ตอนที่ : 3 น้ำตาอรุณนารี

1630 Words
2 น้ำตาอรุณนารี 5 ปีต่อมา บนเตียงคนไข้ของผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย นางอรุณีซึ่งบัดนี้บนศีรษะไร้ซึ่งเส้นผม ร่างกายผอมแกร็นผิวหนังสีคล้ำแทบจะหุ้มกระดูก ลมหายใจสะท้อนแผ่วเบาลงทุกขณะ ด้านข้างของเตียงผู้ป่วยมีหญิงสาวหน้าตาสวยเด่นคอยนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง ‘ทำใจนะครับคิดว่าท่านคงอยู่ไม่พ้นคืนนี้’ น้ำตาของอรุณนารีไหลเป็นทาง เมื่อนายแพทย์เจ้าของไข้เอ่ยคำนี้กับเธอตอนหัวค่ำ มารดาของเธอทุกข์ทรมานกับมฤตยูร้ายมะเร็งปากมดลูกมานานถึงห้าปีเต็ม สองปีแรกหลังจากที่เข้ารักษา เนื้อร้ายได้หายไปอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งที่คุณหมอบอกในตอนนั้นทำให้เธอและมารดาดีใจเป็นอย่างมาก แต่ใครจะคิดว่าครึ่งปีให้หลังมฤตยูร้ายนี้มันก็หวนคืนกลับมา ซ้ำยังส่งผลร้ายแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิมทั้งที่พยายามหาทางป้องกันอย่างเต็มที่ นางอรุณีต้องต่อสู้กับโรคร้ายมาจนถึงวาระสุดท้ายของตัวเองในวันนี้ ‘แม่ต้องอยู่กับรุณนะคะ อย่าเพิ่งทิ้งรุณไปแบบนี้’ เสียงภาวนาของคนเป็นลูกดังก้องอยู่ในใจ มองดูมารดาที่นอนหายใจแผ่วเบาอยู่บนเตียงด้วยสายตาแห่งความเสียใจ หญิงสาวกุมมือของท่านเอาไว้แน่นก่อนจะแนบใบหน้าลงกับฝ่ามืออันเหี่ยวแห้งของท่าน ดวงตาคู่สวยหลับตาลงเธอจะไม่มีวันปล่อยมือนี้ของแม่เด็ดขาด... “คุณคะ คุณคะ” เสียงเรียกปลุกจากใครสักคน ทำให้คนเผลอหลับรีบลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เธอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมไม่รู้ตัวเลย อรุณนารีมองเห็นสีหน้าลำบากใจของนางพยาบาล ก็รีบหันกลับไปมองมารดาที่อยู่บนเตียง ดวงตาของท่านปิดสนิทลงทั้งสองข้าง แรงสะท้อนบนหน้าอกจากการหายใจ...ไม่มี นี่คือความจริงที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับมัน “ท่านคงจากไปตอนที่คุณหลับ ถือว่าท่านไปสบายแล้วนะคะ” นางพยาบาลวัยกลางคนพยายามปลอบคนหัวใจสลาย อรุณนารีได้แต่พยักหน้าอย่างคนไร้ความรู้สึก จากนั้นน้ำตาก็ทะลักไหลนองหน้าด้วยความเสียใจ หากว่าไม่มีอาการฟูมฟายแต่อย่างใด หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งที่เดิมแล้วกุมมือของท่านเอาไว้แน่น ท่านไปแบบนี้ก็ดีแล้วจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไป เสียงสะอื้นไห้ปานใจจะขาดยามยกฝ่ามือเย็นชืดของท่านขึ้นแนบใบหน้าของตัวเอง หลังจากงานศพของมารดาผ่านพ้นไปได้เจ็ดวัน อรุณนารีก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเพื่อเดินทางกลับบ้านเกิดตามคำสั่งเสียของมารดา ท่านต้องการให้เธอนำเถ้ากระดูกกลับไปเก็บไว้ที่นั่น ‘ถ้าแม่ตายไปแล้วรุณกลับไปอยู่ที่บ้านนะลูก ที่นั่นเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่แม่เหลืออยู่ แม่อยากให้รุณกลับไปดูแลมัน’ ท่านเฝ้าบอกอยู่ตลอดเวลาว่าให้กลับไป แม้จะรู้ว่ามันเป็นสถานที่ที่มีแต่ความทรงจำอันเลวร้ายรออยู่ แต่ว่าสมบัติที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษซึ่งเป็นเพียงบ้านไม้สองชั้นกับพื้นที่บริเวณรอบ ๆ อีกเล็กน้อย คงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของท่าน ‘รุณจะอยู่ห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ แบบนี้ ไปชั่วชีวิตหรือลูก’ อรุณนารีหลับตาลงอีกครั้ง ในเมื่อแม่ต้องการให้เธอกลับไป รักษาผืนดินผืนสุดท้ายของเราเอาไว้เธอก็พร้อมจะทำ หญิงสาวขายคอนโดมิเนียมแล้วเดินทางไปยังสถานีขนส่งผู้โดยสาร เพื่อมุ่งหน้ากลับถิ่นฐานบ้านเกิดของตัวเอง ใช้เวลาราวสี่ชั่วโมงกว่า ๆ รถโดยสารปรับอากาศวีไอพียี่สิบสี่ที่นั่ง ที่อรุณนารีเลือกใช้บริการก็แล่นมาจอดที่สถานีขนส่งผู้โดยสารประจำตัวจังหวัด จากนั้นหญิงสาวก็ต้องนั่งรถโดยสารประจำทางไปยังตัวอำเภอที่อยู่ห่างไปราวยี่สิบห้ากิโลเมตร ก่อนจะว่าจ้างมอเตอร์ไซค์รับจ้างเพื่อเดินทางไปยังบริเวณบ้านของตัวเอง ใช้เวลาในการเดินทางช่วงนี้ราวสิบห้านาที ระหว่างทางนั้นหญิงสาวเหลือบไปเห็นป้ายชื่อ ฟาร์มมณีษร อรุณนารีรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาจากความหลังอันแสนเจ็บปวดในครั้งนั้น นายมาตย์ มณีษร คือเจ้าของฟาร์มแห่งนี้ โดยมีภรรยาคือนางเพียงตาและลูกสาวแสนสวยชื่อว่าเพียงจันทร์ เรื่องมันคงจะไม่เศร้าหากว่าเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว นายมาตย์ไม่มารับแม่ของเธอเข้าไปอยู่ในฟาร์มแห่งนี้ในฐานะ เมียน้อย ซึ่งคนภายนอกไม่เคยรับรู้ความจริงในเรื่องนี้ ทุกคนต่างเข้าใจว่าเธอกับแม่เป็นแค่คนงานของฟาร์มมณีษรเท่านั้นเอง อรุณนารีมองตามแนวรั้วลวดหนามสีขาวที่ทอดยาวริมถนนบนเนื้อที่ของฟาร์มมณีษร ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เธอจะไม่ไปข้องเกี่ยวกับผู้คนที่อยู่ภายในรั้วสีขาวแห่งนั้นอีก พ่อที่เธอไม่เคยคิดว่าเขาคือพ่อ ส่วนพี่สาวต่างมารดาก็มองเธอเหมือนคนไร้ตัวตน ยิ่งนางเพียงตาด้วยแล้ว เธอเปรียบเสมือนตัวมารขวางทางสุขของครอบครัว สายตาที่มองมาแต่ละครั้งคอยแต่จะทิ่มตำใจให้รู้สึกเจ็บปวดใจ อรุณนารีไม่โทษสองแม่ลูกที่มองเธอด้วยสายตาแบบนี้ หากจะผิดก็คงจะเป็นคนสองคน ที่ทำให้ธอเกิดมาบนโลกใบนี้นั่นเอง "หลังนี้ใช่ไหมคุณ" คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างจอดรถแล้วหันมาถามลูกค้า อรุณนารีจึงได้หลุดออกจากความหลังแสนขื่นใจในวันวาน "เอ่อ ค่ะ เท่าไหร่คะพี่" "สามสิบบาทครับ" อรุณนารีรีบล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนดึงกระเป๋าเงินใบย่อมออกมา พร้อมกับควักธนบัตรใบละยี่สิบบาทสองใบให้เขาไป "เงินทอนครับ" "ขอบคุณค่ะ" หญิงสาวมองตามฝุ่นสีแดงที่ฟุ้งกระจายตามหลังรถจักรยานยนต์ไป กระชับกระเป๋าเดินทางบนหลังและที่สะพายไว้ด้านข้างให้มั่น ก่อนจะเปิดประตูไม้เก่าผุพังเข้าไปภายในบริเวณตัวบ้าน บ้านไม้สองชั้นขนาดของมันเล็กกะทัดรัดเหมาะสำหรับที่จะอยู่กันแค่สองคน ดวงตาคู่สวยมองไปบริเวณรอบ ๆ ตัวบ้าน มีต้นหญ้าขึ้นรกรุงรังตามรั้วไม้สีน้ำตาลที่มีความสูงเท่าอกของเธอ สีของมันหลุดลอกออกไปจนแทบจะแยกไม่ออกว่าเดิมนั้นทาสีอะไรกันแน่ บางอันก็หักพังเป็นช่องโหว่มีไม้เลื้อยขึ้นเต็มไปหมด ร่างเพรียวเดินมาหยุดอยู่ตรงบันไดทางขึ้นที่มีเพียงสามขั้น อรุณนารีก้าวขึ้นไปด้านบนแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน หญิงสาวยกโซ่คล้องแม่กุญแจที่มีสนิมเกรอะขึ้นมาดู ล้วงหยิบลูกกุญแจที่มีติดตัวมาเสียบเข้าตรงรูได้อย่างพอดี เคร้ง ! เสียงโซ่สนิมร่วงลงสู่พื้นไม้ด้านล่าง บานประตูถูกเปิดกว้างออกเผยให้เห็นสภาพที่อยู่ด้านใน หยากไย่ที่สานตัวกันอยู่บริเวณมุมเพดานคงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนที่จะมาอาศัยอยู่ที่นี่ อรุณนารียกปลายนิ้วขึ้นวัดความหนาของฝุ่นที่อยู่บนโต๊ะ ด้วยการลากนิ้วชี้ผ่านหน้าโต๊ะเบา ๆ แล้วยกขึ้นเป่าฝุ่นทิ้งไป งานหนักจริง ๆ คิดแล้วก็วางสัมภาระทั้งสองชิ้นลงบนพื้นบ้าน ชนบทแบบนี้คงจะหาบริษัทแม่บ้านได้ลำบากอย่างแน่นอน หญิงสาวตัดสินใจทำความสะอาดบ้านหลังน้อยด้วยตัวเอง โดยเน้นห้องนอนที่อยู่ชั้นสองของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อที่คืนนี้จะได้มีที่หลับพักผ่อนให้อุ่นใจ เมื่อทำความสะอาดห้องนอนเรียบร้อยแล้วก็เป็นเวลาพลบค่ำของวันพอดี เจ้าของบ้านสาวลากเก้าอี้ไม้กับโต๊ะที่อยู่ในห้องออกมายังระเบียงไม้นอกห้องนอน พร้อมกับเปิดเน็ตบุ๊คที่พกพามาด้วยขึ้นเพื่อทำงาน อาชีพพิสูจน์อักษรที่เธอทำมาได้สี่ปีเต็มแล้ว สร้างรายได้ให้เธอพอเลี้ยงดูมารดาได้ อรุณนารีไม่ได้รับอนุญาตจากนางเพียงตาให้เรียนในมหาวิทยาลัยเหมือนบุตรสาวตัวเอง แต่นางอรุณีก็ไม่ยอมที่จะให้ลูกสาวตัวเองนั้นไร้ความรู้ นางจึงได้ไปปรึกษากับเพื่อนบางคนที่พอมีความรู้เรื่องการศึกษา อรุณนารีจึงสามารถเรียนทางไกลกับมหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่งได้ โดยที่นายมาตย์กับนางเพียงตาไม่เคยระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อน หญิงสาวเลือกที่จะเรียนด้านอักษรศาสตร์ด้วยรักในการอ่านมาโดยตลอด อรุณนารีอ่านหนังสือได้ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นนวนิยาย ข่าวสารบ้านเมือง ประวัติศาสตร์ ฯลฯ หญิงสาวรู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพิ่มเติม กระทั่งในปีสุดท้ายที่จะต้องจบได้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ทำให้ต้องออกจากฟาร์มมณีษรไป แต่วิกฤตในครั้งนั้นก็เป็นเสมือนกับโอกาสใหม่ในการได้เริ่มต้นกับสิ่งที่ดี ๆ อรุณนารีได้งานเป็นคนพิสูจน์อักษรให้กับสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง จากงานประจำทำให้หญิงสาวสามารถขอโอกาส เพื่อนำงานกลับไปทำบ้านในปีที่สี่เพื่อดูแลมารดาซึ่งป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย โชคดีที่เจ้าของสำนักพิมพ์ค่อนข้างเห็นใจพนักงานที่มีความขยันและประพฤติตัวดีมาโดยตลอด จึงอนุญาตเป็นพิเศษสำหรับการนำงานพิสูจน์อักษรกลับไปทำที่บ้านของอรุณนารี
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD