คิดสิยายโรส ปกติเธอเป็นคนหัวไวนะยะ...รสิการู้สึกหงุดหงิดที่ยังหาคำไปโต้ตอบอีกฝ่ายไม่ได้ในตอนนี้
อาการดังกล่าวของหญิงสาวที่ฉายให้เห็นทางดวงตาโตๆ นั่น คนต้นเหตุลอบยิ้มอยู่ในใจ อยากรู้นักว่าเธอจะมีคำถามอะไรถามเขาอีก แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังนิ่งภีมวัจน์ก็ทำในสิ่งที่ทุกคนคิดไม่ถึง เขายื่นพวงมาลัยใส่มือพิธีกรสาวซึ่งก็รับมาถือไว้อย่างงงๆ
“ผมฝากคุณไว้แล้วกัน ไม่นานจะมาเอาคืน”
พูดจบคนให้ก็รีบเดินลงจากเวทีไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่เร็วไปกว่าช่างภาพทั้งหลายที่ยืนอยู่หน้าเวที ที่พากันรัวชัตเตอร์สมกับเป็นมืออาชีพ พร้อมกับเสียงปรบมือดังเกรียวกราว
“อะไรของเขาฉันไม่ได้อยากได้ซะหน่อย”
คนที่จู่ๆ ก็ได้รับของสำคัญที่หญิงสาวหลายคนคงอยากเป็นเจ้าของบ่นงึมงำ ก้มมองมาลัยพวงงามในมือตัวเอง ก่อนจะแก้ไขสถานการณ์โดยการฉีกยิ้มกว้าง ทั้งที่ในใจกำลังเดือดปุดๆ นึกด่าคนให้ที่ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้
“คุณภีมวัจน์บอกว่าฝากโรสไว้ก่อนค่ะ ไม่มีนัยอะไรทั้งสิ้น คุณนักข่าวก็ไม่ต้องเอาเรื่องนี้ไปเขียนนะคะ ตอนนี้ขอเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านรับประทานอาหารกันตามสบายนะคะ เพราะอีกสักครู่เราจะเชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาวเปิดฟลอร์เต้นรำค่ะ”
รสิกาคงไม่รู้หรอกว่าคำพูดของเธอที่พูดออกตัวไปนั้นหาได้มีน้ำหนักอะไรไม่
เจ้าของร่างสูงระหงก้าวลงจากเวที ก่อนจะกวาดสายตามองหาเจ้าของพวงมาลัยเจ้าปัญหาที่ถืออยู่ในมือ ก็เห็นเจ้าตัวยืนถ่ายรูปกับกลุ่มเจ้าบ่าวเจ้าสาวอยู่อีกด้าน แปลกใจตัวเองไม่น้อยว่าทำไมถึงเห็นเขาได้ชัดนัก ทั้งๆ ที่อยู่ท่ามกลางผู้คนที่แต่งกายคล้ายกัน แล้วรสิกาก็หาคำตอบให้ตัวเองจนได้ว่าเป็นเพราะผู้ชายคนนั้นเป็นคนหน้าตาโบร่ำโบราณไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านไง คิดแล้วก็อดยิ้มด้วยความขบขันไม่ได้
ขณะกำลังลังเลว่าจะเดินเข้าไปหาเจ้าของพวงมาลัยดีหรือไม่ กรองขวัญก็เดินมาหาเสียก่อน
“ยายโรส ไปหาอะไรกินกันเถอะ ฉันหิวจะแย่แล้ว” คนหิวพูดพลางตบพุงประกอบ
“แกห่วงแต่เรื่องกิน แล้วไปอยู่ไหนมาแทนที่จะยืนอยู่ใกล้ๆ เวทีเป็นกำลังใจให้ฉัน รู้ไหมว่าเมื่อกี้จู่ๆ ฉันเกือบจะทรุดลงไปกองบนเวทีนั่นแล้ว”
กรองขวัญยิ้มแป้นแล้นไม่ได้มีอาการตกอกตกใจกับเรื่องที่ผู้เป็นเพื่อนบอกแต่อย่างใด
“ก็แค่เกือบ แกยังไม่ได้ล้มซะหน่อย แล้วฉันก็ยืนอยู่ใกล้ๆ เวทีนั่นแหละ ยังเห็นเลยว่าพี่ภามช่วยประคองแกอยู่ ตอนนั้นนะฉันอยากจะขึ้นไปยืนแทนที่แกจะตาย น่าอิจฉามากๆ”
