กานต์พยายามปรับตัวให้เข้ากับบ้านใหม่และพ่อใหม่ให้เร็วที่สุดด้วยไม่ต้องการให้ตัวเองเป็นปัญหาของออสติน แค่อีกฝ่ายเมตตาเขาถึงขนาดนี้ก็นับว่าดีมากพอแล้ว เด็กกำพร้าอย่างเขาไม่ควรทำให้ผู้มีพระคุณต้องหนักใจไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตาม
หลังจากมื้ออาหารเมื่อวาน เด็กหนุ่มขอบคุณเจ้าของบ้าน พูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย ก่อนแยกย้ายกันไปพักผ่อนที่ห้องใครห้องมัน เขาไม่ลืมที่จะตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ ตั้งใจว่าจะรีบตื่นก่อนออสติน อย่างน้อยจะได้แสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาไม่ใช่คนขี้เกียจนอนตื่นสายจนอีกฝ่ายต้องลุกขึ้นมาทำอาหารให้ พูดก็พูด กานต์ตั้งใจจะเป็นฝ่ายทำอาหารให้นั่นแหละ ในหัวก่อนนอนมีเมนูอาหารฝรั่งแบบง่ายๆ ผุดพรายขึ้นมาอยู่สองสามเมนู
ขนมปังปิ้ง ไข่ดาว เบคอนหรือไส้กรอกทอด กับกาแฟ แค่นี้น่าจะเพียงพอ...
ทว่าพอถึงเวลาจริงๆ เขากลับไม่ตื่นตามเวลาที่คาดหวัง เพราะยังไม่คุ้นชินกับเวลาที่ดินแดนแห่งนี้ซึ่งแทบจะสลับกลางวันกลางคืนกับประเทศไทย รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนที่ตะวันโด่งแล้ว
กานต์รีบกระเด้งลงจากเตียงทันทีที่เห็นว่านาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์บอกเวลาเกือบเที่ยง เขารีบวิ่งลงไปด้านล่างก่อนเป็นอันดับแรก ในใจคาดหวังว่าออสตินอาจจะยังไม่ตื่น แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งไขว่ห้างอ่านอะไรบางอย่างในแท็บเล็ตอยู่ที่โซฟาใต้บันได
“ตื่นแล้วเหรอ”
ได้ยินเสียงตึงตัง ออสตินก็ละสายตาจากหน้าจอหันมามอง กานต์พยักหน้ารับ ไม่แน่ใจนักว่าควรจะทำสีหน้าอย่างไรดี วันแรกก็ตื่นสายเสียขนาดนี้ จะโดนดุหรือเปล่านะ
“ล้างหน้าแล้วหรือยัง”
แทนที่จะดุ ออสตินกลับถาม กานต์ซึ่งยังยืนค้างอยู่บนบันไดบ้านส่ายหน้า เท่านั้นก็ถูกไล่
“ไปล้างหน้าแปรงฟันซะ จะได้ลงมากินมื้อเที่ยง อ้อ ไม่สิ มื้อเช้าของเธอสินะ”
เหมือนจะเป็นประโยคหยอกล้อ แต่กลับทำให้คนฟังหน้าม้าน
วันแรกก็ตื่นสายโด่งเสียแล้ว ถึงจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าเป็นเพราะเมื่อวานเขาเดินทางมาไกลเลยทำให้ร่างกายเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ แต่มันก็ยากที่จะเอ่ยปากแก้ตัวออกไปอย่างนั้น
“ไปสิ ฉันจะไปเตรียมอาหารให้”
แล้วความฟุ้งซ่านของกานต์ก็สิ้นสุดลงเมื่อออสตินตัดบทขึ้นมา สุดท้ายแล้วก็เป็นพ่อเลี้ยงของเขาที่เป็นคนทำอาหารให้ กานต์ละอายใจอยู่ไม่น้อยที่ต้องรบกวนเขาถึงขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร รีบวิ่งขึ้นไปข้างบนแล้วจัดการธุระของตัวเองให้เรียบร้อยในเวลาอันสั้น
ไม่นานนักก็กลับลงมาข้างล่างด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ ออสตินเตรียมอาหารเสร็จแล้ว มื้อกลางวันของพวกเขาเป็นอาหารง่ายๆ อย่างแซนด์วิชและสลัดผัก กานต์ไม่ค่อยชอบกินอาหารฝรั่งพวกนี้หรอก เขาชอบกินอาหารไทยมากกว่า แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเลือกมากได้ ออสตินทำให้กินก็ดีแล้ว อีกอย่าง อะไรไม่สำคัญเท่ากับว่าบรรยากาศที่โต๊ะอาหารในตอนนี้มันเงียบเสียเหลือเกิน ออสตินไม่ใช่คนพูดมาก เขาจะพูดก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น กานต์เองก็เช่นกัน ประกอบกับที่เขาไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองสักเท่าไรเลยทำให้การชวนใครคุยสักคนเป็นเรื่องยากพอสมควร แต่สำหรับพ่อเลี้ยงของเขา...เพื่อความสนิทสนมและไม่ให้บรรยากาศเงียบจนเกินไป คงต้องชวนคุยสินะ
“คุณสเวนไม่ไปทำงานเหรอครับ”
ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าโพล่งออกมา ออสตินที่กำลังรินกาแฟดำใส่ถ้วยชะงัก เหลือบตามามองทันที
“คุณสเวน?”
แทนที่จะตอบ กลับพูดชื่อของตัวเองแทน กานต์เลยรีบเปลี่ยนคำพูดทันควัน
“แด๊ดดี้...เอ่อ...ไม่ไปทำงานเหรอครับ”
นึกขึ้นมาได้ว่าจริงๆ แล้วต้องเรียกผู้ชายตรงหน้าว่าแด๊ดดี้ ซึ่งก็ใช่ ที่ออสตินทวนชื่อของตัวเองก็เพราะต้องการให้เด็กหนุ่มเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวนั่นแหละ
“ถามเหมือนไม่อยากให้ฉันอยู่บ้าน”
“เปล่าครับ พอดีผมเห็นว่าวันนี้เป็นวันจันทร์”
ออสตินหัวเราะเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเสีย
“ฉันจะเข้าบริษัทก็ต่อเมื่อมีประชุมหรือมีเอกสารสำคัญต้องจัดการเท่านั้น ซึ่งวันนี้ไม่มีอะไรสำคัญ อีกอย่าง ฉันควรจะอยู่บ้านเพราะต้องดูแลเธอ”
ได้ยินเหตุผลแล้ว คนฟังก็เกรงใจขึ้นมาทันที
“ขอโทษที่รบกวนนะครับ”
ออสตินเลิกคิ้วสูง “อย่าพูดอย่างนั้น ฉันรับปากเธอแล้วว่าจะดูแลก็ต้องดูแลให้ดีที่สุด ฉันเป็นผู้ปกครองเธอนี่”
เรื่องนั้นกานต์รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก แต่การที่ออสตินแสดงออกชัดเจนว่าอยู่ในสถานะไหน มันทำให้กานต์ประหม่าขึ้นมาน้อยๆ
“แล้วก็รับปากแม่เธอแล้วด้วยว่าจะดูแลเธอเป็นอย่างดี จะปล่อยให้เธออยู่บ้านคนเดียวตั้งแต่วันแรกที่มาถึงนิวยอร์กได้ยังไงกัน”
อันที่จริงแล้วการที่เขาอยู่บ้านเพื่อดูแลเด็กในอาณัติน่าจะเป็นเพราะเหตุผลนี้มากกว่า บ่งบอกชัดเจนเลยว่าเขาเป็นคนรักษาสัญญาอยู่ไม่น้อย
“ขอบคุณครับ”
กานต์ซาบซึ้งในบุญคุณนี้ แต่ออสตินไม่สนหรอกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะคิดอย่างไรกับเขา เอาแต่พูดสิ่งที่อยากจะพูดออกไป
“อยากถามอะไรฉันอีกไหม”
คนฟังเลิกคิ้วสูง...จริงๆ แล้วก็มีอยู่เหมือนกัน กานต์อยากรู้ว่าออสตินอายุเท่าไร เพราะเขายังดูหนุ่มเกินกว่าที่จะเป็นพ่อเลี้ยงของเด็กอายุสิบเจ็ด แต่ถามออกไปตอนนี้คงจะไม่เหมาะสักเท่าไรจึงได้แต่ส่ายหน้า
“ถ้าเธอไม่ถาม งั้นฉันจะถามแล้วกัน”
กลายเป็นว่าเปิดโอกาสให้ออสตินได้ซักไซ้เสียอย่างนั้น กานต์นั่งเหยียดหลังตรงขึ้นมาราวกับเตรียมพร้อมต่อการถูกซัก ก่อนที่น้ำเสียงทุ้มของผู้เป็นเจ้าของบ้านจะดังขึ้น
“เธอคิดบ้างแล้วหรือยังว่าหลังจบไฮสกูลแล้ววางแผนยังไงต่อ”
จู่ๆ บทสนทนาก็กลายเป็นเรื่องนี้ กานต์ซึ่งไม่ทันจะได้เตรียมรับมือกับคำถามนี้นิ่งงันไปครู่
“แด๊ดดี้หมายถึง...”
“จะทำงานหรือเรียนต่อ หรือจะกลับไทย”
ออสตินขยายความให้ กานต์เลยเข้าใจขึ้นมาได้ ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ ทำเอาออสตินเลิกคิ้วสูงขึ้นมาข้างหนึ่ง
“ไม่ได้คิดเลยเหรอ”
เด็กหนุ่มยังคงส่ายหน้าอีก
“ทั้งๆ ที่รู้ว่าฉันจะเป็นผู้ปกครองเธอแค่ปีเดียว เธอก็ยังไม่ได้วางแผนชีวิตตัวเองหลังจากนั้นเอาไว้?”
“ครับ”
กานต์ยอมรับอย่างจำนน ก็ก่อนหน้านั้นจนถึงตอนนี้ เขาเอาแต่คิดว่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างไรกับผู้ชายแปลกหน้าที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่นานอย่างเดียวนี่นา ใครจะไปคิดกันล่ะว่าจะต้องคิดเรื่องนั้นเร็วขนาดนี้
ออสตินยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบเล็กน้อย หลังจากวางมันลงบนโต๊ะ สายตาก็มองจ้องไปยังอีกฝ่ายเขม็ง
“ควรคิดได้แล้วนะ”
“แต่ผมเพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ได้แค่วันเดียว”
ถ้านับวันนี้ด้วยก็เป็นวันที่สอง กานต์พยายามจะบอกเหตุผลเป็นนัยว่ามันไวเกินไปที่จะคิดเรื่องนั้น เขายังไม่รู้เลยว่าสังคมที่นี่เป็นอย่างไร เขาจะอยากเรียนต่อหรือทำงาน หรือจะกลับไทยก็ยังไม่รู้สักนิดเพราะเวลาที่ต้องเลือกมันยังมาไม่ถึง ออสตินไม่ใช่ว่าไม่รู้ เขารู้ แต่ว่ามันก็ควรต้องวางแผนไว้แต่เนิ่นๆ ไม่ใช่เหรอ
“เธอมาอยู่ที่นี่ได้แค่วันเดียวก็จริง แต่เธอก็รู้ตั้งแต่ก่อนมาแล้วว่าเธอจะอยู่ที่นี่แค่ปีเดียว ดังนั้นก็ควรที่จะมีแผนรองรับอนาคตตัวเองคร่าวๆ เพราะพอเธออายุครบสิบแปด ความเป็นผู้ปกครองของฉันก็จะสิ้นสุดลง”
กานต์สบตาอีกฝ่าย ตอนนี้เรื่องที่เขารู้เกี่ยวกับออสตินอีกอย่างก็คือผู้ชายคนนี้นอกจากจะเป็นคนที่เพียบพร้อมไปทุกอย่างแล้ว ยังเป็นคนตรงไปตรงมาอีกด้วย ตรงเสียจนสร้างความกดดันให้กับเด็กหนุ่มอย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนที่กานต์จะออกปากถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“หมายความว่าพอครบหนึ่งปีตามกำหนดแล้ว ผมควรจะกลับไทยเหรอครับ”
“ฉันไม่ใช่คนตัดสินใจ คนตัดสินใจคือเธอต่างหากว่าหลังจากบรรลุนิติภาวะแล้วจะเลือกทางเดินชีวิตแบบไหน แล้วที่ฉันถามก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้เธอกลับไทย ทุกเรื่องหลังจากที่เธออายุครบสิบแปด เธอจะต้องตัดสินใจเอง ฉันถึงได้ถามไงว่าเธอวางแผนไว้ยังไง จะเรียนต่อ ทำงาน หรือกลับไทย”
“แสดงว่าผมไม่ต้องกลับไทยก็ได้ใช่ไหม”
“บอกแล้วไงว่าคนตัดสินใจคือเธอ”
ถึงออสตินจะไม่ได้ดุ น้ำเสียงและสีหน้าราบเรียบ กานต์ไม่กล้าจะถามต่อเมื่อถูกเขาจ้องนิ่งๆ และการที่นิ่งเงียบไปก็ทำให้ออสตินเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา
“ที่ฉันพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่อจะย้ำเธอว่าเป้าหมายของฉันที่รับเธอมาอยู่ด้วยก็คือส่งเสียเธอเรียนให้จบไฮสกูล หลังจากนั้นเธอจะเรียนต่อ ฉันก็ยินดีสนับสนุน ถ้าอยากจะทำงาน ก็ไม่ว่ากัน อยากจะทำงานในบริษัทฉัน ฉันก็จะจัดคนมาดูแลให้ แต่ถ้าอยากจะไปจากที่นี่ มันก็สิทธิ์ของเธอ เพราะข้อตกลงของเรามันสิ้นสุดลงเมื่อเธออายุครบสิบแปดเท่านั้น” เขาว่ายาว พอเด็กหนุ่มสบตาก็เสริม “แต่ภายในหนึ่งปีที่ฉันเป็นผู้ปกครอง เธอจะต้องเชื่อฟังฉัน เข้าใจใช่ไหม ถึงจะเป็นพ่อเลี้ยงแต่ก็ให้คิดซะว่าฉันเป็นครอบครัวคนเดียวของเธอ”