ครึ่งชั่วโมงต่อมาอรุณนารีก็ลงมาใหม่พร้อมกับชุดลำลองอยู่บ้าน ชายหนุ่มที่นั่งจิบกาแฟอย่างสบายใจอยู่บนเก้าอี้ห้องรับแขก ในใจของหญิงสาวรู้สึกร้อนราวกับอยากจะเดือดปุด ๆ ขึ้นมา
"คุณชาลทำไมยังไม่กลับอีกละคะ" เห็นท่าทางของเขาแล้วเธอก็อยากจะถามเหลือเกินว่า ‘นี่มันบ้านใครกันแน่’ เจ้าของบ้านที่อยู่ในชุดเสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงผ้าฝ้ายห้าส่วนทำหน้าเหลือจะทน
"ไม่มีธุระที่ไหน" อีกคนก็ยังคงมีสีหน้าและท่าทางสบายอกสบายใจ ทั้งที่ก่อนมานั้นร้อนราวไฟไหม้อกแต่ตอนนี้กลับรู้สึกเย็นสบายราวมีสายลมพัดผ่าน อรุณนารีเห็นแล้วก็ต้องยกมือขึ้นเสยเส้นผมอย่างลวก ๆ ด้วยไม่รู้จะเอามือไว้ที่ไหนดีในตอนนี้
"รุณจะทำงาน" หญิงสาวพยายามหาทางไล่เขาทางอ้อม แต่ก็ใช่ว่ามันจะได้ผลเมื่ออีกคนนั้นตอบกลับมาว่า
"ก็ทำไปสิ" ชาลพิงหลังยังพนักเก้าอี้แล้วยกท่อนขาข้างซ้ายขึ้นไปพาดไว้บนด้านขวาอย่างสบายใจ 'มันจะมากไปแล้วนะ' นี่คือสิ่งที่อรุณนารีคิดอยู่
"อยากทำเงียบ ๆ เดี๋ยวไม่มีสมาธิ" แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมาตรง ๆ
"งานอะไรถึงต้องใช้สมาธิขนาดนั้น แล้วอีกอย่างข้าวเช้าเธอก็ยังไม่กินเลยจะมีแรงทำเร้องานน่ะ" เขามองหมิ่นราวกับจะประเมินกำลังของหญิงสาว
"เดี๋ยวคุณชาลกลับไปแล้ว รุณก็ทำกินเองนั่นแหละ" อรุณนารีใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการต่อบทสนทนากับเขา ก่อนจะเห็นมุมปากข้างหนึ่งของเขายกขึ้น
"แต่ฉันอยากกินด้วย นะรุณนะ ข้าวมื้อเดียวทำให้กินหน่อย" คนทำตัวไม่เดือดเนื้อร้อนใจเปลี่ยนไวเหลือเกิน หันมาออดอ้อนเสียน้ำเสียงหวานหยด
"ฟาร์มชาลีไม่มีให้กินรึไง"
"มีแต่ไม่อยากกินกับเมีย" ตาดุทันทีที่เอ่ยถึงเพียงจันทร์ เขาไม่ชอบที่หญิงสาวยอมทำทุกอย่างได้เพื่อเงิน ทั้งที่ไม่ได้รักใคร่มีใจเสน่หากันเลยแม้แต่น้อยนิด และอีกอย่างคนอย่างเพียงจันทร์ไม่ใช่สเปคของเขา สำหรับเขาแล้วสเปคต้องแบบ...สายตาจ้องไปยังคนหน้าบึ้งตรงหน้า
ขณะที่อรุณนารีกำลังคิดว่า 'เลยมากินกับน้องเมียนี่นะ' แล้วแค่นหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว มันเหมาะมันควรที่ไหนกัน ใครก็ได้ช่วยเอาคำว่าสามัญสำนึกมาเป่าใส่หูผู้ชายคนนี้ที
"หัวเราะอะไรรุณ มันน่าขำตรงไหนที่ฉันไม่อยากกินข้าวกับเมีย" คนพูดจริงจังทั้งแววตาและท่าทาง อรุณนารีจ้องหน้าชาลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่มีทั้งเหตุและผลให้เขาฟัง
"ทำแบบนี้แล้วคุณนิ้งไม่โกรธเอาหรือคะ เราโต ๆ กันแล้วนะคะคุณชาล อย่าทำตัวเหมือนเด็กหนุ่มแบบเมื่อก่อนสิคะ"
"สู่รู้ เรื่องของฉันกับเพียงจันทร์ คนนอกอย่างเธอไม่รู้อะไรหรอกอย่าริมาสั่งสอนฉัน" เมื่อถูกตะคอกกลับเจ้าของบ้านก็สะบัดหน้าหนีไปทางอื่น มาขอข้าวเขากินแล้วยังจะมาวางก้ามใส่อีก เหมือนชาลจะรู้ตัวว่าเสียงดังไปหน่อย เมื่อสาวเจ้าหน้าบูดหน้าบึ้งออกอาการไม่สบอารมณ์ใส่
“เอาล่ะ ๆ ฉันไม่ได้มาชวนเธอทะเลาะนะรุณ”
“นี่นะไม่ได้เรียกว่าชวนทะเลาะ”
“นี่รุณ เธอรีบ ๆ ไปทำกับข้าวมากินกันดีกว่าฉันหิวแล้ว โห นี่มันจะเก้าโมงอยู่แล้วเธอเพิ่งตื่นนอน สาว ๆ สมัยนี้เคยตื่นเช้าบ้างไหมนี่” พูดจบก็ส่ายหน้าไปมาเหมือนตำหนิ คนที่ไม่รู้ตัวว่าผิดอะไรนึกอยากจะกรี๊ดใส่หน้าเขาให้หายบ้านัก
“รุณทำงานดึกตื่นสายบ้างมันก็เป็นเรื่องปกติ คุณชาลนั่นแหละที่แปลกอยู่ ๆ ก็มาหาทั้งที่ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันเลย”
“ใครบอกว่าฉันไม่ได้สนิทสนมกับเธอ เราเคยเจอกันออกบ่อยเมื่อหลายปีก่อน ครั้งสุดท้ายที่ฉันจำได้นะเธอทำกาแฟเย็นหกราดตัวเองอยู่เลย” เขาเท้าความหลังด้วยรอยยิ้ม
“ใครบอกว่ารุณทำ คุณชาลนั่นแหละแกล้งเดินมาชน”
“อ้าวเหรอไม่เห็นจะจำได้” จำได้แน่ ๆ ไม่งั้นคงยิ้มแบบกระหยิ่มใจอย่างนี้ คิดแล้วก็นึกโมโหในตอนนั้นน่าจะไปซื้อกาแฟมาอีกแก้วแล้วสาดใส่หน้าไปเลย ตอนนั้นเธอเป็นเพียงแค่เด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่ง คงไม่กล้าไปต่อกรกับหลานชายคนเล็กของนายชู แต่ตอนนี้ไม่ใช่อรุณนารีจะไม่ยอมให้เขามากลั่นแกล้งแบบนั้นอีกเด็ดขาด แค่คิด แต่จะทำได้หรือเปล่านั้นอีกเรื่องหนึ่ง หญิงสาวเผลอพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่รู้ว่าจะรับมือเขาไหวไหม
“ถ้ารุณทำข้าวเช้าให้กินแล้วคุณชาลจะกลับไปใช่ไหมคะ” น้ำเสียงหวาน ๆ เอ่ยถามขึ้น
“อืม”
“ไปแบบไม่ต้องมาที่นี่อีกด้วยนะคะ” เงื่อนไขต่อมาทำให้ชาลถึงกับหลุดหัวเราะเบา ๆ เขาทำท่าเหมือนคนใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง
“ไม่”
“ไม่มาอีกแล้วใช่ไหมคะ” อรุณนารีดีใจจนออกนอกหน้าที่เขายินยอมรับฟังแต่โดยดี
“ไม่แน่ใจและไม่รับปากด้วย” รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าหุบลงอย่างฉับพลัน ‘ไอ้คนปลิ้นปล้อน’ ถ้าตะโกนใส่หน้าได้คงทำไปแล้ว บ้าที่สุด !
“งั้นรุณไปทำกับข้าวก่อนแล้วกัน ตามสบายเลยนะคะ อยากจะทำอะไรก็ทำไปเลย” พอกันที หญิงสาวหันหลังเดินเข้าครัวไปอย่างคนหมดทางจะทำอะไรเขาได้ ขณะที่ชาลเห็นแล้วกลับรู้สึกว่าโลกใบนี้มันน่าอยู่ขึ้นเยอะเลย
เสียงสับหมูดังเล็ดลอดออกมาให้คนข้างนอกได้ยิน จะเรียกว่าสับก็คงไม่ใช่คงต้องบอกว่าใช้มีดกระแทกหมูบนเขียงมากกว่า ชาลไม่ได้มีทีท่าจะรู้สึกรู้สาอะไรด้วยเลย การนั่งอยู่ที่นี่ทำให้รู้สึกดีกว่าเห็นหน้าเมียตัวเองเป็นไหน ๆ
“รุณเธอมายืนสับหมูทำข้าวต้มให้ผู้ชายคนนั้นได้ไง” อรุณนารีหยุดมือที่สับหมูบนเขียง แล้วยกมีดขึ้นตรงหน้ามองดูภาพสะท้อนเงาของตัวเองบนนั้น ก่อนจะเหลียวหลังมองให้ทะลุผนังห้องครัวออกไป แววตาเหมือนอยากจะทำอะไรบางอย่าง ลมหายใจสะท้อนขึ้นลงค่อนข้างแรง ก่อนที่จะยกมีดขึ้นสูง
ฉับ ! ฉับ ! ฉับ ! แล้วทุ่มแรงลงไปบนเขียงอย่างสุดแรงเกิด หม้อที่ต้มน้ำอยู่ก็กำลังเดือดปุด ๆ พอ ๆ กับอารมณ์ของแม่ครัวจำเป็นในตอนนี้
ฉับ ! ฉับ ! ฉับ !
“ระวังเขียงหักนะรุณ” คนข้างนอกยังมีหน้าตะโกนเข้ามาแหย่คนโกรธอีก อรุณนารีมือไม้สั่นไปหมดด้วยความโม
โห จะไล่อ้อม ๆ ก็ไม่ไปจะไล่ตรง ๆ ก็ด้านจะอยู่ ไอ้คนแบบนี้เธอจะทำยังไงกับเขาดี หญิงสาวหยุดนิ่งไปก่อนจะดึงยางรัดผมจากข้อมือขึ้นมัดผมของตัวเองให้เป็นหางม้า
“รีบทำดีกว่า” หากมัวแต่จะโกรธอยู่แบบนี้คงไม่มีทางได้ทำงานแน่ คนห่วงงานคิดไปถึงต้นฉบับเรื่องสั้นที่ต้องตรวจสองเรื่องในอีเมล
กลิ่นหอมของข้าวต้มทำให้คนด้านนอกน้ำลายสอขึ้นมา เขาเหลือบมองดูนาฬิกาบนผนังบ้านก็พบว่ามันตายสนิท จึงได้ยกนาฬิกาเรือนหรูบนข้อมือขึ้นดูแทน เกือบหนึ่งชั่วโมงแล้วสินะที่อรุณนารีเข้าครัว
“ยัยรุณทำกับข้าวเป็นจริงหรือเปล่านี่” คนหิวเริ่มบ่น ได้กลิ่นหอม ๆ แบบนี้มาสิบนาทีแล้ว แต่ทำไมยังไม่เห็นเจ้าตัวโผล่หน้าออกมาจากห้องครัวอีก
“รุณเธอแกล้งฉันหรือเปล่านี่ทำไมนานจัง” คนรอไม่ไหวตะโกนลั่นบ้าน
“เสร็จแล้ว” เสียงตอบกลับมาทำให้เขายิ้มออกรีบมองหาห้องกินข้าว แต่ว่าบ้านหลังน้อยของอรุณนารีไม่มีห้องกินข้าวแล้วปกติเจ้าตัวกินที่ไหนกันล่ะนี่ เขาเดินตรงเข้าไปในห้องครัว พบหญิงสาวกำลังตักข้าวต้มใส่ชามอย่างระมัดระวัง
“รุณเธอกินข้าวที่ไหนฉันไม่เห็นมีห้องกินข้าวเลย”
“รุณจะไปกินตรงหน้าระเบียงบ้าน”
“ระเบียงบ้าน ไอ้โต๊ะไม้เก่า ๆ จะพังแหล่มิพังแหล่นั่นนะ” สีหน้าของเขาบอกว่าไม่น่าจะใช้นั่งกินข้าวได้
“รุณก็นั่งของรุณอยู่ทุกวัน” อรุณนารีเดินไปหยิบจานมารองใต้ชามข้าวต้มทั้งสองใบ
“แต่ฉันเห็นมันมีเก้าอี้แค่ตัวเดียวนะ”
“ก็ใช่”
“แล้วฉันจะนั่งไหน”
“ก็แล้วแต่คุณชาลสิ เกี่ยวกับรุณที่ไหนล่ะ” เอ่ยแล้วก็ยกชามข้าวต้มของตัวเองเดินออกจากห้องครัวไป
“อรุณนารี”
“รู้ค่ะว่าชื่อนี้ไม่ต้องย้ำนักก็ได้” คนที่กำลังจะพ้นประตูห้องครัวยังมีแก่ใจหันมาตอบเขา ก่อนจะเดินจากไปอย่างคนอารมณ์ดี ‘หาที่กินเอาเองก็แล้วกัน’
เมื่อวางชามข้าวต้มลงบนโต๊ะไม้หน้าบ้านแล้ว หญิงสาวก็หยิบเศษผ้าขึ้นมาเช็ดน้ำค้างที่หลงเหลือเป็นหยดอยู่บนหน้าโต๊ะ ลากเลยลงมาเช็ดที่พื้นเก้าอี้ด้วย แกรก ๆ เสียงเหมือนคนลากอะไรบางอย่างออกมาทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้นมอง ในมือขวาของเขาถือชามข้าว ส่วนมือซ้ายลากเก้าอี้ไม้ในห้องรับแขกออกมา
“เอาล่ะทีนี้เราก็มากินข้าวแบบพร้อมหน้าพร้อมตากันได้แล้ว” คนพูดวางชามข้าวต้มลง นำเก้าอี้มาวางในฝั่งตรงกันข้ามหย่อนกายลงนั่งอย่างอารมณ์ดี
“นั่งลงสิ” เขาบอกคนที่ถือเศษผ้าค้างเอาไว้ อรุณนารีแทบจะโยนผ้าในมือทิ้งด้วยความโมโห ท้ายที่สุดก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินไปนั่งกินข้าวต้มในฝั่งตรงข้ามกับเขา
"อร่อยที่สุดในโลกเลย" คำแรกที่เข้าปากไปเขาก็เอ่ยออกมาด้วยท่าทางสุขเหลือหลาย
"อร่อยก็รีบ ๆ กินสิ" 'จะได้รีบ ๆ ไป'
"จะรีบทำไม ฉันไม่ได้มีธุระที่ไหน"
"แต่ว่ารุณมี"
"ธุระอะไร"
"รุณมีนัดกับไอ้อ้วนต้องไปซื้อของที่ตลาด" ในที่สุดอรุณนารีก็คิดหนทางเลี่ยงออกจนได้ หญิงสาวนึกยิ้มอยู่ในใจ ออกไปข้างนอกก่อนให้เขากลับ แล้วค่อยย้อนมาทำงานก็ได้นี่นา ทำไมเพิ่งมานึกออกตอนนี้
"ไอ้อ้วน" ชาลพาลนึกไปถึงชายหนุ่มสักคนในที่นี่
"อืม รีบ ๆ กินเข้าล่ะเดี๋ยวจะไปแล้ว" อาการเหมือนไม่ใส่ใจของอรุณนารียิ่งทำให้ชาลรู้สึกหงุดหงิดชอบกล
'ยัยนี่จะไปกับไอ้อ้วนหรือกับใครมันก็ไม่เกี่ยวกับเรานี่นา' เขากินไปมองหน้าของอีกคนไป ความคิดก็ตีกันยุ่งเหยิงอยู่ข้างใน แผนนี้ของเจ้าของบ้านเป็นอันสัมฤทธิ์ผลหลังจากกินข้าวต้มเสร็จ อรุณนารีก็ปิดประตูบ้านแล้วขึ้นคร่อมไอ้อ้วนเตรียมตัวออกไปข้างนอก
"รุณ" เขาเรียกเอาไว้ก่อนที่อรุณนารีจะบึ่งรถมอเตอร์ไซค์ออกไป
"อะไรอีกล่ะ"
"รั้วน่ะเดี๋ยววันหลังจะมาซ่อมให้นะ"
"ไม่ต้อง !"
"ทำไมล่ะฉันเป็นคนมีความรับผิดชอบนะ กล้าทำก็ต้องกล้ารับผิดชอบ ไปก่อนนะแล้วค่อยเจอกันใหม่" เขาเดินตรงไปยังออฟโรดของตัวเองก่อนจะขับออกไปด้วยความเร็วสูงจนฝุ่นตลบ
"โธ่เว้ย !" อรุณนารีแทบจะยืนกระทืบเท้าอยู่หน้าบ้าน ชาตินี้เธอคงทำบุญมาน้อยเจอแต่มารผจญชีวิตอยู่เรื่อย คิดแล้วก็อยากจะร้องกรี๊ด ๆ ออกมาให้สะใจ แต่ถ้าทำอย่างนั้นก็คงไม่แคล้วกลายเป็นคนบ้าไป
"ไม่ปงไม่ไปมันแล้ว" คนโกรธเข็นไอ้อ้วนกลับไปจอดไว้ข้างบ้านดังเดิม ก่อนจะเข้าไปนั่งสงบจิตสงบใจอยู่พักใหญ่ถึงจะมีสมาธิลงมือทำงานของตัวเองได้