คนถูกอิจฉายังไม่ทันได้พูดอะไรตอบโต้ออกไป ผู้เป็นเพื่อนก็พูดถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองไม่อยากนึกถึงขึ้นมาอีก
“ยิ่งตอนที่พี่ภามเอาพวงมาลัยวางใส่มือแกนะ น่าอิจฉาเป็นที่สุด ถ้ารู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าจะเป็นอย่างนี้ฉันจะยอมขึ้นไปเป็นพิธีกรให้โดยไม่อิดออดเลย” คนพูดทำตาลอย “แล้วตอนนั้นพี่ภามพูดอะไรกับแกเหรอ”
“น่าอิจฉากะผีอะไรล่ะ” รสิกาพูดน้ำเสียงขึ้นจมูกพร้อมกับยกมือจิ้มหน้าผากผู้เป็นเพื่อน ก่อนจะพูดต่อแต่เลี่ยงไม่ยอมตอบคำถาม “แกอย่าบ้าให้มันมากนักเลย แล้วแกเรียกตานั่นว่าพี่ แกไปเป็นน้องเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กันยะ”
กรองขวัญตอบคำถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“อ้อ ฉันลืมบอกแกว่าพี่ภามเป็นเพื่อนสนิทกับพี่กันต์ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แล้วฉันก็เคยเจอเขาตอนอายุสิบสามด้วย แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยเจออีกเลยเพราะเขาไปเรียนต่างประเทศ”
“หมายความว่าที่แกเอาเขามาพูดพร่ำเพ้อพรรณนาอยู่เนี่ย แกจำเขาไม่ได้!”
“ก็ใช่น่ะสิใครจะไปจำได้ หน้าตาตอนโตของพี่ภามไม่เหลือเค้าตอนเด็กเลยสักนิด” กรองขวัญบอกเพื่อนแล้ววกกลับไปคาดคั้นเรื่องเดิมต่ออีก “แกยังไม่ได้ตอบฉันเลยว่าพี่ภามพูดอะไรกับแกก่อนลงจากเวที”
คนถูกคาดคั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เขาแค่บอกว่าฝากฉันเอาไว้ก่อนเท่านั้นไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้ทั้งสิ้น”
อันที่จริงยังมีคำพูดแฝงนัยต่อจากนั้นอีกแต่รสิกาทำเป็นลืม ก่อนจะส่งค้อนไปตรงจุดที่คนถูกพาดพิงยืนอยู่ขวับใหญ่แล้วเผลอพูดออกมาน้ำเสียงขุ่นเขียว
“คนอะไรหลงตัวเองโคตรๆ”
“แกว่าอะไรนะ พี่ภามน่ะหรือหลงตัวเอง เอาที่ไหนมาพูด แกเข้าใจผิดหรืออคติกับเขาเกินไปหรือเปล่า พี่ภามไม่ใช่คนแบบนั้นแน่นอน” กรองขวัญเถียงคอเป็นเอ็น สีหน้าก็ดูเป็นเดือดเป็นร้อนราวกับตัวเองถูกว่าก็ไม่ปาน
“ยายขวัญ นี่ตกลงว่าแกปลื้มหรือหลงเขากันแน่” รสิกาพูดพลางมองเพื่อนอย่างหมั่นไส้ “แกฟังดีๆ นะ ฉันไม่ได้เข้าใจผิดหรืออคติอย่างที่แกว่าเลยสักนิด รู้ไหมตอนที่ฉันเข่าอ่อนจนเกือบทรุด พี่ภามของแกหาว่าฉันดีใจที่เห็นเขาจนเข่าอ่อน ฉันได้ยินชัดเจนทั้งสองหู”
คราวนี้คนฟังถึงกับส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อถือสักนิด
“อันนี้ยิ่งไม่น่าใช่ใหญ่เลย แกหูฝาดแน่นอน ตามที่ฉันรู้มา พี่ภามเป็นคนไม่ค่อยพูด ถามคำก็ตอบคำ แล้วเขาเพิ่งเห็นหน้าแกเป็นครั้งแรกจะกล้าพูดอย่างนี้ออกมาเชียวเหรอ ใจแกน่ะมันอคติกับเขาเป็นทุนเดิมตั้งแต่ฉันพูดถึงเขาให้แกฟังแล้ว”
คนถูกหาว่าใจอคติมองท่าทางของเพื่อนแล้วก็คร้านจะพูดโต้แย้งอะไรอีก เพราะพูดไปก็คงไร้ประโยชน์จึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ ตอนแรกตั้งใจจะเล่าเรื่องที่ภีมวัจน์ขับรถเฉี่ยวเธอ แต่เปลี่ยนใจไม่เล่าดีกว่า
“เอาละ ฉันขี้เกียจพูดแล้ว คุณภามของแกนอกจากจะหล่อจากโลกนี้ไปจนถึงโลกหน้าแล้ว ยังเป็นคนเพอร์เฟกต์ดีเลิศประเสริฐศรีหาใครเทียบเทียมได้ยาก”
คำพูดประชดประชันของผู้เป็นเพื่อนเรียกเสียงหัวเราะคิกจากกรองขวัญ
“ช่างประชดนักนะ แล้วแกเห็นด้วยกับฉันไหมล่ะว่าเขาหล่ออย่างที่ฉันว่าจริงๆ”
“หล่อแบบโบร่ำโบราณน่ะสิไม่ว่า”
กรองขวัญมองหน้าคนพูดแล้วส่ายหน้าอย่างขบขัน เจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่าตัวเองก็หน้าตาสวยเหมือนคนโบราณเช่นกัน จึงพูดออกไปตามที่คิดทันที
“แกจำไม่ได้หรือไงยายโรส ที่ใครต่อใครมักจะทักว่าแกสวยประหลาดเหมือนผู้หญิงโบราณ ว่าคนอื่นเขาปาวๆ ลืมดูตัวเองหรือไงยะ”
รสิกาถึงกับอึ้ง เพราะเป็นความจริงอย่างที่ผู้เป็นเพื่อนบอก แต่เรื่องอะไรจะยอมรับล่ะ ให้พ่อคุณภามนั่นหล่อแบบโบราณไปคนเดียวเหอะ จึงพูดตัดบทออกไปว่า
“ไปหาอะไรกินกันเหอะ ฉันก็หิวแล้วเหมือนกัน”
ซุ้มอาหารไทยที่รสิกาเดินลิ่วๆ นำเพื่อนไปนั้น เป็นอาหารชาววังที่เธอเคยอ่านจากหนังสือนิยายมาแล้วทั้งสิ้น เพราะแต่ละอย่างมีชื่อติดไว้ และภาชนะที่ใช้บรรจุอาหารบางอย่างทำจากพืชผักสวนครัว เช่นแกงจืดลูกรอกหน้าตาน่ากินบรรจุอยู่ในฟักลูกไม่เล็กที่ถูกแกะสลักเป็นรูปดอกกุหลาบอย่างสวยงาม ภาชนะบรรจุแกงเขียวหวานทำจากผลฟักทองลูกโต ส่วนน้ำพริกกะปิที่มีพริกสีเขียวสีแดงลอยฟ่องใช้ส่วนหัวหรือท้ายมะละกอที่แกะสลักเป็นลวดลายดอกไม้อย่างวิจิตรงดงาม จนแทบไม่รู้ว่าเคยเป็นมะละกอมาก่อน แม้แต่ผักหลายชนิดที่ใช้แนมก็เช่นกันถูกแกะสลักเสลาจนกรองขวัญอุทานออกมาอย่างตื่นตาตื่นใจ
“สวยจัง สวยจนฉันไม่กล้ากิน”
รสิกาพยักหน้าเห็นด้วยพลางมองไปรอบๆ ที่เธอพูดบนเวทีว่าคนเราตอนนี้ต่างโหยหาอดีตก็ไม่ผิดความจริงไปนัก เพราะแขกที่มาร่วมงานต่างตื่นตาตื่นใจ ละลานตากับความวิจิตรของอาหารแทบทั้งสิ้น สังเกตจากคำชื่นชมที่ได้ยินก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้
ขณะที่หญิงสาวกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบจานสำหรับใส่อาหาร ก็ถูกกระแทกอย่างแรงจากทางเบื้องหลัง ทำเอาเซจนเกือบจะล้มลงกับพื้นแต่บังเอิญทรงตัวไว้ได้เสียก่อน คนถูกชนฉุนกึกจนต้องหันขวับไปมอง