ไม่ให้เขาปิด
“มีเรื่องอันใดหรือ?” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยถาม
“อาหลิ่ง คืนนี้ข้านอนกับเจ้าด้วยได้หรือไม่?”
ด้วยสาเหตุที่ว่าซ่งหานหลิ่งไม่คิดแค้นเคืองชาวตงฟู่เยี่ยงเขา อีกทั้งยังนับเป็นสหายจากใจจริงและซ่งหานหลิ่งยังบอกแก่อู่หยงอย่างชัดแจ้งว่าไม่คิดเปลี่ยนมิตรให้เป็นศัตรู
เพียงเท่านั้นในใจของเหอเจ่อฮั่นก็รู้สึกหวานล้ำ ชายหนุ่มคิดเข้าข้างตนเองแล้วว่าเขาเป็นคนพิเศษของซ่งหานหลิ่ง พิเศษถึงขนาดที่ว่าความโกรธแค้นอันมีที่มาจากการตายของซ่งหานหนี่ว์ยังทำลายความสัมพันธ์ของเขากับอาหลิ่งไม่ได้...
“นะ...คืนนี้ขอข้านอนด้วยคน ไม่เช่นนั้นข้าคงกระวนกระวายใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน”
“...”
ซ่งหานหลิ่งกะพริบตาปริบๆ เหอเจ่อฮั่นผู้นี้ทำให้เขารู้สึกหวาดระแวงเสียแล้ว...