“งั้นก็ไปถาม”
“เนลขึ้นไปถามเป็นเพื่อนนนท์หน่อยดิ เพื่อนนนท์อยู่ชั้นบนอ่ะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสดใสจนฉันเริ่มจะสงสัย ฉันว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังแน่ๆ นนท์ไม่มีทางที่จะแฮปปี้หลังจากฉันร่อนธีสิสเขาลงจากตึกหรอก
ฉันมองอย่างลังเล แต่สุดท้ายก็ตอบรับอย่างว่าง่าย
“ก็ได้”
ฉันไม่รู้หรอกว่านนท์คิดอะไรอยู่ แต่สิ่งที่เขาคิดจะทำ ก็ไม่น่าเกินความสามารถในการรับมือของฉัน พวกเราลงไปเอาธีสิสด้านล่างและขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นหก เพื่อหาเพื่อนของนนท์ ฉันก็นึกสงสัยว่าทำไมเขาไม่โทรหา ทั้งที่มันง่ายกว่ามาก จนกระทั่งพวกเรามายืนอยู่ที่ประตูบานนึง
ไม่รู้ทำไม ลางสังหรณ์ของฉันมันถึงส่งสัญญาณเตือนกระหน่ำ เมื่อคนตัวสูงเคาะประตูสามทีดังก๊อก ก๊อก ก๊อก บรรยากาศรอบตัวที่สบายๆ ก็ทำให้ฉันอึดอัด นัยน์ตาของฉันโฟกัสอยู่ที่ประตูบานนั้น ก่อนที่แสงจากในห้องจะส่องกระทบกับใบหน้า ขาของฉันก็ขยับถอยหลังอย่างไม่ได้ตั้งใจ หัวใจหล่นวูบไปถึงตาตุ่ม
ร่างชายหนุ่มตัวสูงโปร่งโผล่ออกมาก่อนจะทำหน้าฉงนเมื่อเจอฉันกับนนท์ ฉันได้ยินนนท์พูดอะไรสักอย่าง แต่จับใจความไม่ได้ เพราะฉันไม่อาจจะละสายตาไปจากใบหน้าของคนมาใหม่ เจ้าของผมสั้นซอยสีดำสนิทกอปรกับรอยสักบริเวณลำคอนั้นได้
“ใครมาอ่ะนุ่น” น้ำเสียงใสที่ฉันมั่นใจว่าเคยได้ยินดังมาจากอีกฝั่ง เสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แปรผันตรงกับจังหวะความเร็วที่เต้นถี่กระชั้นขึ้นของก้อนกลมบริเวณหน้าอก เหงื่อเม็ดเล็กผุดพราวตามหน้าผากและฝ่ามือ จนกระทั่งเจ้าของเสียงมาปรากฏอยู่ตรงหน้า นัยน์ตาของพวกเราสบกันด้วยความอึ้ง
ใบหน้าขาวเนียนในชุดที่ไม่เรียบร้อยนัก เธอเป็นเจ้าของแหวนที่ร้อยสร้อยคอของนนท์ เป็นคนที่อยู่ในกรอบรูป และเป็นคนที่ฉันไม่นึกอยากจะเจอด้วย
คราแรกเธอเดินมาด้วยใบหน้ายิ้มนิดๆ ก่อนจะปรายสายามามองฉันกับนนท์ ไม่ถึงเสี้ยววินาที รอยยิ้มนั่นก็หายไปอย่างไร้เหตุผล
“นนท์... ” เธอย่นคิ้วเข้าหากันก่อนจะมองฉันนิ่ง ฉันคิดว่าเธอจะแกล้งไม่รู้จักฉันแล้ว แต่เธอกลับค่อยๆ ยกยิ้มใหม่อีกรอบแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“เนลลลลลลลลล นั่นแกเหรอ?” ไม่ว่าเปล่า เธอก็วิ่งเข้ามาสวมกอดฉัน ฝ่ามือเรียวสอดเข้าที่เอวก่อนจะวางคางไว้ที่บ่า ฉันอึ้งๆ ไปนิดนึงเพราะนึกไม่ถึงกับปฏิกิริยาตอบรับ
กอด?
เสียงเป็นมิตร?
ฉันแทบจะหลุดหัวเราะออกมากับปฏิกิริยาของเธอที่แสดงต่อฉัน ฉันไม่รู้หรอกว่าทำไมเธอถึงปฏิบัติกับฉันอย่างนี้ ฉันแย่มากเกินกว่าที่เธอจะยังคงดีด้วยได้ ฉันมั่นใจ...
