“เนลๆ อาจารย์จะส่งชื่อแกกับไอ้แพลนเป็นตัวแทนประกวดมารยาทของมหาวิทยาลัยเรานะ” เสียงของไอ้แว่นคนนึงที่เรียนด้วยกันเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่พวกเราพึ่งจะเลิกคลาสไปไม่ถึงห้านาที ฉันกำลังเดินออกจากห้องและจะลงบันไดอยู่แล้ว จู่ๆ เขาก็พุ่งเข้ามาหาฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและคำพูดคำจาแสนสุภาพ “เออ วันนี้ตอนเย็นเนลว่างมั้ย? ไปกินข้าวกัน เราเลี้ยง”
“อ๋อ...” ฉันเว้นวรรคแล้วเหล่สายตาไปมองบุคคลมากมายที่เดินตามหลังไอ้แว่นมา และไม่นานทุกคนก็เข้ามารุมทึ้งประหนึ่งหมาเห็นชิ้นเนื้อแล้วแย่งกัน หลายมือพุ่งเข้ามาดึงแขนฉันบ้าง ดึงเสื้อฉันบ้าง แต่ฉันก็ได้แต่ยืนยิ้มเหนียมๆ เป็นบุคคลเรียบร้อยแช่มฉ้อยที่ทุกคนรัก แต่ในใจอะเหรอ... รำคาญสัส
“เฮ้ย ได้ไง เนลต้องไปกับกูดิเติ้ง”
“อีแพลน เนลเค้านัดกับฉันแล้วย่ะ แกอย่ามายุ่ง”
“เฮ้ย เดี๋ยวๆ เนลต้องไปกับกูดิ เนลจ๋า ช่วยติวอิ้งให้กันต์หน่อยน้า”
“โทษทีนะ วันนี้เนลไม่ว่างอ่ะ ไว้วันอื่นละกัน” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพก่อนจะโค้งตัวอย่างนอบน้อม เพื่อให้ทุกคนหลีกทางฉันออกเป็นสองส่วน คนอื่นๆ มองฉันด้วยท่าทีเสียดาย แต่ก็ช่างแม่งเหอะ ฉันเอาใจทุกคนบนโลกไม่ได้หรอก
“ขอโทษน้า” ฉันกล่าวย้ำอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มหวานให้กับทุกคนเหมือนนางนพมาศที่หลุดออกมาจากเวทีลอยกระทง ร่างสูงกว่าร้อยหกสิบห้าเซนติเมตร ผมสีดำสนิทยาวลงมาถึงกลางหลัง กระโปรงนิสิตพอดีเข่า เสื้อนิสิตพอดีตัว ไม่รัดรูป ไร้ซึ่งความเอ็กซ์และเซ็กซี่ รองเท้าคัชชูสีน้ำตาล ถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าขาวถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเล็กน้อยให้พอดูมีสีสัน ไม่ว่าจะหันซ้าย หันขวาหรือตีลังกามองมา ใครๆ ก็คิดว่าฉันเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อยและกุลสตรีมากคนนึง
ถ้าจะนิยามว่าฉันคือแบบอย่างแม่ของลูกของใครหลายๆ คนก็คงไม่ผิดนัก เพราะทุกการกระทำและสิ่งที่ฉันแสดงออกมันชวนให้คิดว่าฉันดูเป็นผู้หญิงในฝัน คำพูดคำจาก็ไพเราะน่าเข้าหา ถึงจะไม่ขนาดคะขาทุกประโยคก็เถอะ
“แล้วเนลมีธุระอะไรเหรอ?” ไอ้แว่นเลิกคิ้วสูงก่อนจะถือวิสาสะจับที่บ่าของฉัน ด้วยสัญชาตญาณชั่วในจิตใต้สำนึกทำให้ฉันตวัดสายตาไม่พอใจไปที่เขาแวบนึงแล้วรีบเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นมิตรในวินาทีถัดมา
“อ๋อ ธุระส่วนตัวอ่ะ”
มันเป็นคำตอบนางงามที่มีความหมายแปรผันตรงกับคำว่า ‘เสือก’ ดีๆ นั่นแหละ
“อ๋อ โอเค ไว้วันอื่นเนอะ”
“ได้ๆ” ฉันตอบแบบขอไปที ทั้งที่ฉันก็รู้ตัวดีว่าชาตินี้ฉันไม่มีทางไปกินข้าวกับไอ้แว่นเนิร์ดที่ทำท่าจะหาเรื่องมางาบฉันทุกเวลาหรอก บางทีฉันก็สงสารเขานะ การที่เขาพยายามจะเข้าหาฉัน ทั้งที่ฉันไม่มีใจเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์อ่ะ
คนไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ พยายามยังไง สิ่งที่จะได้จากฉันก็มีแค่ความสงสาร
“โห ไรอ่ะเนล เราสองคนอ่ะคู่จิ้นกันนะ เนลต้องไปกับเราดิ” แพลนว่าแล้วทำหน้าบูดบึ้ง มือหนึ่งของเขาดึงแขนเสื้อเพื่อรั้งฉันไว้อย่างเอาแต่ใจ เขาเป็นผู้ชายหน้าตาดีระดับนึง แถมเจ้าชู้จนขึ้นชื่อ เขาพยายามจะเข้าหาฉันหลายครั้ง และหวังว่าจะอะไรๆ กับฉันเพื่อเอาไปอวดบรรดาเพื่อนชายของตัวเอง เป็นมนุษย์ประเภทที่ฉันขยะแขยงที่สุด
“อีแพลน เนลก็บอกอยู่ว่าเขามีธุระ” ผักกาดหันไปดุเขา สองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยมัธยม การพูดจาเลยดูเป็นกันเอง
“ไม่รู้ เนลต้องไปกับกู” เขาเริ่มดื้อดึงและฉุดแขนฉัน จนไอ้แว่นเข้ามาสวมบทบาทพระเอกพยายามกระชากแขนแพลนออก แต่เหมือนจะแรงไม่พอเลยสู้ไม่ได้
“เฮ้ย อย่าไปกวนเนลดิวะ”
“เงียบไป แว่น อย่ามาเสือกได้ปะ อิจฉากูกับเนลอะดิ”
ฉันเบ้ปากอยู่ในใจกับคำพูดของแพลน เขาเป็นแบบนี้หลายครั้งแล้ว ชอบติ๊ต่างว่าพวกเรามีซัมติงกันมากกว่าเพื่อน ชอบแสดงว่าตัวเองสำคัญ ไม่ได้รู้เลยว่าสำคัญตัวผิด ฉันไม่เคยเห็นหมอนี่อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ และฉันเริ่มจะรำคาญกับกิริยาอาการที่เริ่มจะมากมายขึ้นทุกวันของเขาแล้ว...
พริบตาที่ไอ้แว่นใช้แรงเฮือกสุดท้ายดึงแขนของฉันกับแพลนแยกออกจากกันได้ ฉันก็ขยับปลายเท้าไปกระแทกกับหัวเข่าของคนเอาแต่ใจด้วยความเร็วสูง มันแรงพอที่จะทำให้เขาสูญเสียการทรงตัวจนร่างโอนเอนไปด้านหลังที่เป็นบันได
“อีแพลน!”
ตึง!
เสียงหลังของแพลนกระแทกกับปูนดังไปทั่วชั้น แต่เพราะมันเป็นบันไดระหว่างชั้น ไม่ได้สูงอะไรนัก เขาก็เลยยังมีมือมีเท้าครบสามสิบสองประการ ผักกาดทำหน้าตื่นตะลึงพอๆ กับไอ้แว่นที่คิดว่าเป็นฝีมือของตัวเอง เธอสบถดังลั่นแล้ววิ่งเข้าไปหาเพื่อนรัก
“อีเติ้ง แกผลักอีแพลนทำไม!”
“ระ เราไม่ได้ตั้งใจนะ”
ฉันแอบนึกสมน้ำหน้าอยู่ในใจ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ได้สั่งสอนแพลนแถมยังโยนความผิดให้แว่นด้วย ฉันรู้สึกดีจัง ชอบๆ
“โอ๊ย เจ็บโว้ย” แพลนร้องโอดโอยและครวญครางพร้อมกับใช้มือหนึ่งพยายามจะดันร่างตัวเองขึ้น ฉันรีบแสดงสีหน้าเป็นห่วงและกำลังจะปรายสายตาไปมองผลงานของตัวเองก่อนจะชะงักเมื่อสบนัยน์ตากับคนมาใหม่ที่กำลังยืนอยู่ใกล้ๆ แพลน
ใกล้ขนาดที่อีกไม่กี่เซนติเมตรก็แทบจะเหยียบหน้าแพลนอยู่แล้ว มือข้างนึงของเขาถือสมุดเลคเชอร์ ใส่ชุดนิสิตต่างสถาบัน กระเป๋าสีน้ำตาลอันเล็กๆ คาดผ่านอกซ้ายมายังเอวขวา
พอฉันเลื่อนสายตาพิจารณารูปหน้าขาวเนียน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มแอบดุอยู่ในที และผมสีดำสนิทของเขา โลกของฉันก็หยุดหมุน หัวใจฉันหยุดเต้น คำพูดทุกคำของฉันหยุดตรงที่ลำคอ ร่างกายแข็งทื่ออย่างไม่เชื่อสายตา ความสงบที่เคยมีเริ่มลดลงทีละนิดตามระยะเวลาที่เราสบตากัน
กาลเวลาหมุนไปหลายปี และคราวนี้โชคชะตาเล่นตลกให้ฉันวนกลับมาเจอคนตรงหน้าอีกครั้ง เขากระตุกยิ้มเหมือนรู้ทันว่าฉันเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
พอฉันเจอกับเขาทีไร ฉันก็ตกอยู่ในสถานะเดียวกับไอ้แว่น คือพยายามแค่ไหน ก็เป็นแค่คนที่ไม่ใช่อยู่ดี
“อ้าว นนท์” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงปกติและพยายามจะยิ้มให้ แม้จิตใจเริ่มจะไม่ปกติเหมือนน้ำเสียงแล้ว เขาทำให้สมองของฉันว่างเปล่า และลืมแม้กระทั่งการเสแสร้งออกตัวเป็นห่วงแพลน
มันอาจจะเป็นเพราะว่าคนตรงหน้าเคยเป็นผู้ชายที่ฉันรักมาก มากจนยอมให้ได้ทุกอย่าง
แม้กระทั่งความบริสุทธิ์ของตัวเอง