บทที่ ๒ : เจ้าฟื้นแล้ว

3331 Words
หมายเหตุ นักเขียน นิยายเรื่องนี้ผู้เขียนได้แต่งขึ้นมาจากจินตนาการของตนเอง ไม่อิงประวัติศาสตร์ หลักความเป็นจริง สถานที่ ขนบธรรมเนียมประเพณี และตัวละครไม่มีอยู่จริง รวมถึงมีฉากอีโรติกรวมอยู่ด้วย วอนผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน นิยายเรื่องนี้เหมาะกับผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้วเท่านั้น (อายุ 18 ปี ขึ้นไป) และใช้คำราชาศัพท์เพียงบางส่วนเท่านั้น เนื่องจากหากใช้ฉบับเต็มรูปแบบอาจจะส่งผลให้ผู้อ่านรู้สึกติดขัด และเข้าใจยาก หรือน่ารำคาญจนเกินไป ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวนักเขียนเองยินดีรับฟังข้อเสนอแนะ คำติ หรือคำชมเพื่อปรับปรุงแก้ไขในผลงานเล่มต่อไป [พื้นที่เพื่อความบันเทิง ละเว้นดราม่ากันนะคะทุกคน] ----- ๒ เจ้าฟื้นแล้ว "หะ! ธะ เธอว่าไงนะ" เว่ยหยันขมวดคิ้วเป็นปม นางรู้สึกว่าคุณหนูของนางนั้นไม่เหมือนเดิมเลยสักนิด เหตุการณ์ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไรนางรู้เรื่องทุกอย่างดี หรือว่าคุณหนูของนางจะเศร้าโศกาจนทำให้นิสัยบางอย่างของนางแปลกไป เดิมทีคุณหนูเป่าเป้ยเป็นสตรีเรียบร้อยน่ารักพูดน้อย รอบรู้ไปด้วยเรื่องดนตรี หมากรุก พู่กัน วาดภาพ เย็บปัก แต่คุณหนูเป่าเป้ยที่อยู่ตรงหน้านางในขณะนี้มีกิริยาที่แตกต่าง แววตาไร้ซึ่งความกลัวมีแต่ความสับสนและตกใจอยู่เนืองๆ กิริยาที่ไร้การสำรวมไม่เหมือนคุณหนูของนางที่มีกิริยาเรียบร้อยสำรวมอยู่แทบจะตลอดเวลา "วะ วันนี้คุณหนูจะต้องแต่งงาน ไม่สิ อภิเษกกับองค์รัชทายาทแล้วนะเจ้าคะ" เว่ยหยันพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำนางยังสังเกตคุณหนูของนางอยู่เช่นเดิม ก่อนหน้านี้แท้จริงแล้วผู้ที่จะต้องแต่งงานกับองค์รัชทายาทจอมโหดผู้นั้นเป็นญาติผู้พี่ของคุณหนูเป่าเป้ย แต่ไม่รู้ว่านางผู้นั้นไปพูดอย่างไรกับนายท่าน จึงได้แปรเปลี่ยนเป็นคุณหนูผู้อ่อนหวานของเว่ยหยันที่ถูกรังแกง่าย เมื่อคุณหนูทราบว่านางจะต้องแต่งงานกับผู้ที่นางไม่ได้มีใจให้ นางก็เอาแต่ร่ำไห้เพราะนางเป็นคนขี้กลัว ข่าวขององค์รัชทายาทแพร่ออกมาก็ใช่ว่าจะเป็นข่าวธรรมดา นางทราบมาว่าพระองค์ทรงโหดเหี้ยม ฆ่าสนมที่ปรนนิบัติไม่ถูกใจไปหลายนาง ไหนจะเรื่องที่ใครทำให้พระองค์ไม่พอใจก็จะถูกดาบคู่พระวรกายของพระองค์ฟาดฟันลงที่ลำคอจนสิ้นใจ ไหนจะข่าวที่ว่าพระองค์มีพระสนมในปกครองอยู่แล้วนับรวมได้ถึงหนึ่งพันห้าร้อยคน บางทีนางเองก็แปลกใจเหตุไฉนนายท่านจึงได้ทรงอนุญาตให้บุตรสาวคนเล็กอภิเษกกับพระองค์ทั้งๆ ที่บุตรสาวคนโตเป็นเพียงบุตรสาวที่ติดมารดาของเธอมา และมารดาของเธอก็เป็นเพียงแค่อนุภรรยาของนายท่านต่างกับคุณหนูของนางที่เป็นลูกภรรยาเอกที่ได้เชิดหน้าชูตา "ฉันไม่ ไม่สิ" ทำไมเธอถึงพูดอะไรไม่ออกเลยนะ มันงงไปหมดเลยมันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นนะเนี่ย เป่าเป้ยกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง ก่อนจะเห็นความแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด เป่าเป้ยค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นยืนเธอกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องที่เธออยู่ มันเหมือนกับอยู่ในหนังจีนโบราณที่เธอเคยดู เธอหันกลับไปด้านหลังเห็นเป็นเตียงสี่เสาขนาดใหญ่ยกจากพื้นขึ้นมานิดหน่อย ที่เตียงนี้ประดับด้วยผ้าหรือมุ้ง หรืออะไรสักอย่างเธอไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่มันค่อนข้างสวยมากเลยทีเดียว พื้นที่เธอเหยียบเป็นพื้นไม้ขัดมันเงาสีเข้ม เธอมองไปที่หญิงสาวที่นั่งเงยหน้ามองเธอคล้ายกับกำลังสงสัยอะไรบางอย่างในตัวเธอ หญิงสาวคนนี้ใส่เสื้อผ้าแปลกๆ เป็นชุดคนจีนโบราณแต่ไม่เก่า ไม่ขาด ดูสะอาดเรียบร้อย เป่าเป้ยเดินออกมาจากที่เตียงนั้นอีกนิดหน่อยในห้องที่เธออยู่ตอนนี้มีฉากกั้นเป็นสัดส่วนเธอรู้สึกแปลกตาและพูดอะไรออกมาไม่ออกเธอก้มมองดูร่างกายของตัวเองที่เห็นว่าเธอใส่เสื้อผ้าแปลกๆ ที่เธอก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเรียกว่าอะไร "คุณหนู" "เธอ…" ใบหน้าสวยยังมองไปทั่วห้องกว้างที่ไม่คุ้นเคย เว่ยหยันที่เห็นคุณหนูของนางเป็นเช่นนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาจับมือของคุณหนูของนางเอาไว้ เมื่อก่อนหากยามที่มีเรื่องไม่สบายใจนางก็จะเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของคุณหนูที่จะมาพึ่งพิง "ชะตาฟ้ากำหนด คุณหนูอย่าเสียใจไปเลยนะเจ้าคะ" "ข้า ข้าจะขอติดตามรับใช้คุณหนูไปทุกชาติ หากองค์รัชทายาทชั่วนั่นทำร้ายคุณหนูของข้า ข้าก็จะจัดการฆ่ามันเพื่อคุณหนูเองเจ้าค่ะ" เล่นใหญ่ไปไหมเว่ยหยันเอ๋ย เธอทะลุมิติมาเหรอ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้จริงเหรอ แล้วตัวเธอก่อนที่จะมาตายแล้วเหรอ หรือนอนเป็นผักอยู่ที่ไหน เป่าเป้ยจับมือของเว่ยหยันตอบกลับราวกับว่าที่นี่เธอน่าจะมีเว่ยหยันเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวแล้วมั้ง "อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะไปเรียนนายท่านว่าคุณหนูฟื้นแล้ว" เว่ยหยันเดินเข้าไปในอีกส่วนของห้องที่มีฉากกั้นเอาไว้ เป่าเป้ยเดินออกไปที่ประตู ประตูที่นี่แปลกๆ เป็นแบบสองบานมีห่วงทั้งสองบานและมีเหล็กหรืออะไรสักอย่างคล้องที่ห่วงนั้นเอาไว้ เธอเปิดประตูมองออกไปด้านนอก เป็นทางเดินกว้างขวางแต่ค่อนข้างเงียบ "คุณหนู อย่าเดินออกไปแบบนั้นสิเจ้าคะ" "ทำไมละ" "คุณหนูยังอยู่ในชุดนอนอยู่เลยนะเจ้าคะ" คุณหนูของนางไม่หนาวบ้างหรือ ใส่เพียงแค่ชุดกระโปรงแพรเนื้อบางเพียงเท่านั้น ปกติแล้วคุณหนูของนางจะต้องหาใส่เสื้อคลุมแพรสีเดียวกันมาปกปิดเรือนร่างของนางเนื่องด้วยเป็นคนขี้อายยิ่ง ทว่าคุณหนูที่อยู่ตรงหน้านาง คนนี้กลับไร้ความรู้สึกเขินอายเหมือนอย่างที่เคยเป็น "หนาวหรือไม่เจ้าคะ" "ไม่" "ข้าเตรียมน้ำไว้ให้คุณหนูอาบแล้วนะเจ้าคะ" "อ่อ ต้องไปที่ไหน" เว่ยหยันผายมือไปตรงหลังฉากในมุมหนึ่ง ก่อนที่จะเดินออกมาปิดประตูเสีย นางนั่งรอคุณหนูของนางอยู่เพียงชั่วครู่พลันนึกขึ้นมาได้ว่าต้องรีบไปบอกนายท่านว่าคุณหนูของนางฟื้นแล้ว เว่ยหยันเดินออกไปจากห้องของเป่าเป้ยแล้วเดินด้วยความรวดเร็วด้วยท่าทางสำรวมตามที่เป่าเป้ยได้เคยสั่งสอนนางไว้ เดินออกจากเรือนเล็กฝั่งซ้ายอ้อมไปที่ด้านหลังเดินตรงไปอีกสักครู่ก็ถึงทางเข้าด้านหน้าของเรือนใหญ่ ภายในเรือนค่อนข้างเงียบเชียบเว่ยหยันเดินเข้าไปอย่างผู้ที่รู้อยู่แล้วว่านายท่านจะพำนักอยู่ที่ใดเป็นประจำในช่วงนี้ ห้องเคารพบรรพบุรุษ "นายท่านเจ้าคะ คุณหนูเป่าเป้ยฟื้นแล้วเจ้าค่ะ" ไป๋ เจียวจิ้น มีศักดิ์เป็นไท่ฝูขององค์รัชทายาท และยังเป็นบิดาของเป่าเป้ยที่รักใคร่บุตรสาวคนเล็กยิ่งนัก ตั้งแต่เกิดเรื่องครานั้นตัวเขาเองก็นอนไม่หลับ ได้แต่ต้องมาสวมมนต์ไหว้ขอพรบรรพบุรุษให้บุตรสาวคนเล็กของตนปลอดภัยหลังจากที่เขาคิด 'ปิดหูขโมยกระดิ่ง' ก็สมดังใจเขาไม่ได้หลอกตนเองอีกต่อไปแล้ว เจียวจิ้นรีบคำนับเคารพป้ายวิญญาณบรรพบุรุษแล้วให้เว่ยหยันรีบนำทางไปไม่ใช่ว่าไปเรือนบุตรสาวคนเล็กไม่ถูกแต่ว่าเจียวจิ้นตื่นเต้นและดีอกดีใจจนทำอะไรไม่ค่อยถูก ยามนั้นยามที่ทราบข่าวว่าบุตรสาวคนเล็กผูกคอฆ่าตัวตายหัวใจของคนเป็นพ่อแทบแหลกสลายกลายเป็นผุยผงเขาให้หมอที่ดีที่สุดมารักษาบุตรสาวของตนแต่หมอต่างๆ ที่มาต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า 'นางสิ้นใจแล้ว' เจียวจิ้นยังรับความจริงข้อนี้ไม่ได้เขาจึงให้เว่ยหยันคอยดูแลบุตรสาวของเขาตลอดเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน