บทที่ 4 ชีวิตร่อนเร่...4

2324 Words
นางไม่ได้อยากได้ความยุติธรรมบ้าบอนั่นสักนิด สิ่งที่นางอยากได้คือการเห็นคนที่ทำร้ายครอบครัวของนางตายตกไป ตายไปอย่างไม่มีอะไรดีเหมือนที่บิดานางสาปแช่งพวกมัน! คังเก๋อ อันอ๋องตงเจียนหลิว...สองชื่อนี้นางจะจำไว้จนวันตาย! และนางจะไม่มีวันตายง่ายๆ ตราบใดที่นางไม่ได้แก้แค้นคนพวกนั้น ให้ตายตกไปอย่างทรมาน.... “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกเราหนีกันเถอะเจ้าค่ะ” หลีเริ่นหรานเค้นคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก ก่อนจะละสายตาออกจากภาพกองเพลิงตรงหน้าด้วยหัวใจที่ปวดร้าวเจียนสลาย พ่อ แม่ พี่สาม ความอบอุ่นในครอบครัวที่นางเคยได้รับ ล้วนสลายไปแล้วในกองเพลิง ชีวิตนับต่อจากนี้ นางต้องอยู่เพื่อแก้แค้น และการดำรงไว้ซึ่งตระกูลหลี พี่ใหญ่พี่รองของนางจะตายไปตอนนี้ไม่ได้! “หรานเอ๋อร์...” หลีหลุนเรียกชื่อน้องสาวอย่างเจ็บปวด “สิบปีแก้แค้นยังไม่สาย พวกเราจะต้องมีชีวิตรอดต่อไปนะเจ้าคะพี่ใหญ่” น้องน้อยสบสายตากับพี่ใหญ่ด้วยความมุ่งมั่น ความเสียใจและเศร้าโศกของนางในครั้งนี้ กลั่นตัวเป็นความแค้นที่หยั่งรากฝังลึกลงไปในใจ ลึกไปจนถึงจิตวิญญาณของหญิงสาวกำพร้าวัยยี่สิบห้าปีอย่างลลิล “ใช่! สิบปีแก้แค้นยังไม่สาย” หลีหยางพูดคำเดียวกัน ก่อนจะจ้องมองภาพเพลิงไหม้ตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาต สามพี่น้องค่อยๆ พากันออกจากที่ซ่อนด้วยความระมัดระวัง แต่ละคนหักใจไม่หันกลับไปมองบ้านหลังน้อยที่อาศัยอยู่มาร่วมปีด้วยความลำบากใจ แต่เมื่อทั้งสามพากันนึกถึงวันข้างหน้าที่จะได้ล้างแค้น แต่ละคนจึงทำใจเดินต่อไปข้างหน้าได้ด้วยสติและจิตใจที่มั่นคงขึ้น โดยเฉพาะหลีเริ่นหราน ตราบสิ้นลมหายใจนางก็จะไม่มีทางลืมวันนี้แน่ วันเกิดครบรอบหกหนาวของนาง กลายเป็นวันที่นางต้องสูญเสียบิดามารดาและพี่ชายคนเล็กไป... และไม่ว่าอย่างไร นางก็จะแก้แค้นคนพวกนั้นให้สาสม! ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต นางก็ไม่คิดเสียดาย “ท่านหัวหน้า เพื่อนบ้านของพวกมันเล่าว่าวันนี้เป็นวันเกิดของบุตรสาวคนเล็ก หลีหยุนจึงพาลูกชายคนโตกับคนรอง และลูกสาวคนเล็กเข้าไปในตัวเมืองเซียงอู่ตั้งแต่เข้าขอรับ” ลูกน้องคนหนึ่งของคังเก๋อรายงานเรื่องที่ได้ไปสืบมาให้ผู้เป็นหัวหน้าฟัง “เข้าเมืองงั้นรึ?” คังเก๋อ ขบเม้มริมฝีปากอย่างคนกำลังใช้ความคิด จากนั้นจึงได้สั่งให้ลูกน้องสองคนของเขาไปตามหาเด็กทั้งสามคนนั้นแถวชายป่าจนถึงตีนเขา ในเมื่อหลีหยุนพาลูกเข้าเมือง แต่ในเมื่อเขากลับมาที่บ้านตัวคนเดียว ก็แสดงว่าถ้าเด็กพวกนั้นไม่อยู่ในตัวเมืองเซียงอู่ ก็ต้องกลับมาพร้อมกับบิดาของพวกมันด้วย และซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง ลูกน้องสองคนที่ได้รับมอบหมายงานก็เร้นตัวหายไปในความมืดทันที หลังจากนั้นคังเก๋อและลูกน้องอีกหนึ่งคนก็เดินทางมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองเซียงอู่ ไม่แน่ว่าหลีหยุนอาจจะซ่อนตัวบุตรสาวบุตรชายไว้ระหว่างก็เป็นได้ หึ! ... แค่เด็กอายุไม่กี่หนาวสามคน จะรอดพ้นมือสังหารไร้ใจอย่างเขาไปได้อย่างไร! “โอ๊ะ อุ๊บ!” หลีเริ่นหรานรีบเอามือปิดปากตัวเองทันทีที่นางสะดุดรากไม้หกล้มแล้วกำลังจะร้องออกมา “หรานเอ๋อร์! เป็นอันใดหรือไม่?” หลีหลุนรีบปรี่เข้าไปประคองร่างเล็กของน้องสาว “ข้ามิเป็นไรเจ้าค่ะพี่ใหญ่ พวกเราเร่งเดินทางกันต่อเถิด” เมื่อน้องสาวบอกว่าไม่เป็นไร พี่ชายทั้งสองจึงได้เร่งพากันเดินหน้าต่อ แม้ทางข้างหน้าของพวกเขาจะไร้จุดหมาย แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องหนีให้ได้ไกลจากหมู่บ้านเฉียวเฮยให้มากที่สุด ไกลเท่าที่จะไกลได้ ออกจากเมืองนี้ได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี “พี่ใหญ่ ทางข้างหน้ามืดเหลือเกิน พวกเราจะไปทางไหนกันดี” วิ่งมาได้สักพัก หลีหยางก็เอ่ยขอความคิดเห็นจากพี่ใหญ่ หากว่าเขาจำไม่ผิดนับจากจุดที่ยืนอยู่ตอนนี้ไปอีกครึ่งลี้ ก็จะเข้าสู่เขตป่าชั้นใน ที่เต็มไปด้วยสัตว์อันตรายมากมาย หลีหลุนมีสีหน้าครุ่นคิด พ้นทางข้างหน้าไปก็คือเขตป่าชั้นในที่เต็มไปด้วยอันตราย ทั้งรอบกายของพวกเขาตอนนี้ก็เต็มไปด้วยความมืดมิด ตลอดทางที่วิ่งมา พวกเขาอาศัยเพียงแสงของดวงจันทร์ที่สุกสว่างครึ่งเสี้ยวเท่านั้นนำทาง “เข้าไปในป่าชั้นในไม่ได้ อันตรายเกินไป พี่กลัวว่าเราจะหนีตายไปหาความตายแทน ถ้าเป็นตอนกลางวันยังพอเสี่ยง แต่มืดแบบนี้” หลีหลุนหยุดคำพูดไว้แค่นั้น “นั่นไง พวกมันอยู่ตรงนั้น!” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังของพวกเขาทั้งสาม “อย่าคิดหนีไปเลยเด็กน้อย อย่างไรซะพวกเจ้าก็หนีไม่พ้น มาตายซะดีๆ” ทันใดนั้นเจ้าของเสียงพูดก็กระโดดมาดักหน้าของพวกเขาทั้งสาม “อาหยาง หรานเอ๋อร์” หลีหลุนเอ่ยเรียกน้องทั้งสองก่อนจะดึงพวกเขาไปไว้ข้างหลังตนเอง “กล้าหาญดี!” ชายคนดังกล่าวเอ่ย “แต่ไม่ว่าจะกล้าหาญอย่างไรก็เป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งที่พ่อแม่ตายไปแล้ว มิสู้พวกเจ้าตามไปอยู่กับพวกเขามิดีกว่ารึ!” พูดจบชายชุดดำคนนั้นก็ง้างดาบขึ้นจะฟาดฟันหลีหลุน แต่เขาก็คว้าท่อนไม้ได้ท่อนหนึ่งก่อนที่จะถูกโจมตี แต่ไม้กับดาบดูอย่างไรก็มิใช่คู่ต่อสู้กัน เพียงเวลาชั่วอึดใจ หลีหลุนก็พลาดท่าเสียที “พี่ใหญ่!” สองพี่น้องหลีหยางกับหลีเริ่นหรานร้องขึ้นพร้อมกัน “ฮ่าๆ เห็นหรือไม่ว่า ต่อให้เจ้าจะกล้าหาญสักเพียงใดเจ้าก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง จะมาสู้แรงผู้ใหญ่อย่างข้าสองคนได้ยังไง” ชายชุดดำคนแรกกล่าว ก่อนจะสัญญาณให้เพื่อนอีกคนที่มาด้วย เดินเข้ามาหาหลีหยางกับหลีเริ่นหราน แล้วกระชากตัวหลีหยางไป “ไม่นะ! ปล่อยพี่รองของข้า!” หลีเริ่นหรานพยามยามขัดขวาง แต่ก็ถูกชายคนนั้นผลักออกไป “ได้ตายกันทุกคนแน่ ไม่ต้องกังวลไป เจ้าเป็นลูกคนเล็ก เกิดทีหลังย่อมต้องตายทีหลัง” “เจ้า!” หลีหลุนเอ่ยด้วยความแค้นเคือง “ข้าจะให้เจ้าดูน้องๆ ของพวกเจ้าตายไปกับตา เหมือนบิดาเจ้าที่มองมารดาและน้องอีกคนของเจ้าตายไปต่อหน้า แบบนั้นดีหรือไม่เด็กน้อย” หลีเริ่นหรานจ้องมองชายชุดดำสองคนนั้นด้วยสายตาขุ่นแค้นและเต็มไปด้วยแรงอาฆาต ยิ่งเมื่อพวกมันเอ่ยถึงบิดาผู้ล่วงลับ ความแค้นที่มีอยู่ในใจก็เหมือนยิ่งเพิ่มมากขึ้นทบเท่าทวีคูณ “เอาล่ะ ข้าให้น้องชายเจ้าตายให้ดูก่อน เจ้าจะได้รู้ว่าตัวเองต้องทำตัวเช่นไรเวลาที่ต้องตาย” พูดจบก็ส่งสัญญาณให้เพื่อนอีกคนที่จับตัวหลีหยางอยู่ลงมือ “ไม่! อย่านะ อย่าทำร้ายน้องชายข้า!” ด้วยความอาฆาตแค้นที่มีอยู่ใจจิต หลีเริ่นหรานกลั่นหยดน้ำตาทุกหยดที่ไหลรินให้เป็นก้อนน้ำ ฝ่ามือน้อยๆ พลิกไปมาซ้ายขวาบนอากาศ โดยที่ไม่ทันมีผู้ใดสังเกต เพียงชั่วพริบตา ร่างบางของเด็กน้อยวัยห้าขวบก็ส่งก้อนน้ำที่กลั่นออกมานั้นไปกระทบร่างของชายชุดดำที่หมายปลิดชีวาพี่รองของนาง อึก! เพล้ง! ทันทีที่ดาบของชายชุดดำหลุดออกจากมือ หลีหยางที่มีสติอยู่ทุกนาทีจึงได้รีบคว้าเอาดาบเล่มนั้นมาไว้ในมือ พร้อมเสียบแทงเข้าไปที่ท้องของชายชุดดำคนที่หมายสังหารตนด้วยความรวดเร็ว เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา โดยที่ชายชุดดำคนที่จับหลีหลุนไว้พร้อมทั้งวางดาบไว้ตรงลำคอของอีกฝ่ายไม่ทันได้เรียงลำดับเรื่องราว ปลายดาบของเพื่อนร่วมงานตนก็ถูกชี้มาตรงหน้า “ปล่อยพี่ชายข้าเดี๋ยวนี้!” หลีหยางเอ่ยสั่งเสียงเข้ม ต่างจากปกติที่มักเป็นคนสุขุม พูดเบา ทั้งยังพูดน้อยกว่าคนอื่นๆ ยกเว้นแต่กับน้องสาวอย่างหลีเริ่นหราน ที่เวลาอยู่ด้วยแล้วเขามักจะพูดเก่งกว่าปกติ “เฮอะ! คิดว่าข้าจะกลัวเจ้ารึเด็กน้อย!” แม้จะตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น เด็กสาวตัวสูงไม่ถึงเอวเขาแต่กลับมีพลังมากถึงขั้นสร้างมวลน้ำได้ แต่เขาก็ไม่อาจเกรงกลัว ด้วยลำพองว่าต่อให้เก่งอย่างไรก็แค่เด็ก และเหมือนว่าหลีเริ่นหรานจะอ่านใจชายชุดดำออก ร่างบางจึงค่อยๆ หงายฝ่ามือของตนขึ้นมา จากนั้นก็คว่ำมือลง และซัดอากาศว่างเปล่าใส่คนที่ใช้ดาบพาดคอพี่ชายของนางอยู่! อ้าก!!! ชายชุดดำกระเด็นออกไปไกลราวสิบฉื่อ และเมื่อมีอิสระ หลีหลุนก็รีบใช้ดาบฟาดฟันชายชุดดำคนนั้นให้ตายตกไปในทันที หลีเริ่นหรานมองศพชายสองคนด้วยสายตาไร้ความรู้สึก ก่อนจะเดินไปค้นตัวของชายทั้งสองคนเพื่อหาหลักฐานบางอย่าง ที่จะสามารถสาวไปถึงตัวผู้บงการพวกมันได้ แต่สุดท้ายสิ่งที่นางต้องการกลับไม่มี คนพวกนี้เป็นนักฆ่าเดนตายจริง แม้สัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงสังกัดหรือหมู่เหล่าก็ไม่มีติดตัว “คนพวกนี้ทำงานหมดจดนัก ไม่ทิ้งหลักฐานไว้ให้สาวถึงตัวการเลย” หลีหลุนเอ่ยออกมาเมื่อเขาช่วยน้องสาวค้นตัวของชายชุดดำทั้งสองซ้ำอีกครั้ง ทั้งในจุดที่นางไม่อาจหา เขาก็เป็นคนค้นดูหมด ทว่าก็ไม่พบสิ่งใด “มิเป็นไร แม้จะไร้หลักฐาน แต่พวกเราสามคนก็จำชื่อที่ท่านพ่อพูดออกมาได้แม่น” หลีเริ่นหรานเดินไปศพของชายชุดดำทั้งสองอีกครั้ง ก่อนจะหยิบเอาถุงเงินของพวกเขาทั้งสองถุงออกมาจากร่างไร้ลมหายใจ “ในเมื่อตายไปแล้วก็ไม่อาจใช้สอยเงินทองได้ ถ้าเช่นนั้นพวกข้าจะช่วยเจ้าใช้ก็แล้วกัน” พูดจบนางก็เทเงินทั้งสองถุงใสในย่ามใบโปรดที่พายติดตัวไว้ตลอดเวลาหน้าตาเฉย ทั้งที่เพิ่งผ่านช่วงเวลาเฉียดตายมาไม่ถึงครึ่งเค่อ แต่นางยังมีแก่ใจปล้นทรัพย์คนตาย แถมตายด้วยฝีมือนางและพี่ชายอีกด้วย แบบนี้ก็เท่ากับว่าพวกเขาเป็นโจรฆ่าชิงทรัพย์คนอื่นเสียแล้ว อุบ! เมื่อเทเงินอีแปะทั้งสองถุงใส่ย่ามเสร็จ หลีเริ่นหรานก็ทิ้งถุงเงินไว้ใกล้ๆ ศพ จากนั้นก็ชวนพี่ชายทั้งสองเดินทางต่อให้เร็วที่สุด และแกล้งเมินเฉยกับสายตาประหลาดใจของพี่ชายทั้งสอง ชิ! ...ปล้นศพแล้วอย่างไร? ในเมื่อพวกนางที่ยังมีชีวิต จำเป็นต้องกินต้องใช้! “เราจะไปทางใดกันต่อดี” หลีหยางเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งเมื่อพวกเขาเดินมาจนสุดทาง และหากเดินไปกันอีกเพียงห้าก้าวก็จะเข้าสู่เขตป่าชั้นใน ทั้งเวลานี้ก็น่าจะเป็นยามโฉ่วแล้ว หลีเริ่นหรานแหงนหน้ามองท้องฟ้า ก่อนนิ้วเล็กๆ จะชี้ตรงไปที่ป่าชั้นในตรงหน้า “อันตรายเกินไปหรานเอ๋อร์” “ใช่แล้วเจ้าคะพี่ใหญ่ อันตรายเกินไป แต่หากพวกเราไม่เข้าไป ย่อมอันตรายยิ่งกว่า” พูดจบร่างเล็กก็เดินตรงเข้าไปในป่านั้น ทำเอาสองพี่ชายที่ยังไม่ได้ได้พูดหรือถามอะไรก็ต้องเดินตามน้องน้อยเข้าไปก่อน เมื่อทั้งสามเดินเข้ามายังป่าชั้นในได้ประมาณครึ่งลี้ หลีเริ่นหรานก็ชวนพี่ชายทั้งสองหาที่พัก หลังจากนั้นจึงอธิบายให้ฟังว่า เพราะป่าชั้นในเต็มไปด้วยอันตราย หากมีพวกมือสังหารตามมาอีก พวกมันก็จะคิดเช่นเดียวกัน ทั้งไม่กล้าเดินเข้ามาในยามนี้เพราะคิดว่าเด็กอย่างพวกนางไม่กล้าเดินเข้ามา นั่นจึงทำให้การหลบเข้ามาในนี้ปลอดภัยกว่า และด้วยสัญชาตญาณ นางคิดว่าจุดที่นางและพี่ชายทั้งสองพักอยู่ตอนนี้ ไม่น่าจะมีอันตรายใดๆ จากสัตว์ป่าทั้งหลาย “กินนี่กันก่อนเถอะเจ้าค่ะ” หลีเริ่นหรานยื่นเซ่าปิ่งให้พี่ชายคนละชิ้น ทั้งสองรับเซ่าปิ่งมาด้วยสีหน้าเศร้าๆ เพราะรู้ดีว่าเซ่าปิ่งพวกนี้หลีเริ่นหรานตั้งใจซื้อมาฝากมารดาและหลีเฉิง ที่ไม่ได้ไปเที่ยวในเมืองด้วยกันเมื่อเช้า ซึ่งเซ่าปิ่งทั้งหมดนั้นหลีหยางเป็นคนจ่ายเงินด้วยตัวเอง “กินกันเถอะเจ้าค่ะ อย่างไรซะพวกเราก็ต้องรอดเพื่อที่วันหน้าจะได้กลับมาล้างแค้น” พูดแล้วก็กัดเซ่าปิ่งไปหนึ่งคำ ก่อนจะเคี้ยวและกลืนอย่างฝืดคอเพราะ...ตอนนี้พวกเขาไม่มีน้ำกิน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD