“เจอบนที่นอนอย่างนั้นรึ?” ไป๋ฮวาเอ่ยออกมาอย่างแปลกใจ
หากเป็นเมื่อก่อนตอนที่ยังไม่ตกระกำลำบากเช่นนี้ นางก็คงคิดว่านี่คงเป็นฝีมือของสามี ที่แอบเอาก้อนเงินก้อนทองไปวางที่เตียงบุตรสาว เพื่อที่นางตื่นขึ้นมาแล้วพบกับความแปลกใจที่มีก้อนเงินมากองอยู่บนที่นอน
แต่ว่าสถานะของครอบครัวตอนนี้ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ อย่าว่าแต่ก้อนเงินก้อนทองเลย เงินสักร้อยอีแปะยังหายาก กว่าจะได้มาต้องขึ้นเขาเก็บสมุนไพรอยู่หลายวัน หากโชคดีพบเจอสมุนหายากก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ อาหารการกินของแต่ละมื้อก็มิวายเป็นน้ำต้มข้าวกับผักดอง
เพราะมารดาของไป๋ฮวาไม่ชื่นชอบหลีหยุนผู้เป็นเขยนัก แต่ก็ไม่อาจคัดค้านอะไรได้เมื่อบิดาของไป๋ฮวายอมรับในความรักและความจริงใจที่หลีหยุนมีให้นางในวันนั้น
แต่ด้วยหลีหยุนในวันนั้นยังเป็นเพียงขุนนางขั้นหก แม้จะเป็นบุตรชายสายตรงของตระกูลหลีและมีทรัพย์สมบัติมากเพียงใด แต่ด้วยหน้าที่การงานของเขาในตอนนั้นก็ไม่อาจเทียบได้กับอีกคนที่เป็นถึงบุตรชายคนโตของแม่ทัพอุดร แถมยังมีตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพ เทียบกันแล้วหลีหยุนในตอนนั้นมิอาจสู้อีกฝ่ายได้
ทว่าเพราะความจริงใจและแน่วแน่ของเขา บิดาของไป๋ฮวาจึงเห็นแก่ความจริงนั้น ยอมให้นางแต่งกับหลีหยุนในที่สุด และเขาก็ไม่ทำให้นางผิดหวัง เพราะนอกจากเขาจะไม่มีอนุและสาวใช้อุ่นเตียงแล้ว เขายังตั้งใจทำงานจนได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
แต่น่าเสียดายที่เมื่อบิดาของไป๋ฮวาจากไป มารดาก็ย้ายไปอยู่กับพี่ชายของนางที่ต่างเมืองและไม่ยอมรับการติดต่อจากไป๋ฮวาอีกเลย
จากที่คิดถึงเรื่องเงินทองอยู่ดีๆ ไป๋ฮวาก็คิดเลยไปถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมานานกว่าอายุของบุตรชายคนโตของนางด้วยซ้ำ
เพราะตั้งแต่เกิดมาไป๋ฮวาก็ไม่เคยมีชีวิตที่ต้องตกระกำลำบาก จนเมื่อเกิดเรื่องนั้นขึ้นชีวิตของนางก็พลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากขาวเป็นดำ และไม่รู้เหมือนกันว่านานเท่าใดแล้วที่นางไม่ได้สัมผัสถึงความเย็นของก้อนทองพวกนี้
นับถึงวันนี้ก็คงประมาณหนึ่งปีแล้วกระมัง....
“ท่านแม่ เป็นอะไรไปเจ้าคะ เหตุใดท่านแม่จึงร้องไห้” เด็กน้อยถามอย่างร้อนรนเมื่ออยู่ดีๆ มารดาก็ร้องไห้ออกมา
เพราะมัวแต่เปรียบเทียบชีวิตในตอนนี้กับเมื่อก่อน ไป๋ฮวาจึงร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่เกิดเรื่อง นางคิดมาตลอดว่าจะมีวิธีใดช่วยเหลือสามีและครอบครัวของนางได้บ้าง คิดไปจนถึงตอนที่รู้ตัวว่าต้องถูกเนรเทศหากการสืบคดีสิ้นสุด นางส่งจดหมายไปหาผู้เป็นพี่ชายก่อนหน้านั้นเพื่อขอร้องให้เขาช่วยดูแลหลีเฉิงและหลีเริ่นหรานที่ยังเล็กนัก
ทว่าสิ่งที่ได้ตอบแทนกลับมาคือจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของมารดา ใจความว่าผู้ชายคนนั้นนางก็เป็นเลือกเอง เมื่อถึงคราวที่ต้องเผชิญชะกรรมอันเลวร้าย ก็ให้นางชดใช้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังกล่าวอีกว่า เลือดเนื้อเชื้อไขของหลีหยุนนั้น ไม่ว่าจะดีชั่วอย่างไรก็ไม่อาจทำใจดูแลให้ได้
จดหมายนั่น....นับเป็นการตัดขาดสัมพันธ์แม่ลูกอย่างเด็ดขาดและไร้ซึ่งเยื่อใย หลังจากที่ปล่อยให้คาราคาซังมานานหลายปี
“ท่านแม่ดีใจที่เรามีก้อนทองมากมายใช่หรือไม่เจ้าคะ จึงได้ร้องไห้ออกมา”
หลีเริ่นหรานเอ่ยถามอย่างไร้เดียงสา ทว่านั่นก็เป็นเพียงข้องอ้าง แววตาของมารดานั้นไม่ได้แสดงถึงความดีใจที่มีก้อนทองอยู่ในมือสักนิด กลับกันนางกลับสังเกตเห็นแววตาโศกเศร้าฉายอยู่ในนั้น
“อืม แม่ดีใจ” ถึงจะตอบออกมาอย่างนั้นแต่หลีเริ่นหรานก็พอจะมองออกว่ามารดานั้นพูดปด
ชาติก่อนนางเป็นเด็กกำพร้าไม่มีครอบครัว ไม่เคยได้รับความอบอุ่น จนกระทั่งได้เจอกับพ่อแม่และพี่ชายบุญธรรม นางจึงเข้าใจความรู้สึกของการ ได้รับ อะไรสักอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการได้รับความอบอุ่นจากครอบครัว รวมไปถึงเงินทองและโอกาสทางการศึกษา
แต่หากคิดในมุมกลับ ครอบครัวของนางชาตินี้เรียกได้ว่าต่างจากที่แล้วมาก แม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบาย แต่สุดท้ายกลับต้องมาตกระกำลำบาก ความรู้สึกแบบนี้จึงเป็นความรู้สึกของคนที่สูญเสียสิ่งที่ เคยมี ไปทำให้เกิดเป็นความทุกข์ในจิตใจ
และเจ้าก้อนทองพวกนี้ ก็คงไปกระตุ้นต่อมบางอย่างของมารดานางเข้า เพราะมันก็นับเป็นสิ่งที่มารดาของนางเคยมี
“ถ้าเช่นนั้นหรานเอ๋อร์ยกให้ท่านแม่หมดแล้วเจ้าค่ะ มีทั้งหมดสิบสามก้อน หรานเอ๋อร์ยกให้ท่านแม่เก็บไว้ ต่อไปนี้ครอบครัวของเราก็จะไม่ลำบากอีกแล้ว”
ได้ยินบุตรสาวกล่าวเช่นนั้นไป๋ฮวาหยุดร้อง ก่อนจะลูบหน้าลูบหัวบุตรสาวและดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ในหัวก็พลอยขบคิดถึงเรื่องที่มาที่ไปของก้อนทองในมือ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ก้อนทองพวกนี้จะผุดออกมาจากที่นอนของหรานเอ๋อร์จริงๆ เห็นทีคืนนี้นางคงต้องปรึกษากับสามีดูสักครั้ง
“หรานเอ๋อร์ เจ้าจะบอกใครเรื่องก้อนทองพวกนี้หรือไม่?”