และที่ทำให้เขาตัดสินใจเก็บร่างของนางเอาไว้เพราะเว่ยหยันรายงานเขาอยู่เสมอมาว่าร่างกายของคุณหนูของนางนั้นยังอุ่นราวกับคนที่เพียงแค่หลับใหลไม่ได้สิ้นใจแล้วแต่อย่างใด "คุณหนู นายท่านมาหาเจ้าค่ะ" "นายท่าน ใครวะ" เป่าเป้ยนั่งอยู่หน้ากระจกเงาที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะไม้ดูแปลกตา นางยังใส่ชุดเดิมเพราะชุดอื่นๆ นางใส่ไม่เป็น "เธอ" เว่ยหยันยืนอยู่อีกฟากของประตูงงกับสรรพนามใหม่ที่คุณหนูของนางกล่าวออกมา "เธอ ที่อยู่ข้างนอกน่ะ เข้ามาหาฉันหน่อย" "ข้าหรือเจ้าคะ" "ใช่ เธอนั่นแหละ" เว่ยหยันหันไปย่อตัวลงเล็กน้อยให้นายท่านแล้วเปิดประตูเข้ามาก่อนจะปิดอย่างแผ่วเบา "คุณหนู เหตุไฉนถึงใส่ชุดเดิมเล่าเจ้าคะ" "แต่งตัวให้ฉันหน่อย" เว่ยหยันพานางไปที่ด้านหลังฉากที่อาบน้ำ เสื้อผ้าของนางพาดเอาไว้ที่บนฉากนางเห็นแล้ว แต่ใส่ไม่เป็นเลยเลือกที่จะไม่ใส่ "กางแขนเจ้าค่ะ" เป่าเป้ยทำตามอย่างว่าง่าย มองหญิงสาวนางนี้ดูแล้วหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม อายุอานามน่าจะน้อยกว่าเธออยู่สักหน่อยเว่ยหยันหยิบเอี๊ยมสีชมพูอ่อนมาสวมใส่ให้กับนาง ตามมาด้วยกระโปรงผ้าแพรยาวคลุมถึงข้อเท้า และเสื้อคลุมผ้าแพรสีเดียวกัน พันทับกันตามด้วยผ้าคาดเอวผูกด้านหลังอย่างแน่นหนา สนุกดีเหมือนกัน ได้แต่งตัวสวยๆ ด้วย เป่าเป้ยคิดสนุก แต่ก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกันไหนว่าวันนี้เธอจะต้องแต่งงานไง แต่ทำไมทุกอย่างดูไม่ครึกครื้นเอาเสียเลย "ไหนว่าวันนี้ฉันต้องแต่งงานไง นี่ชุดแต่งงานเหรอ" ที่นางเคยอ่านหรือดูมาในซีรีส์นี่ไม่ใช่ชุดแต่งงานสักหน่อย เว่ยหยัน ชะงักนิดหน่อย เพราะว่าคุณหนูของนางไม่ได้อยากจะแต่งงานจนถึงขั้นคิดสั้น แต่เหตุใดนางจึงดูกระตือรือร้นเช่นนี้ "เอ่อ… เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ออกไปต้อนรับนายท่านก่อนนะเจ้าค่ะ" "ก็ได้ ว่าแต่นายท่านนี่เป็น…" แอ๊ด~ บานประตูถูกเปิดออกมาพร้อมกับการปรากฏกายของชายชราที่มีหนวดเคราขาวและยาวเฟิ้ม ยืนอยู่หน้าห้องของนางในชุดสีน้ำเงิน ชายชราผู้นี้มัดผมแค่ครึ่งศีรษะมองนางมาด้วยท่าทางใจดี และดีใจ เดินเข้ามาในห้องของนางนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ที่อยู่ด้านในห้องของนาง เป่าเป้ยไม่รู้ว่าชายชราผู้นี้เป็นใคร แต่ทันทีที่ชายชราผู้นี้นั่งลงที่เก้าอี้ไม้หันมาจ้องมองที่ดวงตาของเธอด้วยความคิดถึงบุตรสาวผู้เป็นที่รักยิ่งดังแก้วตาดวงใจ "เจ้า" "เจ้าฟื้นแล้วจริงๆ เป้ยเป้ยของข้า" เป้ยเป้ย? ชายชราผู้นี้เป็นบิดาของนาง แท้จริงแล้วมีความผูกพันกับบุตรสาวคนเล็กเป็นอย่างมากแต่เสียเพียงอย่างเดียวที่เป็นคนหูเบาเชื่อคำลวงของลูกติดอนุภรรยา นางผู้นั้นกล่าวว่าองค์รัชทายาทกับบุตรสาวคนเล็กของตนมีสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยกันแล้วทำให้เขาต้องส่งนางออกเรือนไปสิ้น แม้ใจจริงจะไม่ได้อยากส่งนางไปพบโชคร้ายเช่นนั้น แต่ในขณะเดียวกันเจียวจิ้นก็สังเกตองค์รัชทายาทอยู่เช่นกันว่าเจ็ดวันให้หลังมานี้พระองค์ทรงเปลี่ยนไปราวกับคนละคน เรียกนางเช่นนั้น นางก็คงต้องตามน้ำไปก่อน หากได้ตื่นฟื้นขึ้นมาอีกคราอยู่ในชาติปัจจุบัน ก็คงจะดียิ่งอยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้นางต้องหันหางเสือตามลมเสียก่อน "คุณพ่อ เอ๊ย" คิดสิ คิดสิเป่าเป้ย ในนิยายที่เคยอ่าน ในซีรีส์ที่เคยดู เรียกกันว่าอะไร อ่อ! "ทะ ท่านพ่อ" เป่าเป้ยวิ่งเข้าไปสวมกอดชายชรา ทว่าเป็นที่แปลกใจแก่ชายชรายิ่ง เพราะเพลาปกติแล้วไซร้เป่าเป้ยมักจะไม่สวมกอดเขาเช่นนี้ นางเป็นสตรีที่สำรวมกิริยาอย่างมาก อาจจะเพราะนางพึงคิดได้กระมังว่าเขาก็เป็นบิดา เหตุที่นางสำรวมกับเขามากขึ้นเป็นเพราะเขารับอนุภรรยาเข้ามาในบ้านหนึ่งคนทำให้นางที่มีนิสัยหวงบิดายิ่ง ไม่พึงพอใจ และเว้นระยะห่างกับเขานับตั้งแต่นั้นมา "เป้ยเป้ย เจ้าฟื้นแล้ว พี่หญิงดีใจยิ่ง" ใครอีกวะ "ข้าก็ดีใจ เจ้าปลอดภัยแล้ว" ใครมาอี๊กกก! อนุภรรยาของนายท่านมิใช่คนไม่ดี นางเป็นคนอ่อนโยนยิ่งเว่ยหยันเข้าใจอยู่แต่บุตรสาวของนางหาได้เป็นเช่นนางไม่ บุตรสาวของนางมีนิสัยร้ายกาจยิ่ง ขี้อิจฉาริษยา และคล้ายกับว่าตัวนางเองจะปรามบุตรสาวของนางไม่ได้ "ท่านแม่" ร้อยวันพันปี ไป๋ เป่าเป้ย ไม่เคยเรียกนางเช่นนี้ ตื่นขึ้นมาคราวนี้คงมีอะไรดีๆ มากมาย ฟู่ เฟยฉีอาจจะรู้สึกว่าตัวนางเองน่าเคารพขึ้นมาบ้างแล้ว นางปลื้มใจยิ่ง ประทับใจยิ่งจนอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา "เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง" "ฉัน" ไม่ใช่สินะ "หนู" เหลือบสายตามองสีหน้าที่แปลกใจของคนทั้งคู่ก็ทราบได้ด้วยตนเองว่าสิ่งที่พูดออกไปมันไม่ใช่ มันไม่ถูกต้อง "ข… ข้า" เปล่งเสียงออกไปแล้วค่อยๆ หันกลับมาเหลือบมองสาวใช้ที่ถือว่าเป็นตัวช่วยให้นางได้เป็นอย่างดี เว่ยหยันพยักหน้าเล็กน้อยแล้วอมยิ้มอย่างสำรวม ก่อนที่นางจะหันกลับมากล่าวกับบิดามารดา "ข้าสบายดี" "สบายดี? หมายถึงไม่เป็นไรแล้วใช่หรือไม่" เอาแล้วไง! "ใช่ค่ะ" สีหน้าแปลกใจของคนทั้งคู่แสดงออกมาให้เห็นอีกจนได้ เป่าเป้ยทำเช่นเดิมรอบนี้นางพยายามอ่านปากของเว่ยหยัน "ชะ ใช่เจ้าค่ะ" "ท่านพ่อ ข้าไม่ต้องแต่งงานแล้วเหรอคะ" "เจ้าพูดช้าลงหน่อย ข้าฟังไม่ทัน" แปลก น่าแปลกยิ่งที่บุตรสาวคนเล็กมีกิริยาแปลกไปแววตาของนางดูซุกซนและสับสนต่างจากเป่าเป้ยก่อนที่จะหลับไปสิ้น เป่าเป้ยนางนั้นแววตาว่างเปล่าไร้ความสุข และนิ่งเงียบ "ข้า ไม่ต้องแต่งงานแล้วใช่หรือไม่" "ไม่ใช่" "อะ อ้าว" "เพียงแค่เลื่อนออกไปก่อน ไหนเจ้าลุกขึ้นสิให้ข้าดูหน่อยเป็นไรเจ้าสบายดีอย่างที่พูดหรือไม่" ใช้เวลาอยู่ด้วยกันครู่ใหญ่ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกถึงความอบอุ่นจากคนเป็นบิดามารดา เพราะในชาติก่อนบิดามารดาของนางสิ้นแล้วเหลือเพียงนางผู้เดียวที่ต้องกัดฟันสู้สุดใจเพื่อให้มีชีวิตที่ดี หากแต่ในชาตินี้นางได้มีความสุข และได้รับความอบอุ่นเช่นนี้ก็คงจะดีไม่น้อย เอาล่ะระหว่างนี้ ก่อนจะได้กลับไปที่โลกเดิมของตนเองนางก็ขอสนุกกับโลกใหม่สักหน่อยคงไม่เป็นไร "เอาเถอะๆ นอนมานานขนาดนี้เจ้าหิวหรือไม่" ลืมไปเลยมัวแต่งงกับสิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้น เป่าเป้ยพยักหน้าเมื่อพูดถึงนางเริ่มคอแห้งขึ้นมาหน่อยๆ "ข้าหิว ท่านแม่" น่ารักเสียจริงเฟยฉีอนุภรรยาที่บุตรสาวของสามีไม่เคยชอบหน้า แต่ก็ดีที่ไม่เคยมายุ่ง ทำร้าย หรือให้ร้ายให้เธออยู่ไม่สุข เป่าเป้ย ไม่เคยมาออดอ้อนนางเช่นนี้มาก่อน นางอมยิ้มอย่างปลื้มใจกับบุตรสาวคนเล็ก "เจ้ารอสักหน่อย ข้าจะให้เสี่ยวเว่ยไปเอามาให้" เป่าเป้ยยิ้ม ท้องนางร้องจนบิดา กับมารดาต่างก็หัวเราะออกมา ดีใจเสียจริงที่นางฟื้นขึ้นมา ต่อไปนี้ต่อให้นางจะอยากหรือไม่อยากแต่ง และต่อให้ผู้นั้นจะเป็นองค์รัชทายาทหากไม่มีราชโองการมาเจียวจิ้นก็จะตามใจนางให้มากกว่านี้ "หึ เอาหน้า" ฟู่ เฟยหง พี่สาวของนางลูกติดอนุภรรยาพึมพำออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ "ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าจะออกไปเดินเล่น" "ไปเถอะๆ " เจียวจิ้นยังดีใจไม่หายที่บุตรสาวของเขากลับมาดูมีชีวิตชีวากว่าแต่ก่อน แม้จะดูแปลกตาไปบ้างกับกิริยาที่ไม่สำรวมของนางแต่เขากลับมองว่ามันเป็นความสดใสที่นางแอบซ่อนเอาไว้ก่อนหน้านี้ "คุณหนู ข้าเอาเมี่ยนเถียวที่คุณหนูชอบมาให้" "มีอย่างเดียวเหรอ ฉัน… ขะ… ข้า หิวมากเหมือนจะกินช้างม้าได้ทั้งตัว" "ม้า! ไม่ได้นะเจ้าคะคุณหนู" "ฉัน… ข้าแค่เปรียบเทียบ" "อ่อ มีอีกนะเจ้าคะ แต่นายหญิง" เมื่อเห็นว่านายหญิงอนุญาตเว่ยหยันก็รายงานว่ามีของกินอะไรบ้างที่ในครัว แม้สิ่งที่เว่ยหยันพูดมานางจะไม่รู้เลยสักอย่างว่ามันคืออะไรแต่นางก็ฟังเว่ยหยันพูดจนจบ "ข้า เอาหมดเลย" "หา! ท้องแตกได้นะเจ้าคะคุณหนู" "เป็นอะไรไปเล่า ก็ข้าหิว" "แต่" "ไปเอามาเถอะ เป้ยเป้ยของข้าคงจะหิวจริงๆ " "ข้ารักท่านพ่อที่สุด" เดินไปกอดชายชราที่บอกว่าเป็นบิดาตน เหลือบไปเห็นคนที่บอกว่าเป็นมารดาของตนมองแล้วอมยิ้มแววตาของนางมีความสุขมากอย่างเห็นได้ชัดก็เดินเข้าไปสวมกอดนางด้วยอีกคนอย่างออดอ้อน "ท่านแม่ ให้ข้ากินนะ" "หากเจ้าไม่กลัวทรวดทรงเสีย ก็เชิญเถอะ" "ท่านพูดจริง" ท่าทางขี้เล่นของนาง ไม่ใช่แค่คนที่เป็นมารดาเลี้ยงอย่างนางไม่เคยเห็น แต่คนที่เป็นบิดาแท้ๆ ก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน แปลกตา แต่รู้สึกดีมากเหลือเกิน "จริง งั้นเดี๋ยวข้ากลับเรือนก่อน เจ้าจะได้พักผ่อน" "บ๊ายบายย~" นางยกมือขึ้นโบกไร้ความสำรวมสิ้น แต่ไม่เป็นไรนางคงคิดอะไรอะไรได้หลายๆ อย่าง "ข้าก็กลับด้วย เจ้าพักผ่อนมากๆ " "โอเช" "พูดอะไรของเจ้า" "กลับดีๆ นะท่านพ่อ" ประมุขใหญ่ของบ้านและนายหญิงของบ้านออกไปแล้วเหลือเพียงแค่เป่าเป้ยเพียงคนเดียวที่อยู่ที่นี่ เธอนั่งลงพร้อมกับถอนหายใจออกมา ค่อยดีขึ้นมาหน่อยที่งานแต่งของเธอเลื่อนออกไปแล้ว เพราะเธอยังไม่ทันได้เรียนรู้อะไรเลย หากทำให้เจ้าคนนายคนโกรธเข้า หัวเธอคงไม่ได้ตั้งอยู่บนบ่าอีกต่อไป "ผลผิงกั่ว ผลผูเถา ซีกวา พอใจไหมเจ้าคะคุณหนู" "อืม ขอบใจนะเจ้า…" นึกเพียงครู่เหมือนกับว่านางเคยบอกว่านางชื่อเว่ยหยัน แต่เมื่อครู่นางได้ยินท่านแม่เรียกว่าเสี่ยวเว่ยใช่หรือเปล่านะ "เสี่ยวเว่ย" เว่ยหยันเงยหน้าขึ้นมองความแปลกนี้อีกครั้งคุณหนูของนางไม่เคยเรียกนางอย่างนี้เลย ปกติจะเรียกนางว่าเว่ยหยันอยู่ตลอดเวลา เมื่อกินจนอิ่มจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อย เป่าเป้ยก็ออกมาเดินเล่นในเรือนของตนเอง นางอยากรู้ว่าที่นี่เป็นอย่างไร เป็นโลกแบบไหน อยากจะออกไปดูเหลือเกินว่าจะเป็นอย่างที่นางเคยจินตนาการเวลาอ่านนิยาย หรือที่เห็นในซีรีส์หรือเปล่า นางหันไปหาเว่ยหยันแล้วมองซ้ายมองขวา "เสี่ยวเว่ย" "เจ้าคะ" "ข้าอยากออกไปเที่ยว เราออกไปเที่ยวกันนะ" "คุณหนู!" ยกมือขึ้นทาบอกร้อยวันพันปีไม่เคยอยากออกนอกเรือนชาน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD