ตอนที่ 5
แล้วมันก็อยู่ที่ว่า หล่อนรักเขาด้วยหรือเปล่านั่นเอง
ฉายพัดชาฉีกยิ้มหวานเปิดรอยยิ้มเก๋ๆทักทายผู้คนไปทั่ว ระหว่างร่างที่ยืนชิดติดกันกับชายหนุ่มรูปหล่อเหมือนน่าจะบอกให้คนทุกคนทั้งหมดในงานนี้
รู้ว่า หล่อนกับเขาเป็นแฟนกัน เขามองเห็นสีหน้าซีดๆของเมี่ยงเมรัยนิดหนึ่ง ก็รู้สึกสงสารนัก กระอักกระอ่วนใจหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ที่ได้มาเห็นภาพหวานชื่นของน้องสาวของเขากับ หมอนี่ น่าจะกลายเป็นอดีตคู่รักหรือเปล่า.. เพราะดวงตาของเมี่ยงเมรัยมันสื่อถึงความพึงพอใจในตัวตนบุคลิกของไอ้บุลิศนักน้องสาวของเขาเดินแต้มเก่ง
สีหน้าของเมี่ยงเมรัยมองจ้องอย่างหมิ่นแคลนและเยาะเย้ยริมฝีปากของหล่อนบึ้งขึ้นทันทีอย่างไม่มีสาเหตุและอยากออกไปจากงานนี้หลังจากที่ดำเนินผ่านเรื่องสำคัญจบแล้ว
หล่อนทำหน้าที่ดีที่สุดจนผู้คนทั่วในงานนั้นแสดงความชื่นชมและปรบมือให้ถ้วนหน้า เขาเองก็ปรบมือให้หล่อนด้วย แต่ก็ยังมีร่างของฉายพัดชาที่คลอเคล้าเคียงถึงขนาดกล้าจับมือถือแขนบุลิศ
นี่หมายความว่ายังไงกัน
“ชักจะร้ายชักจะกล้ามากเกินไปแล้วนะฉายพัดชา..”
“แต่คิดว่าว่าฉันจะยอมง่ายๆหรือฉันไม่ยอมหรอกในเมื่อฉันก็มีหัวใจรักฝากถึงเขาไว้ส่วนหนึ่งในห้องหัวใจเหมือนกันเธอกับฉันเห็นต้องมาแลกกันเสียแล้วฉายพัดชาฉันมีวิธีการของฉันแน่วิธีการที่ทำให้เธอสะอึกอยากจะเป็นแมวขโมยปลาย่างนักหรือประเดี๋ยวจะร้องเพลงปานธนพรให้ฟังเลย”
เมี่ยงเมรัยขุ่นแค้นในใจ หล่อนบึ้งตึง ขบคิดด้วยแววตา แม้ดูเรียบเฉยก็จริง ทรวงอกหล่อนมันกระเพื่อมตลอดเวลาด้วยแรงอัดของลมหายใจ เมี่ยงเมรัยมีพ่อยืนอยู่เคียงข้างใกล้ๆ ..หล่อนต้องการอย่างนั้น นายอัศวงค์พอจะเดาสีหน้าของบุตรสาวได้
เพราะเขามีเมี่ยงเมรัยเป็นบุตรสาวคนเดียว มีหรือที่จะไม่เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของบุตรสาว
เมื่อสงบสติอารมณ์สงบใจได้แล้ว เมี่ยงเมรัยตัดสินใจเมินเสียจากภาพนั้น เหมือนกับว่า หล่อนไม่รับรู้แม้สักนิดว่าบุลิศกำลังทำอะไร.. เขาอยู่กับใคร.. จงใจแค่ไหนที่ทำให้หล่อนเจ็บจี๊ดที่หัวใจ หล่อนพยายามรั้งร่างของตนเองไว้
เหลียวมองหาคนของหล่อน อนงค์นันดานั่นไงเพื่อนรัก อนงค์นันดานั้นไม่ได้พูดเหมือนกันแค่ชำเลืองท่าที และมองดูหญิงสาวสวยหวานที่แต่งเข้มในกระโปรงราตรีสีม่วงเข้มฉูดฉาด
หล่อนก็เดาออกเหมือนกับที่เมี่ยงเมรัยเดานั่นเอง ทั้งหล่อนและเมี่ยงเมรัยนั้นรู้จักฉายพัดชาดีเท่าที่ฝ่ายนั้นรู้จักตัวตนของพวกหล่อนทั้งสอง
เป็นการกระทำของน้าชายของหล่อน ลำพังตัวน้าบุลิศหล่อนไม่ว่าอะไรหรอกจะมีก็แต่ท่าทีของฉายพัดชาเท่านั้นที่ทำอะไรเกินงาม
เหมือนหล่อนต้องการประกาศ และอวดความเด่น อาจจะอวดน้าชายของหล่อนด้วย ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือ ก้าวเข้ามาใกล้แตะมือเรียวของเพื่อนสาวสัมผัสจับมือเพื่อนเอาไว้เบาๆดุจจะให้กำลังใจ ดวงหน้าหวานของเมี่ยงเมรัยที่งามราวกับตุ๊กตาสลักหันมายิ้มเบาแต่ไม่ได้เอ่ยคำ
ฉายพัดชาต้องการดูผลงานของตนเอง เมื่อหล่อนกวาดสายตาหันไปยิ้มเยาะใส่เมี่ยงเมรัยซึ่งมีสีหน้าซีดหากแต่เวลานั้นจู่ๆพี่บุลิศก็ผละหนีไปจากหล่อนทำให้ฉายพัดชาต้องชะเง้อชะแง้สายตามองหาเขาใหม่อีกครั้งนี่เขาไปไหน
หล่อนหวังจะพบใบหน้าที่อ่อนโยนของเขาเป็นสุภาพบุรุษในดวงใจแต่ทว่าเหมือนบุลิศอันตรธานไปจากตรงนั้นจริงๆไม่มีร่างของเขาอยู่ที่นั่นทำให้ฉายพัดชาขัดอกขัดใจยิ่งนัก
เวลานี้ก็เท่ากับว่าบุลิศไม่ยอมร่วมมือในการแสดงช่วยหล่อน เพื่อฉีกหน้าลูกสาวเจ้าของบ้าน หล่อนเห็นเมี่ยงเมรัยหลบอยู่ข้างใน อนงค์นันดา ยายจอมร้ายอีกคนซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของยายเมี่ยงเข้าไปข้างในดึงแขนประคองกันสีหน้าที่ดูจะซีดและผิดหวัง หล่อนรู้ดีว่า เมี่ยงเมรัยมีความรู้สึกอย่างไร เพราะหล่อนต้องการให้เรื่องมันยาวมากกว่านี้ และแค่นี้ไม่พอที่หล่อนต้องการ
เขามาหลบมุมตรงต้นเสานี่เองเพื่อมองจ้องภาพไปยังร่างระหง เขาเห็นแล้วชัดเจนเห็นหลานสาวของเขาด้วยเธอเป็นเพื่อนสนิทกับลูกสาวเจ้าของบ้านเขาสังเกตดูแล้วเมี่ยงเมรัยเหมือนคนไม่สบายใจเป็นเพราะสาเหตุอะไรกันนะหรือ?
ชายหนุ่มอยากจะรู้นักซึ่งเขานั้นก็รู้สึกรำคาญต่อฉายพัดชาไม่น้อยที่หล่อนเหมือนจะเข้ามายุ่งกับเขามากเกินแล้วนะเพราะหากใครก็ตามที่เข้ามายุ่งกับเขา มันยังไม่ได้ เพราะเขาอยากขอสิทธิส่วนตัว ตะกี้ก็ทักทายธรรมดาประสาคนที่รู้จักกันแม้ว่าหล่อนจะเข้ามาถึงตัว จับมือเขาก็ตาม และ เขาจะคบกับใครหรือไม่คบก็ได้ ดวงตาที่อ่อนโยนของชายหนุ่มเงยจ้อง หล่อนคงมองไม่เห็นเขาหรอกขณะที่บุลิศมองด้วยความรู้สึกดูดดื่มพึงใจเพียงชั่วครู่เขาก็ผละเดินจากตรงนั้น
แล้วก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อใครคนหนึ่งไม่รู้โผล่มาจากไหนซึ่งเขาไม่เคยรู้จักนั้นได้เดินก้าวมาเบียดแทรกเข้ามาเหมือนต้องการชนร่างของเขาด้วยอย่างคนไร้มารยาทนี่เหมือนการจงใจแต่ดีว่าเขาหลบทัน เฉียดแค่ไหล่เท่านั้นหากสะดุ้งตกใจก่อนที่จะเงยหน้ามองผู้ที่ประมาทตรงหน้าซึ่งก็มีเสียงหลุดปากเอ่ยคำขอโทษเขาแทนแต่ดูไม่น่าไว้ใจนักคำเอ่ยเหมือนเสแสร้ง
“ขอโทษครับ” เมื่อกล่าวขอโทษ ชายหนุ่มก็ไม่คิดถือสา แต่ดวงตาของชายหนุ่มผู้นี้เหมือนบึ้งตึง ถมึงทึงยิ่งนัก บุลิศสังเกตเหลือบมองแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินจากไปไม่สนใจ
ดลัมภ์เงยหน้าขึ้นแวบหนึ่งเมื่อลับตาบุลิศเขาแกล้งนั่นเองชนมันเสียเลยขวางหูขวางตาดีนักแค่นยิ้มเยาะที่มุมปากพยายามกวาดตามองไปอีกครั้ง
ที่บุลิศแต่กลับไม่เห็นร่างนั้นกลับเป็นคนอื่นแทน
“ผมว่าคุณแสดงละครได้ยอดเยี่ยมมากคุณลัมภ์ผมอยากจะขอปรบมือให้กับการแสดงนี้ครับ”
ใครกันที่ปากกล้าสามหาวเอ่ยกับเขาเหมือนรู้ทันมันแอบสังเกตเขาด้วย “ไอ้อมเลศ”เขาสบถตะโกนด่าออกไปเกือบชะงักเหมือนกันนัยน์ตาขวางใส่ทันที เพราะดลัมภ์อดผ่าวร้อนที่สีหน้าไม่ได้ เหมือนคนวัวสันหลังหวะ แต่ก็ซ่อนความผิดของตนเอง