“ฉันเจ็บนะ” เธอดิ้นรนขยับตัวไปมา เขาตื่นแล้วแต่ยังไม่ยอมปล่อย
“คุณเข้ามาในห้องผมทำไม”
“ก็คุณนอนละเมอเสียงดังขนาดนั้น ฉันก็เลยเข้ามาดู ห้องคุณไม่ได้ล็อกด้วย”
“ละเมอ?”
อลันเหลือบไปมองเห็นผ้าขนหนูผืนเล็กที่เดาว่าเธอมาเช็ดเหงื่อให้เขา เขาปล่อยข้อมือเธอแล้วขยับตัวออกจากร่างบาง ดุลยาหายใจอย่างโล่งอกแล้วยันตัวลุกขึ้นนั่ง หญิงสาวมองข้อมือตัวเองแล้วลูบไปมาบรรเทาความเจ็บที่ได้รับเมื่อครู่
“ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอมองเสี้ยวหน้าของเขาด้วยความเป็นห่วง “ตั้งแต่อยู่กับคุณมา คุณนอนละเมอทุกคืนเลย”
“ปกตินอนคนเดียวเลยไม่รู้ว่าตัวเองนอนละเมอ” เขาเสยผมที่ชุ่มเหงื่อขึ้น มองดูเธอนั่งลูบข้อมือตัวเองอยู่
“เจ็บมากไหม?”
“ไม่หรอกค่ะ แค่ตกใจมากกว่า”
“อย่างคุณไม่น่าตกใจง่ายๆ” เขายิ้มให้ อารมณ์เริ่มเป็นปกติแล้ว
“แหม! คุณก็พูดไป คนอย่างคุณก็ไม่น่าเผลอนอนไม่ล็อกห้องเลยนะ”
ดุลยาลุกจากเตียงนอน แต่มือใหญ่คว้าข้อมือเธอไว้ก่อน เขาออกแรงกระตุกนิดเดียว ร่างบางก็เสียหลักลงนั่งบนตักของเขา
“นี่คุณจะเอายังไงเนี้ย”
เธอดิ้นขลุกขลัก แต่เขากลับซบหน้าลงกับบ่าของเธอ อาการนิ่งงันไปของเขาทำให้เธอหยุดขยับตัว เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นใครและทำอะไรมา แต่เวลานี้ ดูเหมือนเขาต้องการใครสักคน หญิงสาวจึงได้แต่นั่งนิ่งเงียบๆ
เงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง
อลันแปลกใจที่ตัวเองรู้สึกสงบใจได้อย่างน่าประหลาด อย่างที่เขาย้ำนักหนากับดุลยาว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายที่ขาดแคลนผู้หญิง แต่เอาเข้าจริง เขาไม่เคยมีใครที่ทำให้รู้สึกใจสงบได้แบบนี้
“ดีขึ้นไหมคะ” เธอถามเพราะรู้สึกนั่งตัวเกร็งนานแล้ว
“ฮืม”
เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก
“นี่คุณ เก็บอาการบ้างก็ได้” อลันหัวเราะอารมณ์ดี แม้จะเงยหน้าขึ้นจากบ่าของเธอ แต่วงแขนยังโอบรอบเอวของเธอไว้อยู่ “มีผู้หญิงตั้งมากมายที่อยากอยู่ในอ้อมกอดของผมนะ”
“โอ๊ย! คุณก็อย่ามาหลงตัวเองนักเลย “
ดุลยาเขินหน้าแดงขึ้นมาทันทีแล้วผลักท่อนแขนของเขาออก แต่อลันกลับไม่ยอมให้เธอไป หญิงสาวเอี้ยวตัวหันไปมองแล้วถลึงตาใส่ ท่าทางข่มขู่ของเธอทำให้เขาหัวเราะออกมา
“คุณนี่ ประหลาดจริงๆ”
“อะไรคะ”
“ไม่กลัวผมหรือไง ออกจากสนามมวยคุณก็ขับรถให้ผม ไม่ถามอะไรผมสักคำ”
“ไม่รู้ว่ากลัวไหม? แต่เห็นคุณเป็นแบบนั้นแล้วก็เลยรู้สึกว่าตัวเองต้องใจเย็นไว้ก่อน จริงๆ ก็อยากรู้แต่ไม่กล้าถาม อีกอย่างมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันด้วย”
