เสียงทะเลาะวิวาทจากห้องบรรทมดังลั่น จนเหล่าทหารองครักษ์และขันทีมู่ต่างมองหน้ากันไปมาราวกับชั่งใจว่าควรจะเข้าไปห้ามดีหรือไม่ เกรงว่าหากเข้าไปอาจเห็นพระสนมในสภาพที่ไม่สมควรมองสักเท่าไร แม้ก่อนหน้านี้ขณะที่พวกเขาเข้ามาทำความสะอาดจะบังเอิญได้เห็นภาพฮ่องเต้กำลังบรรทมกอดพระสนมที่มีข่าวว่าสิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ตาม ทำเอารีบออกจากห้องบรรทมไปแทบไม่ทัน
“เจ้าอย่าท้าข้านะ”
“อย่างไรเสียฝ่าบาทก็จะสั่งประหารหม่อมฉันอยู่แล้วนี่เพคะ จะรออะไรเล่า ฆ่าเมียตัวเองด้วยมือของตัวเองให้มันจบเรื่องจบราวไปเสียสิ”
จางอ้ายเหรินพูดจบก็อยากยกมือขึ้นมาเขกหัวตัวเองที่เผลอปากไว หากฮ่องเต้ตัดสินใจคว้าดาบมาบั่นคอนางจริง ๆ จะทำอย่างไร
“ปากเจ้านี่ไม่น่าเอาไว้เลย ใครอยู่ข้างนอกบ้าง...”
“เจิ้งไท่เฟยเสด็จ!!” เสียงเล็ก ๆ ของขันทีดังขึ้นจากด้านนอกเรือ ส่งผลให้ฮ่องเต้ที่เมื่อครู่ยังปั้นหน้าเสือโกรธหลิวกุ้ยเฟยถึงกับหน้าถอดสีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“กลับไปนอนลงบนเตียง”
“เพคะ?”
หยางมู่เฉินไม่พูดมาก รีบพาตัวหลิวเยว่ซินกลับไปนอนลงบนเตียงอีกครั้ง ก่อนจะโอบกอดร่างบางไว้แน่น ใช้ร่างกายกำยำบดบังหญิงสาวจากผู้ที่ไม่ได้รับเชิญเอาไว้
“ฮ่องเต้ทรงพระสำราญเสียจริงนะเพคะ” หญิงชราที่เพิ่งเดินเข้ามากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก หลังเห็นภาพหยางมู่เฉินนอนกอดสตรีนางหนึ่งอยู่บนเตียงทั้งที่ตะวันสายโด่งขนาดนี้แล้ว
“ไท่เฟยมาหาเจิ้นแต่เช้า มีธุระอันใด” หยางมู่เฉินถามพลางกระชับกอดร่างเปลือยเปล่าที่มีผ้าห่มห่อหุ้มเอาไว้แน่น หวั่นใจลึก ๆ ว่าจะถูกจับได้เรื่องที่สตรีผู้นี้คือพระสนมตำหนักเย็นที่ถูกลงโทษด้วยข้อหาลักลอบเล่นชู้กับชินอ๋อง หยางอู่เฉิน
“หม่อมฉันไม่ได้มีธุระอันใด เพียงแต่...มีคนพูดให้หม่อมฉันได้ยินว่าหลิวกุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์ไปแล้ว เลยอยากจะมาถามพระองค์ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี”
เจิ้งไท่เฟยผู้นี้คอยเที่ยวจัดการเรื่องในวังหลังไปทั่วราวกับเป็นไทเฮา หากเสด็จแม่ของหยางมู่เฉินยังมีพระชนม์ชีพอยู่คงไม่ต้องถึงมือของคนตระกูลเจิ้งเป็นแน่ และเขาเองคงไม่ต้องแต่งตั้งฮองเฮาและรับสนมเข้ามามากมายถึงเพียงนี้
สตรียิ่งมากก็ยิ่งวุ่นวาย วังหลังนี้นอกจากฮองเฮาแล้ว เขาก็ไม่เคยไว้ใจผู้ใดได้อีกเลย
“เรื่องส่วนตัวของเจิ้น เจิ้นจัดการเองได้ ไม่ต้องเดือดร้อนเจิ้งไท่เฟยมาเป็นธุระจัดการให้เหนื่อยหรอก”
“แต่หลิวกุ้ยเฟยผู้นี้มีโทษติดตัว หม่อมฉันเกรงว่า...”
“ไท่เฟยไปดูแลชินอ๋องเถิด ต่อไปจะได้ไม่ต้องเที่ยวไปเป็นชู้กับเมียของผู้ใดอีก”
“นี่! ท่าน ถึงหม่อมฉันจะไม่ใช่มารดาแท้ ๆ แต่หม่อมฉันก็เลี้ยงพระองค์มากับมือนะเพคะ”
“ทหาร!!” เพียงแค่หยางมู่เฉินเอ่ยปาก ทหารหลายนายก็กรูกันเข้ามาภายในห้อง ทุกคนต่างพร้อมใจกันปิดปากเงียบ ทั้งที่รู้ว่าสตรีด้านในนั้นเป็นใคร หากฮ่องเต้ไม่ได้มีรับสั่ง พวกเขาก็มิอาจทำเกินหน้าที่ได้ “ส่งไท่เฟยเจิ้งหนิงฮวากลับตำหนัก เจิ้นจะพักผ่อนแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อสิ้นคำของฮ่องเต้ ใครก็มิอาจขัดได้ แม้แต่ไท่เฟยเจิ้งหนิงฮวา กุ้ยเฟยของฮ่องเต้องค์ก่อน ที่คอยดันหลังเจิ้งหนิงเอ๋อให้เข้ามาเป็นสนมอีกคนของหยางมู่เฉิน ด้วยเหตุผลที่ว่า หากจะแต่งตั้งหลิวเยว่ซินจากตระกูลหลิวเป็นพระสนม ก็ควรแต่งตั้งพระสนมจากตระกูลเจิ้งด้วย เนื่องด้วยอำนาจในวังมิอาจเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่งได้ เช่นนั้นหยางมู่เฉินจึงจำใจยอมรับกฎบ้าบอนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลังจากที่เรือเล็กของไท่เฟยเฒ่าพายออกไปจนพ้นสายตาแล้ว มังกรหนุ่มจึงได้ผละออกจากหญิงสาวที่อยู่ในผ้าห่ม
“เจ้ารีบเปลี่ยนชุดเสีย เจิ้นจะไปรอด้านนอก” พูดจบหยางมู่เฉินก็เดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้หลิวกุ้ยเฟยได้เปลี่ยนชุดที่องครักษ์ไปขอจากฉีฉี่มาเมื่อเช้า
“กุ้ยเฟยเพคะ!” เมื่อเรือเทียบท่า ฉีฉี่ที่รู้ข่าวว่านายของตนอยู่กับฮ่องเต้บนเรือจากองครักษ์ประจำพระองค์ก็ตามมารอรับกลับตำหนัก
ทันทีที่ฉีฉี่รับหลิวกุ้ยเฟยลงมาจากเรือก็พบว่าร่างกายของคนเป็นนายดูรุม ๆ อีกทั้งใบหน้ายังซีดเผือดจนอดเป็นห่วงไม่ได้ “ทรงพระประชวรอีกหรือเปล่าเพคะ ตัวร้อนเชียว”
“เปล่า” จางอ้ายเหรินตอบกลับ แต่ใบหน้ายังคงซีดเผือดไร้สีสัน เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดพรายขึ้นตามกรอบหน้าจนเปียกชุ่ม
“เช่นนั้นกลับตำหนักหม่อมฉันจะต้มโอสถที่ฮองเฮาประทานมาให้เสวยนะเพคะ เดินไหวใช่ไหมเพคะ”
“อืม รีบไปกันเถอะ” จางอ้ายเหรินตอบ พลันเหลือบไปเห็นคนใจร้ายที่ไม่แม้แต่จะเดินไปส่งนางที่ตำหนัก
“ใจดำ”
ฉีฉี่พยักหน้ารับ เพราะอยู่ด้านนอก นางจึงไม่กล้าเอ่ยอะไรเช่นคราวก่อน แล้วทำได้เพียงประคองนายหญิงของตนเดินกะเผลกกลับตำหนักไปอย่างเงียบ ๆ