“โอ๊ย!” จางอ้ายเหรินยกมือขึ้นกุมขมับก่อนจะทุบเบา ๆ ไปสองสามทีเพื่อหยุดภาพในหัวเหล่านั้น เพราะมันกำลังทำให้นางรู้สึกอยากอาเจียน แต่แล้วภาพทั้งหมดก็ตัดไป และอาการเหล่านั้นก็อันตรธานหายไปด้วย
“นี่ยามใดแล้ว” ข้างนอกยังคงมืดมิด จางอ้ายเหรินไม่รู้ว่าเป็นเวลาใด
“ยามโฉ่วแล้วเพคะ” (ช่วงเวลา 01:00 – 02:59)
“กุ้ยเฟยทรงพักผ่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันจะแอบลอบไปที่ตำหนักฮองเฮา เพื่อทูลขอโอสถมาให้ หากโชคดี ฮองเฮาอาจทรงเมตตาช่วยทูลขอฮ่องเต้ให้ละเว้นโทษท่านด้วย” พูดจบฉีฉี่ก็เดินออกไป
จางอ้ายเหรินรอจนเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายเงียบหายไป ก่อนจะประคองตัวเองลงมาจากเตียง ก้มลงมองชุดสีขาวกรุยกรายที่ตนเองสวมอยู่ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หันมองไปรอบ ๆ ที่มุมหนึ่งของห้องมีที่นอนชุดหนึ่งและห่อผ้า นางเดินไปดูใกล้ ๆ น่าจะเป็นของฉี่ฉี นางรื้อค้นจนได้ชุดนางกำนัลมาชุดหนึ่ง
เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ จางอ้ายเหรินจึงย่องออกมาจากห้อง ที่หน้าประตูมีนางกำนัลร่างใหญ่นั่งสัปหงกอยู่เพียงลำพัง ไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ หายไปไหนกันหมด หรือเพราะข่าวที่หลินกุ้ยเฟยเสียชีวิตแล้ว จึงไม่มีเวรยามมาคอยเฝ้าเหมือนเคย
ร่างอรชรในชุดสีหม่นของนางกำนัลวิ่งฝ่าดงหญ้ารกชัฏไร้ทิศทาง เมื่อวิ่งมาจนถึงทางแยกก็มองเห็นแสงไฟสว่างไสวอยู่ไกล ๆ ขณะที่อีกทางหนึ่งนั้นเป็นป่ามืดทึบ บ่งบอกว่าตำหนักเย็นที่นางจากมาเมื่อครู่นี้อยู่ท้ายสุดของวังหลวง
“ดีล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ไปอีกทางก็แล้วกัน”
หากรั้งรออยู่เฉย ๆ คงยากที่จะมีชีวิตรอดในร่างของพระสนม...เรื่องจริงเป็นมาอย่างไรไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนางเลยแม้แต่น้อย
หากออกไปจากที่นี่ได้ก็เพียงแค่ไปตามหาร่างของตนให้เจอ ส่วนจะกลับเข้าร่างเดิมอย่างไรเดี๋ยวค่อยคิดอีกที บางทีท่านผู้เฒ่าจี้ฝางอาจจะมีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องน่าเหลือเชื่อนี้ก็เป็นได้
เมื่อตัดสินใจได้แล้วจางอ้ายเหรินจึงรีบเร่งฝีเท้าเพื่อให้พ้นเขตวังโดยเร็วที่สุด ไม่นานก็พบเข้ากับแม่น้ำสายใหญ่ทอดยาวสุดสายตาหายเข้าไปในความมืดของตีนเขา คนที่เพิ่งผ่านความเป็นความตายทางน้ำมาพลันใจกระตุกวาบ เกิดความกลัวขึ้นมาทันที
ความรู้สึกที่กำลังจะขาดใจตายยังคงชัดเจนอยู่ในหัว
ระหว่างที่จางอ้ายเหรินกำลังตกลงกับตัวเองว่าจะเอาอย่างไรต่อ สายตาก็เหลือบไปเห็นดวงไฟเล็ก ๆ สีเหลืองนวลของเรือลำใหญ่อยู่ไกล ๆ ดวงหน้าขาวซีดจึงเผยรอยยิ้มออกมาราวกับพบทางรอด แม้ไม่รู้ว่าเรือลำนี้จะไปที่ใด ขอเพียงแค่ให้หนีออกไปพ้นเขตวังได้ก็เป็นพอ
หากตอนนั้นไม่ได้เสียใจจนดื่มสุราเมาไม่ได้สติ นางก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
คงจะได้นอนบนพื้นฟางแข็ง ๆ ตั้งแต่หัวค่ำ ตื่นแต่เช้าออกไปเลี้ยงม้า กินข้าวกับหมา ช่างเป็นชีวิตที่เรียบง่ายแต่สบายใจ ติดตรงที่ผ่านมานางอาจจะใช้ชีวิตโลดโผนโจนทะยานเกินไป เลยทำให้ชีวิตน้อย ๆ นี้ต้องมารับไม้ต่อชะตากรรมที่ไม่อาจเลี่ยงได้
นางลัดเลาะไปตามริมน้ำ หาทางที่จะเข้าใกล้เรือใหญ่ลำนั้น ในใจคิดอยู่ตลอดว่ามันเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้นางหนีรอดออกไปจากวังหลวงแห่งนี้ได้
ที่ริมฝั่ง มีเรือลำน้อยผุพังที่ใกล้จะจมอยู่ลำหนึ่ง มีน้ำขังอยู่ครึ่งลำ นางไม่รอช้า หาภาชนะมาวิดน้ำออกจากเรือลำน้อยนี้ ไม่ได้หวังว่ามันจะไปไหนได้ไกล แค่พานางไปถึงเรือใหญ่ลำนั้นก็พอ แค่ไม่ต้องลงไปอยู่ในน้ำก็ดีมากแล้ว
นางวิดน้ำออกจากเรือน้อยจนตัวเปียกไปหมด ก่อนจะก้าวเท้าลงไป ไม่มีไม้พาย นางจึงใช้สองมือวักน้ำไปเรื่อยๆ เรือน้อยค่อยๆ เคลื่อนที่ไปใกล้เรือใหญ่นั้นเงียบๆ
เมื่อมาถึงเรือใหญ่ นางจึงพบว่าเรือลำนี้แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเรือขนส่งสินค้าอย่างที่คิด แต่กลับเป็นเรือโดยสารที่จอดนิ่ง ๆ เพียงเท่านั้น
เหตุใดจึงไม่จอดเทียบท่ากัน จางอ้ายเหรินคิดในใจพลางชะเง้อมองหาคน เห็นทางโล่งจึงรีบแอบปีนขึ้นเรือทันที เสียงไม้ลั่นทำเอาหัวใจของนางไหววาบ รีบหมอบหลบกลัวคนบนเรือจะล่วงรู้ เหลียวไปมาจึงพบว่าผู้ที่เฝ้าอยู่ต่างนั่งหลับคอพับ กลิ่นสุราฉุนลอยมากระทบจมูก
ร่างอรชรค่อย ๆ ย่องเข้าไปด้านในที่มีแสงไฟสลัวอยู่ไม่กี่ดวง โชคดีที่คนบนเรือนั้นหลับกันไปหมดแล้ว ก่อนจะตะลึงตาค้างกับความหรูหรางดงามภายใน ข้าวของเครื่องใช้ล้ำค่าตรงหน้า คนเคยเลี้ยงแต่ม้า อยู่แต่ในไร่ ไม่เคยพบเจอกับความหรูหราเช่นนี้มาก่อนหยุดยืนมอง ใกล้กันนั้นยังมีสาวงามแต่งกายด้วยชุดวับ ๆ แวม ๆ หลากสีนอนสลบเหมือดอยู่บนพื้นหลายคน
ดูท่าเจ้าของเรือผู้นี้คงจะเป็นพ่อค้าเศรษฐีเจ้าสำราญ จึงได้ชอบเสพนารีเป็นงานอดิเรกจนต้องมีติดเรือเอาไว้เช่นนี้
นางละเกลียดบุรุษเช่นนี้เสียจริง
“เข้าไปหลบที่ห้องเจ้าของเรือก็แล้วกัน มีนารีเยอะเช่นนี้คงจำไม่ได้หรอกว่าใครเป็นใคร”
ว่าแล้วร่างเปียกโชกก็แอบย่องเข้าไปหลังฉากกั้นสีทองทางด้านในสุด พบบุรุษผู้หนึ่งกำลังนอนคุดคู้อยู่ภายใต้ผ้าห่ม เขานอนหันหลังให้นาง จึงเห็นเพียงแผ่นหลังกำยำสมชายชาตรีเท่านั้น
ดวงตากลมสวยมองหาที่เร้นกายเพื่อจะได้ผ่านค่ำคืนนี้ไปอย่างปลอดภัย ก่อนจะเหลือบไปเห็นหีบไม้ขนาดใหญ่ใบหนึ่ง คาดว่าคงพอดีกับตัวนาง คิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงแอบย่องไปให้เบาที่สุด ทว่าเสียงพื้นไม้บนเรือกลับดังเอี๊ยดอ๊าดตามฝีเท้า ปลุกชายที่กำลังเมามายให้ตื่นขึ้นและปรี่เข้าไปประชิดตัวจางอ้ายเหรินได้ทันที
“ว้าย!”
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
“…”
“ข้าถาม เจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
น้ำเสียงเข้มที่แหบพร่าในลำคอทำเอาจางอ้ายเหรินหวั่นใจ และเมื่อหันไปสบตากับเจ้าของเสียงนั้นก็ได้รู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่พ่อค้าธรรมดาเป็นแน่ หรือว่าเขาจะเป็น...
“ข้า เอ่อ หม่อมฉัน...”
กลิ่นสุราลอยออกมาจากตัวบุรุษที่ยังคงคิดว่าตนนั้นกำลังตกอยู่ในห้วงความฝัน จึงได้เผลอพูดสิ่งที่คิดไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ดวงตาคมจ้องมองสตรีเบื้องหน้าอย่างลึกซึ้ง แฝงความเจ็บปวด “เยว่ซิน เจ้าเคยรักข้าบ้างหรือไม่”
“ท่านพูดเรื่องอะไร”
“ข้ารักเจ้ามาตลอดสิบกว่าปีไม่เคยแปรเปลี่ยน เจ้าเคย...รักข้าบ้างหรือไม่”
รักหนึ่งตราตรึงจิต หลงใหลในความรัก จึงมัวเมาแผดเผาตน