เธอยักไหล่ แต่เห็นเขายิ้มเหมือนกลั้นหัวเราะก็เลยพูดต่อ ไหนๆ ก็ได้พูดแล้ว
“แต่คุณเปิดตัวแรงไปนะ”
“ยังไง”
“ก็...คุณอุตส่าห์ให้ฉันเล่นบทเป็นเมียเช่าเพื่อให้กลมกลืนเหมือนนักท่องเที่ยวอะไรแบบนั้นไม่ใช่เหรอ แต่คุณโผล่แสดงตัวแบบนั้น คนที่คุณไม่อยากให้รู้ก็คงรู้แล้วล่ะ”
“เรื่องนั้นผมเตรียมรับมือไว้แล้ว”
“แล้วฉันล่ะ จะปลอดภัยหรือเปล่า”
คราวนี้อลันถึงกับแหงนหน้าหัวเราะ เห็นสีหน้าจริงจังอีกฝ่ายแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นมาก นานแค่ไหนหรือไม่เคยเกิดขึ้น เขาจำไม่ได้ว่าหัวเราะเสียงดังแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน
“คุณเคยโกรธอะไรใครบ้างไหม คนที่ทำให้คุณต้องมาเป็หนี้ผมแบบนี้”
ดุลยานิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับ “อยากรู้ซิ แต่ถ้ารู้แล้วคนที่ทำเป็นคนใกล้ตัวจะทำยังไงต่อ”
“แสดงว่ามีตัวเลือกในใจอยู่แล้ว” เขาถามแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นใช้ปลายนิ้วเขี่ยเส้นผมของเธอออกจากแก้มนวล
“ฮืม อาจจะเป็นแม่เลี้ยงของฉันก็ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าไปรู้จักคนพวกนั้นได้ยังไง แต่ที่น่าเสียใจมากกว่าคือพ่อเองก็ไม่ได้สนใจจะตามหาว่าฉันหายไป”
“แล้วคุณคิดไว้บ้างไหม ถ้า...ใช้หนี้ผมหมดแล้วจะทำอะไรต่อ”
“ก็หางานทำ” เธอยักไหล่เหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก “ถ้ามีชีวิตรอดปลอดภัยจากคุณนะ”
อลันถอนหายใจเฮือกใหญ่ เลื่อนมือมาจับมือของเธอแล้วบีบเบาๆ
“ผมไม่เคยให้สัญญาใครแล้วทำไม่ได้ และผมไม่ขอให้คุณเชื่อ แต่ขอให้คุณรับรู้ว่า ผมจะไม่ทำร้ายคุณ”
“คุณมีงานของคุณ ฉันเข้าใจค่ะ”
“คุณจะเข้าใจอะไร ไม่เคยถามอะไรผมสักคำ”
“ก็ถ้าคุณอยากให้ฉันรู้ คงรู้ไปนานแล้วล่ะ” เธอยิ้มให้เขา “สรุปว่าตอนนี้คุณตื่นแล้ว แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วไปกินกาแฟกันดีกว่าค่ะ”
ดุลยายิ้มให้และลุกขึ้นยืนโดยที่เขาก็ไม่เหนี่ยวรั้ง เธอเดินออกมาด้านนอก มือเรียวยกขึ้นทาบหน้าอก ใครบอกว่าเธอไม่กลัวเขา แต่เพราะกลัวจนไม่กล้าโวยวายอะไรต่างหาก ถึงอย่างนั้นลึกๆ แล้วก็สงสารเขาไม่น้อย คงมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขากังวลใจจนอนฝันร้ายแบบนี้
หญิงสาวเดินมาต้มน้ำร้อนสำหรับเตรียมกาแฟ เธอไม่ชอบใช้กระติกน้ำร้อน ชอบต้มแบบใส่กาน้ำตั้งบนเตาแก็สมากว่าเพราะน้ำร้อนจัดๆ ชงกาแฟอร่อยกว่า
เดิมทีในตู้เย็นมีแค่เบียร์กับน้ำเปล่า แต่เพราะเธอมาอยู่และคิดว่าเขาอาจจะอยู่หลายวัน อะไรๆ เลยเพิ่มขึ้นมาที่ละเล็กละน้อย ทั้งไข่ ฮ็อกด็อก ขนมปังแผ่น ถึงเขาจะดูแลเรื่องอาหารการกินโดยสั่งทางรีสอร์ทเอามาส่งให้ที่บ้านพัก แต่เธอคุ้นเคยกับการทำอะไรกินเองมากกว่า บางทีก็หิวตอนที่ครัวปิดแล้วด้วย ยืนรออยู่หน้าเตาแก็ส น้ำยังไม่ทันเดือด อลันก็เดินออกมาด้วยท่าทางสดชื่น นี่เขาวิ่งผ่านน้ำหรือไงกันเร็วจริงๆ แต่ก็ดูดีกว่าเมื่อครู่
“ผมว่าบางเรื่องคุณควรรับรู้ไว้”
“นอกจากที่คุณดื่มกาแฟดำแล้วมีอย่างอื่นที่ฉันควรรู้เหรอคะ”
หญิงสาวแสร้งทำหน้าเหลอหลา แต่หันมาชงกาแฟดำสองแก้วแล้วส่งให้เขา อลันรับแก้วกาแฟแล้วเดินมานั่งที่เก้าอี้ยาวริมระเบียง ดุลยาเดินตามมานั่งใกล้ๆ กัน สองมือประคองแก้วกาแฟสีฟ้าหม่นใน สายตาเหม่อมองทะเลเบื้องหน้า แต่เปิดประสาทหูรอรับฟังเรื่องราวของเขา
“จริงๆ ผมเป็นเด็กกำพร้า ถูกส่งไปที่นั้นที่นี่จนจำไม่ได้ สุดท้ายผมเลือกที่จะหนีออกมาใช้ชีวิตเร่ร่อนข้างถนน จนได้เจอกับพ่อบุญธรรม ผมรู้ว่าเขาเป็นพวกมาเฟียฮ่องกง แต่ผมเต็มใจอยู่กับเขา เป็นแขนเป็นขา ต่อให้ย้อนเวลาได้ผมไม่คิดจะกลับไปเปลี่ยนแปลงอดีตของตัวเอง”
อลันหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง เห็นอีกฝ่ายตั้งใจฝันก็ยิ้มนิดๆ ก่อนเล่าต่อ
“ผมเริ่มเป็นมือขวาให้พ่อบุญธรรมตั้งแต่อายุไม่เต็มยี่สิบดี จนตอนนี้สามสิบสองแล้ว ชีวิตก็วนเวียนอยู่แบบนี้ ผมถูกพ่อบุญธรรมวางตัวให้เป็นผู้ดูแลแก็งค์และกิจการทั้งหมดต่อ จริงๆ ผมไม่คิดจะขึ้นเป็นหัวหน้า แค่อยากทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดและปกป้องลูกน้องของผม แต่มันคงไปขัดหูขัดตาหวังเฟิงเข้า มันเลยกำจัดผมเสีย ตอนนั้นผมโดนยิงตกทะเล ลูกน้องผมแอบช่วยขึ้นเรือประมง และส่งผมมาเมืองไทย หลบซ่อนตัวอยู่จนได้เจอคุณนี่แหละ”
“แล้วหวังเฟิงนี่เป็นใครคะ”
“หวังเฟิงเป็นลูกชายแท้ๆของพ่อบุญธรรมผมเอง ทีแรกผมไม่แน่ใจว่าเป็นเขา จนวันนั้นที่สนามมวยนั้นแหละ”
“ฉันไม่รู้จะพูดยังไงดี” ดุลยาถอนหายใจเบาๆ “แม่ฉันเสียแล้ว พ่อรับมาอยู่กับครอบครัวใหม่ แต่ฉันคิดว่าฉันอยู่ในที่ของฉัน แม่เลี้ยงก็อยู่ในที่ของแม่เลี้ยง ต่างคนต่างอยู่กันไป ไม่ก้าวก่ายกัน ฉันเองทำงานพิเศษหารายได้ไม่พึ่งพาพ่อมาจนเกินไป อาศัยว่ามีความสามารถบ้างเล็กๆน้อยๆ เพราะเคยเรียนฟ้อนรำตอนเด็ก แต่ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะมาเป็นแบบนี้เหมือนกัน แล้วคุณล่ะ ถามจริง มีเงินมากขนาดซื้อผู้หญิงเล่นเชียวเหรอ”
“ผมเคยเห็นคุณก่อนหน้านั้นแล้ว ที่ชายหาด คุณใส่ชุดไทยดูแปลกตาดี”
“คงไม่ได้คิดว่าฉันหลุดออกจากโรงพยาบาลบ้าใช่ไหม” เธอหัวเราะคิกคัก