เด็กน้อยทำหน้าครุ่นคิด เหตุใดมารดาจึงถามนางเช่นนี้
ถ้าหากตอนนี้นางยังเป็นลลิลอยู่ แน่นอนว่าเรื่องได้เงินมาฟรีๆ แบบลาภลอยนี้นางจะไม่มีวันบอกผู้ใด แต่ในเมื่อตอนนี้คือหลีเริ่นหราน เด็กวัยเพียงห้าขวบเรื่องจะเก็บงำความลับไว้คนเดียวโดยไร้คนเสี้ยมสอนนั้นก็ดูจะผิดปกติไปหน่อย
“ลูกไม่ควรบอกใครหรือเจ้าคะท่านแม่?” เด็กน้อยเอ่ยถามตาใส
“หากเจ้าบอกใครส่งเดช แม่กลัวว่าจะเกิดอันตรายที่ไม่คาดกับเจ้า อย่างไรเสียให้แม่ปรึกษากับท่านพ่อของเจ้าก่อนดีหรือไม่?”
หลีเริ่นหรานพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะนางเองแม้จะเชื่อไปสิบส่วนแล้วว่าก้อนทองพวกนี้ได้มาจากเจ้านกอินทรีดำตัวนั้น เพราะมีขนนกทองคำเป็นหลักฐานยืนยัน แต่ถ้านางจะเก็บเรื่องขนนกทองคำไว้เป็นความลับ นางก็จะต้องไม่บอกใครในเรื่องที่มาที่ไปของก้อนทองพวกนี้และปล่อยให้มันกลายเป็นข้อสงสัยที่ไม่อาจหาข้อเท็จจริงได้ต่อไป
“เจ้าคะ ลูกจะไม่เล่า ไม่บอกใครเรื่องก้อนเงินพวกนี้” หลีเริ่นหรานยืนยันกับมารดาอีกครั้ง
จากนั้นไป๋ฮวาจึงลุกเอาก้อนเงินพวกนั้นไปเก็บ โดยเอาพวกมันใส่ถุงเงินแล้วมัดปากไว้อย่างแน่นหนา ก่อนจะใส่ลงในหีบใบเล็กแล้วสอดไว้ใต้เตียง แม้สถานที่และวิธีเก็บของมารดาจะดูไม่ค่อยปลอดภัยเท่าใดนัก แต่อย่างน้อยนางก็หวังว่าจะไม่มีโจรป่ามาอาละวาดแถวนี้
หลีเริ่นหรานกลับเข้ามาในห้องของตัวเองหลังจากที่ทั้งครอบครัวพากับรับมือเย็นเสร็จเรียบร้อย โดยวันนี้พี่ใหญ่ของนางดักสัตว์ได้ไก่ป่าหนึ่งคู่ มื้อเย็นวันนี้จึงมีน้ำแกงไก่ ผัดผักและไก่ย่างหอมๆ เสียอย่างเดียวที่ต้องกินกับแป้งอย่าง เพราะถ้าหากว่าเปลี่ยนจากแป้งย่างเป็นข้าวเม็ดขาวๆ อวบๆ อาหารมื้อนี้คงจะอร่อยกว่าเดิมหลายเท่านัก
ร่างน้อยเดินตรงมาที่เตียงก่อนจะเปิดผ้าห่มขึ้นดูตรงจุดที่นางวางก้อนทองหนึ่งก้อนไว้เมื่อเช้าก่อนออกจากห้อง
“ไม่มีก้อนทองเพิ่มขึ้นมาเลย” เด็กน้อยกระโดดขึ้นเตียงก่อนจะเอามือเท้าคางจ้องมองก้อนทองก้อนนั้นอย่างขบคิด
เหตุที่นางเหลือก้อนทองไว้หนึ่งก้อนก็เพราะว่า หากว่าการที่ก้อนทองผุดออกมาจากที่นอนของนางจริง นั่นก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์ และเมื่อนางวางก้อนทองอีกก้อนไว้นางก็อยากจะรู้ว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นอีกไม่ แล้วจะดลบันดาลให้ก้อนทองผุดขึ้นมาอีกหรือไม่
แต่จากการที่ยังมีเพียงก้องทองก้อนเดียววางอยู่ในตำแหน่งเดิม ในก็ทำให้นางเชื่อแล้วว่าการที่ก้อนทองมาวางอยู่บนที่นอนของนางนั้นมันไม่ใช่ปาฏิหาริย์
บวกกับความเชื่อเกี่ยวกับเจ้านกอินทรีดำตัวนั้นแล้ว ก็ยิ่งทำให้นางมั่นใจว่าเจ้านกตัวนั้นไม่น่าใช่นกธรรมดาๆ เพียงตัวหนึ่งแน่
“นกอะไรจะฉลาดถึงเพียงนั้น หากรู้ว่าอะไรคือเงิน อะไรคือทอง ใยมันไม่เอาไปซื้อผักซื้อสมุนไพร หรือซื้อเนื้อในตลาดกินเล่า จะได้ไม่ต้องเสียเวลาและเสียแรงหากินอยู่ตามสัญชาตญาณของนก นอกเสียจากว่ามันไม่ใช่นกจริงๆ ตั้งแต่แรก”
และคำพูดนั้นของหลีเริ่นรานก็ไม่ได้มีเพียงนางคนเดียวที่ได้ยินเช่นทุกครั้ง
สิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในเงามืด สายตาของมันยังคงจดจ้องร่างน้อยๆ ของหลีเริ่นหรานไม่วางตา ส่วนหูนั้นก็ได้ยินทุกประโยคที่นางพูดอย่างชัดแจ๋ว
หลังจากฟื้นคืนสติ มันก็ไม่ได้ไปทีไหนไกล นอกจากวนเวียนอยู่รอบตัวของเด็กน้อยคนนี้ เหตุที่เป็นเพราะกลิ่นอายเทพเซียนที่มีต้นกำเนิดมาจากร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียง
กลิ่นอายเทพเซียนที่บางครั้งก็เจือจางมากับอากาศ บางครั้งก็เข้มข้นดุจเทพเซียนผู้มีตบะบำเพ็ญเพียรแก่กล้ายาวนาน แต่ความเป็นจริงเจ้าของกลิ่นอายนั้นกลับเป็นเพียงเด็กน้อยวัยห้าขวบที่ขี้งกเงินทองคนหนึ่งเพียงเท่านั้น
หรือเขาจะคิดมากไป?....
จะมีเทพเซียนตนใดลงมาเกิดเป็นมนุษย์ยากจนคนหนึ่งบ้าง?
คิดได้เช่นนั้นจึงตั้งใจจะกลับไปยังที่ของตนเสียที่ หลังจากที่เฝ้ามองเฝ้าตามเด็กน้อยจอมขี้งกคนนี้มาหลายวัน อีกทั้งยังตระหนักได้ว่าตนไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับครอบครัวนี้ ส่วนกลิ่นอายเทพเซียนในตัวเด็กคนนั้น ถ้าไม่ใช่เทพเซียนด้วยกันหรือคนเป็นจากโลกมารก็คงจะไม่ได้กลิ่น
แต่ได้กลิ่นแล้วอย่างไร ในเมื่อไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาสักหน่อย ?
เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยหายไปยังอีกฝั่งของห้อง คาดว่าคงไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมเข้านอน เขาก็อันตรธานหายตัวไปในความมืด แต่ก่อนไปก็ไม่วายทิ้งก้อนทองเอาไว้ตรงมุมเสาติดกับหัวเตียงให้อีกประมาณสิบกว่าก้อน ทั้งยังร่ายมนตร์กันภูตผีปีศาจและสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ไว้รอบบ้านหลังนั้นอีก
หนี้ชีวิตนี้ข้าถือว่าได้ตอบแทนให้เจ้าหมดแล้วนะเด็กน้อย....