“เออ ฉันเองอ่ะ คิดถึงแกว่ะนัท” ฉันตั้งสติอยู่พักนึงก่อนจะยกยิ้มหวานพลางสวมกอดกลับ ฉันรู้ดีว่าตอนนี้นัทไม่ได้คิดถึงฉันอย่างที่เธอแสดงออก เธอก็แค่เสแสร้ง ถ้าถามว่าทำไมถึงคิดอย่างนั้น ก็คงตอบได้แค่...
ฉันกับเธออ่ะ สปีชีส์เดียวกัน
และฉันก็กำลังเสแสร้งยิ้มพร้อมสวมกอดเธอกลับเหมือนที่เธอทำนั่นแหละ
“ไม่เจอกันนานเลย... ตั้งแต่วันนั้น” คนตัวสูงค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกก่อนจะสบตาฉันเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความไม่พอใจ
ฉันนิ่งไปรู้สึกร้อนวาบบริเวณหน้าอก ก่อนจะเม้มริมฝีปากเล็กๆ ก่อนจะยื่นมือข้างนึงของฉันไปจับแขนของเธอไว้เล็กน้อย พลางหลุบตาต่ำและตอบเสียงชัด
“โทษทีนะไม่ได้ติดต่อเลย”
“ไม่เป็นไร” เธอยิ้มแค่ริมฝีปาก ขณะที่นัยน์ตาเธอไม่ได้ยิ้มด้วย คำว่าไม่เป็นไรของเธอเป็นการโกหกคำโต เพราะฉันรู้ว่าเธอหงุดหงิดมากแน่ๆ
“ไม่เห็นรู้เลยว่ารู้จักกันด้วย” นัทกระตุกยิ้มพลางจรดจ้องไปที่ผิวช้ำของนนท์ก่อนจะหันมาสบตาฉัน “เหมือนสนิทกันเลยเนอะ”
“ก็สนิท” ฉันเอ่ยพลางปรายสายตากวาดไปมองที่เธอด้วย เธอทำเป็นแขวะฉัน ทั้งที่สภาพเธอเองก็ไม่ได้ต่างกันนัก ดูจะหนักกว่าด้วยซ้ำ ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดอะไรต่อ นนท์ก็โพล่งขึ้นมาก่อน ดูเหมือนเขาจะหงุดหงิดอยู่พอควรกับการที่ต้องมาเห็นนัทอยู่ในห้องกับผู้ชายสองต่อสอง แถมยังมีรอยข้ำแดงช้ำเขียวให้โกรธเล่นๆ ด้วย
“พอๆ กับนัทที่สนิทกับนุ่นมั้ง”
นุ่น คือผู้ชายนัยน์ตาดุที่ยืนค้ำประตูอยู่ข้างๆ นัท ฉันแอบเกร็งทุกครั้งที่มองเขา เป็นเพราะฉันเผลอมองเขานานไป เลยรู้สึกอึดอัดจึงหาเรื่องอื่นคุยเพื่อทำลายบรรยากาศนี้ ไม่งั้นฉันอาจจะบ้าตายก่อน
“เอ้า นนท์ จะถามทางนี่ จะถามก็รีบถาม เนลมีนัดนะ”
“ทางอะไรเหรอ?”
“ก็นนท์จะถามว่าจากหอนี้ไปมหาลัย A ยังไง นนท์จะได้ไปส่งเนลถูก”
“อ้อ... ไม่รู้เหมือนกันอ่ะแก โทษที” นัทโกหก ซึ่งฉันก็รู้ ฉันไม่ได้คิดจะพึ่งเธอหรอก
“นุ่นรู้นะ... จะให้บอกมั้ยล่ะ”
“ขอบใจ แต่ไม่ต้องหรอก นนท์พอจะนึกทางออกแล้ว แค่กะจะแวะมาทักทายเพื่อนร่วมหอเฉยๆ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ เดี๋ยวเราคงได้เจอกันบ่อยๆ” นนท์ตัดบทสนทนา ซึ่งฉันรู้สึกขอบคุณนนท์มาก เพราะฉันจะได้รีบแจ้นออกไปจากตรงนี้ ฉันกำลังจะหมุนตัวกลับหากแต่จู่ๆ คนตัวสูง เจ้าของผมสั้นซอยสีดำสนิทก็เอ่ยขึ้นมาก่อน
“แล้วนัทรู้จักเนลด้วยเหรอ?”
“...”
ฉันชะงักไปกับคำถามของเขาแล้วสบนัยน์ตาคนตัวสูง เผลอแค่นยิ้มออกมาอย่างหงุดหงิด ไม่รู้ว่าเขากำลังจะเล่นสงครามประสาทอะไร
“รู้ดิ สนิทกันดีเลยแหละ”
ฉันตอบก่อนจะนึกสงสัยว่าเขาถามทำไม
ทั้งที่เขารู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว