“อาหลิ่ง ไยเจ้าต้องหลบหนีมาอยู่ตัวคนเดียวเช่นนี้ด้วย” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยถาม
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ถึงเรื่องราวสะเทือนใจที่เกิดขึ้นเมื่อห้าปีก่อน ในเช้าวันนั้นราชครูหานเจี้ยป่าวประกาศไปทั่วเมืองหลวง ว่าแท้จริงแล้วว่าที่พระชายาของเว่ยอ๋องเป็นนางปีศาจแปลงกายมา และว่าที่พระชายาตัวจริงที่มาจากแคว้นหนานไห่ ถูกนางปีศาจตนนี้ฆ่าตายไปนานแล้ว
เพียงเท่านั้น ผู้คนก็ล้วนแล้วแต่ส่งเสียงก่นด่าและสาปแช่ง สตรีผู้ถูกมัดมือเท้าด้วยโซ่ถูกชาวบ้านขว้างปาเศษอาหารและของเสียใส่ไปตลอดทางเดิน ซึ่งเป็นภาพที่สร้างความเวทนาให้ผู้พบเห็นไม่น้อย
ในยามนั้นตัวเขาพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะสืบที่ไปที่มาของเรื่องราวทั้งหมด ทั้งยังหาหนทางติดต่อกับซ่งหานหลิ่ง รวมไปถึงซ่งหานลู่และรัชทายาทหนานเว่ยหลง
ทว่าด้วยเวลาที่บีบคั้นอย่างกระชั้นชิด กว่าที่เขาจะได้พบหน้ารัชทายาทหนานเว่ยหลงและเว่ยอ๋องก็เป็นตอนที่ซ่งหานหนี่ว์ถูกไฟเผาทั้งเป็นและสิ้นใจตายไปแล้ว
เรื่องนี้สร้างความรู้สึกผิดให้เขาไม่น้อย ด้วยเพราะก่อนที่เขาจะกลับมาตงเหลียวในครั้งนั้น ซ่งหานหลิ่งได้เอ่ยปากฝากฝังให้เขาดูแลน้องสาวของอีกฝ่ายให้ดี อีกทั้งตัวเขาเองยังหน้าด้านขอเป็นพี่ชายอีกคนของนาง
ทว่าเมื่อครั้งที่นางมีภัย พี่ชายเช่นเขากลับไร้ความสามารถใดที่จะช่วยเหลือ
“เพราะข้าเกลียดชังผู้คนทั่วทั้งใต้หล้านี้อย่างไรเล่า!” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยตอบเสียงดัง
“อาหลิ่ง”
“ทุกคนในโลกล้วนแล้วแต่เห็นแก่ตัว เช่นนั้นแล้ว ข้าจะอยู่ทนเห็นหน้าคนพวกนั้นไปทำไม คำขอสุดท้ายของหนี่ว์เอ๋อร์ คือไม่ต้องการให้ข้าแก้แค้น หากแต่ข้ายังทนอยู่บนแผ่นดินเดียวกับคนพวกนั้น ข้าจะอดทนที่จะไม่แก้แค้นให้น้องสาวได้อย่างไร!”
แม้ว่าอันอ๋องตงเจียนหลิวจะตายไปแล้ว ฮ่องเต้ตงซานมู่ยามนี้ก็กลายเป็นคนเสียสติ ราชครูหานเจี้ยที่เป็นผู้สังหารหลีเริ่นหราน โดยการเผานางทั้งเป็นก็ตายตกไปพร้อมกับนาง ทุกคนที่เคยทำบาปกรรมไว้กับตระกูลหลีก็ล้วนแต่ได้รับผลกรรมนั้นแล้ว
ทว่า...นั่นก็ยังไม่สาสม เพราะผลกรรมที่คนเหล่านั้นได้รับไปนั้น ต้องแลกมาด้วยการที่หลีเริ่นหรานต้องถูกประณามว่าเป็นนางปีศาจ
ทั้งๆ ที่มันไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย!
“อาหลิ่ง”
“ข้าเกลียดชังและโกรธแค้นคนทั้งใต้หล้า และข้าก็เกลียดตนเองเสียยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด”
สุดท้ายซ่งหานหลิ่งก็โทษตัวเองที่ไม่สามารถช่วยเหลือและปกป้องน้องสาวได้ เขาเป็นพี่ชายแท้ๆ แต่กลับไม่ได้ความ ตายไปก็คงไม่มีหน้ามองบิดามารดา
ซึ่งซ่งหานลู่เองก็คงคิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน จึงได้ย้ายตัวเองไปประจำการอยู่ทางใต้ของแคว้นหนานไห่มานานร่วมห้าปีแล้ว
การตายของซ่งหานหนี่ว์สร้างรอยแผลเป็นที่ยังหลงเหลือความเจ็บปวดให้กับพวกเขา แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน ความเจ็บปวดนั้นก็ยังคงอยู่ไม่จางหาย
“เจ้าไม่ผิด...อาหลิ่ง” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยปลอบสหาย
“เจ้าไม่เคยต้องเผชิญกับความรู้สึกของการสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นข้า เจ้าจะเข้าใจความรู้สึกของข้าดีได้อย่างไร?” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยตอบแล้วจ้องหน้าคู่สนทนานิ่ง
“เอาเถอะ! ถึงอย่างไรเรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว คงไม่มีอะไรให้ต้องพูดถึงอีก ร่างกายเจ้าหายดีเมื่อไหร่ก็จงจากไปเสีย” ชายหนุ่มว่าก่อนจะเก็บเอาหยูกยาและเครื่องมือการรักษาต่างๆ ใส่ในย่ามแล้วเดินออกจากห้องไป
เหอเจ่อฮั่นมองตาม คนเป็นเจ้าบ้านปิดประตูห้องนอนไว้จากด้านนอก ชายหนุ่มขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันอย่างครุ่นคิด จะมีวิธีใดบ้างที่จะทำให้ซ่งหานหลิ่งกลับมาเป็นผู้เป็นคนเหมือนเดิม
ชายผู้นี้แม้ภายนอกจะดูเย็นชาและเงียบขรึม แม้แต่ยามที่โศกเศร้าเสียใจ คนผู้นี้ก็ไม่แม้แต่จะแสดงความโศกเศร้านั้นออกมาทางสีหน้า แต่ใครจะรู้บ้างว่า ภายใต้ท่าทีเย็นชานั้นได้ซุกซ่อนความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัสไว้มากมายเพียงใด
ก่อนตัดสินใจเดินเข้าป่า เหอเจ่อฮั่นได้ทำการสืบข่าวเกี่ยวกับคนในตระกูลซ่งที่เหลือทั้งหมดแล้ว ซ่งหานลู่ผู้เป็นพี่ใหญ่นั้น ได้ปฏิเสธการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์โหว ที่องค์รัชทายาทหนานเว่ยหลงได้ถวายฎีกาพระราชยศศักดิ์ต่อฮ่องเต้ให้เขา
แต่คนผู้นั้นกลับขอย้ายตนเองไปประจำการอยู่ที่ค่ายทหารทางตอนใต้ของแคว้นหนานไห่ และคงเป็นเขาคนเดียวกระมัง ที่สามารถทำใจเกี่ยวกับเรื่องในอดีตและมีชีวิตที่ดีต่อไปได้ เพราะยามนี้ซ่งหานลู่และตงเหม่ยเจินได้กลับมาใช้ชีวิตฉันสามีภรรยาร่วมกันอีกครั้ง ทั้งยังมีพยานรักเป็นคุณชายน้อยฝาแฝด เรียกได้ว่าเขามีชีวิตอย่างมีความสุขมากทีเดียว
ส่วนตระกูลซ่งในถังหนาน เหอเจ่อฮั่นก็สืบข่าวมาได้ว่ายามนี้ซ่งหานเฟิงในวัยก้าวย่างสิบหนาว ได้ถูกวางตัวให้เป็นผู้นำตระกูลรุ่นต่อไป โดยมีฝู่หลงฮวาและฝู่เหมาผู้เป็นมารดาและท่านตาคอยเป็นหลักยึดและเกราะกำบังให้เขา ทั้งยังมีองค์รัชทายาทหนานเว่ยหลงทรงให้ความเอ็นดูอยู่เบื้องหลัง
ส่วนบุรุษผู้หนึ่ง ที่ภายหลังเขาสืบรู้มาว่าเป็นพี่ชายคนที่สามของซ่งหานหนี่ว์ มีนามว่าหลีเฉิง ยามนี้ก็ได้ทำการเปิดสำนักคุ้มภัยและรับสอนวรยุทธไปด้วย ในนามของหอคุ้มภัยตระกูลหลี
เรียกได้ว่าห้าปีที่ผ่านมา ทุกคนล้วนแล้วแต่ทำใจเรื่องการจากไปของซ่งหานหนี่ว์ได้หมดแล้ว ยกเว้นซ่งหานหลิ่งเพียงคนเดียว
ระยะเวลาเจ็ดวันผ่านไปไวเสียยิ่งกว่าลมพัด ในตอนนี้บาดแผลที่ถูกสัตว์ป่าทำร้ายตามร่างกายของเหอเจ่อฮั่นเรียกได้ว่าเกือบจะหายดีเป็นปกติ
ทว่าระยะเวลาเจ็ดวันที่ผ่านมานั้น ซ่งหานหลิ่งไม่เอ่ยปากเจรจาพาทีกับเขาเลยแม้แต่ครึ่งคำ ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ด้วยว่าเป็นเพราะสาเหตุใด
“อาหลิ่ง!” คนป่วยที่เกือบจะหายเป็นปกติร้องเรียกเสียงดัง เมื่อมองไปเห็นเงาของคนที่เขาเฝ้ารอคอยมาทั้งวันโผล่มาให้เห็น
เจ็ดวันที่ผ่านมานอกจากในตอนเช้าและเย็นแล้ว เวลาอื่นเหอเจ่อฮั่นก็ไม่ได้เห็นหน้าซ่งหานหลิ่งอีกเลย อีกฝ่ายมักจะแบกกระบุงไม้ไผ่เดินเข้าไปในป่าทุกวัน ก่อนจะกลับมาในช่วงเย็นแล้วจากนั้นก็จะหุงหาอาหารแล้วต่างคนต่างนอน
“อาหลิ่ง! เหตุใดเจ้าไม่ยอมคุยกับข้าเลยเล่า!” เหอเจ่อฮั่นตะคอกถาม พร้อมกับขอบตาที่แดงระเรื่อราวกับเด็กน้อยสามขวบ
ความอึดอัดที่สั่งสมมาตลอดระยะเวลาหลายวันทำให้เขาตัดสินใจโพล่งออกไปแบบนั้น เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรผิด เหตุใดอาหลิ่งจึงไม่พูดคุยกับเขา ทั้งยังปฏิบัติต่อเขาราวกับคนที่ไม่เคยนับกันเป็นมิตรสหาย
ซ่งหานหลิ่งมีสีหน้าตกใจไม่น้อย ที่บุรุษตัวโตพอๆ กับเขายืนร้องไห้ตาแดงราวกับเด็กน้อย ด้วยสาเหตุที่ว่าคือเขาไม่ยอมพูดคุยด้วย แต่จะให้เขาอธิบายให้ฟังอย่างไร ในเมื่อเขาคาดเดาถึงสาเหตุการมาที่นี่ของอีกฝ่ายไว้ว่าต้องมีเจตนาบางอย่างแอบแฝง ฉะนั้นการที่เขาไม่พูดคุยกับอีกฝ่ายจึงเป็นการตัดปัญหา เพราะตอนนี้เขาไม่ต้องการรับรู้เรื่องราวใดๆ
“จะ...เจ้าร้องไห้ด้วยเหตุใด?” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยถามอย่างสงสัยระคนตกใจ
“ข้าทำอันผิดเล่าอาหลิ่ง ไยเจ้าจึงเฉยชากับข้าเช่นนี้ ข้าแค่...แค่อยากให้เจ้ามีชีวิตที่ดีต่อไป ข้าไม่อยากให้เจ้าจมปลักอยู่กับความทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต!”
เหอเจ่อฮั่นพูดแล้วก็ร้องไห้ออกมาอีก ทั้งยังทิ้งตัวลงไปนั่งที่พื้น ดีดแข้งดีดขาราวกับเด็กน้อยกำลังถูกบิดามารดาขัดใจ
เมื่อเห็นอาการของอีกฝ่าย คิ้วของหมอเทวดาหนุ่มก็ขมวดเข้าหากันจนแทบเป็นปม ปกติเหอเจ่อฮั่นวางท่าเป็นคุณชายเจ้าสำราญ ทั้งยังชอบทำตัวเองให้เป็นจุดสนใจ ทว่าอาการลงไปดีดแข้งดีดขาที่พื้นแบบนี้ มันดูจะเกินไปหน่อยหรือไม่?
“อาฮั่น เจ้าเป็นอะไร?” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยถามพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย
“ฮือๆ อาหลิ่ง ข้า...ข้าไม่รู้ ข้า ฮือๆ” เหอเจ่อฮั่นทั้งพูดทั้งร้องไห้ไปในคราวเดียวกัน
อาการแปลกประหลาดของอีกฝ่าย ทำให้หมอหนุ่มผู้เย็นชาร้อนรุ่มในอก ชายหนุ่มขยับกายเข้าไปใกล้คนที่ยังร้องไห้อยู่อีกนิด ก่อนจะค่อยๆ ใช้มือสัมผัสชีพจรอีกฝ่ายเบาๆ
กลลืมกาย!
ร่างสูงมีสีหน้ามืดครึ้ม เมื่อลองจับชีพจรของเหอเจ่อฮั่นดูแล้วพบว่าร่างกายของเขายังปกติ ทว่ากิริยาอาการที่เปลี่ยนไปนั้นอาจจะมาจากสาเหตุอื่น
ซึ่งสาเหตุอื่นที่ว่านั้นก็คือสัตว์อสูร!
เพราะซ่งหานหลิ่งมีวรยุทธดีในระดับหนึ่ง อีกทั้งการถือครองพลังปราณธาตุโอสถ ก็ทำให้มีพลังในกายสูง สัตว์ป่าหรือสัตว์อสูรขั้นต่ำจึงไม่สามารถทำอันตรายเขาได้ง่ายๆ
อีกทั้งตลอดเวลาที่เขาอยู่ที่นี่ แม้จะไม่ได้ใช้วิชาแพทย์รักษามนุษย์ ทว่าก็มีสัตว์ป่าและสัตว์อสูรไม่น้อยที่ได้รับการรักษาจากเขา เมื่อยามที่พวกมันมีชีวิตรอดจากการถูกล่าโดยมนุษย์
บอกไปใครจะเชื่อ ว่าป่าลึกที่อยู่บนยอดเขาสูงเช่นนี้จะมีสัตว์อสูรอาศัยอยู่ไม่น้อย และการที่เหอเจ่อฮั่นมีอาการราวกับเด็กน้อยเช่นนี้ ก็คงไม่พ้นโดนมนตร์สะกดของสัตว์อสูรชนิดหนึ่งมา
ไก่เจ็ดสี!
“เจ้านี่ชอบหาเรื่องให้ตัวเองและข้าได้ไม่หยุดหย่อนจริงๆ เลยนะ” ซ่งหานหลิ่งออกปากบ่น
ไม่ง่ายเลยที่อยู่ๆ จะถูกสัตว์อสูรเช่นไก่เจ็ดสีทำร้ายเข้า แสดงว่าก่อนหน้านี้เหอเจ่อฮั่นจะต้องเดินออกไปที่ไหนสักแห่งในป่านี้มาอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเขาจะถูกสัตว์อสูรโจมตีได้อย่างไร
อาการของคนที่ถูกไก่เจ็ดสีทำร้ายหรือว่าร่ายมนตร์ใส่นั้นไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นในทันที แต่จะแสดงอาการให้เห็นหลังจากที่ถูกมนตร์แล้วราวสองถึงสามเค่อ โดยอาการเบื้องต้นที่พบเห็นคือผู้ถูกมนตร์จะขาดสติสัมปชัญญะในการควบคุมร่างกายตนเอง แม้จะยังคงจดจำเรื่องราวต่างๆ ทว่าพฤติกรรมทางร่างกายนั้นจะแสดงออกมาในทิศทางตรงข้าม
“ฮือๆ อาหลิ่ง”
“เอาล่ะๆ เจ้าหยุดร้องได้แล้ว” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังร้องไห้ไม่หยุด
“ข้า...ข้าก็อยากหยุด แต่มันหยุดไม่ได้ ฮึกฮือ...อาหลิ่งช่วยข้าด้วย”
ซ่งหานหลิ่งพ่นลมหายใจออกอย่างหนักอก ยิ่งเมื่อเหอเจ่อฮั่นกระเถิบกายเข้ามาใกล้ พร้อมใช้สองแขนโอบรอบลำตัวเขาไว้ หมอหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกราวกับว่าช่วงนี้ชะตาชีวิตของเขากำลังถูกเจ้ากรรมนายเวรตามทันอย่างไรอย่างนั้น...