บทที่1 ตามฝัน

3661 Words
บทที่1 ตามฝัน ความจริงจังสองแม่ลูกฉายชัดให้รติภัทรได้เห็นมากขึ้นเมื่อเช้าวันต่อมาสองแม่ลูกก็หาข้อมูลโรงเรียนใหม่อย่างตั้งใจ “พ่อครามคะ ยัยรุ้งกับหนูเล็กเอาใหญ่แล้วพ่อครามทำอะไรสักอย่างสิคะ” รติภัทรเอ่ยกับปลายสายโทรศัพท์ในขณะที่สายตายังคงมองไปยังสองแม่ลูกที่นั่งหาข้อมูลอยู่ด้วยสีหน้าหนักใจ ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แล้ว นี่มันควรเป็นเรื่องใหญ่แล้วนะ “ปล่อยไปก่อนน้องครีม อีกหน่อยก็คิดกันได้เองนั่นล่ะ” ปลายสายซึ่งก็คือพลเรือตรีสิรภัทร หรือพ่อสีครามของรติภัทรและรัมภาภัสร์เอ่ยกลับมาทั้งที่ควรจะร้อนใจแต่ท่านกลับบอกให้ปล่อยไปก่อนเสียอย่างนั้น “โธ่ พ่อครามขา ยัยเด็กดื้อสองคนนี้กำลังหาข้อมูลโรงเรียนกับที่ทำงานกันแล้วนะคะ ท่าทางคราวนี้อีกนานกว่าจะคิดได้ ทำตามใจตัวเองกันเหลือเกินทั้งแม่ทั้งลูก” รติภัทรทั้งฟ้องผู้เป็นพ่อ ทั้งบ่นกับความเอาแต่ใจของสองแม่ลูก ว่าก็ว่าเถอะ แม้รัมภาภัสร์จะเป็นน้องสาวแต่รติภัทรก็เข้าข้างฝั่งราชนาวีมากกว่า ด้วยว่าเพื่อนของเธอเป็นทหารเรือที่มักจะต้องไปราชการปุบปับอยู่เสมอ หรือบางครั้งก็มีภารกิจที่เร่งด่วน และชายหนุ่มมักจะทำอะไรด้วยเหตุผล ผิดกับน้องสาวของเธอที่มักจะทำอะไรตามใจตัวเองและลูกโดยไม่ฟังเหตุผลของอื่น “พ่อก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน คงต้องปล่อยไปก่อน จนกว่ารักจะกลับมาจากคาบสมุทรอินเดียโน่นแหละ ให้เวลาพวกเขาได้เรียนรู้กันบ้าง น้องเราน่ะถึงจะเอาแต่ใจแต่ก็เก็บตัวอย่างกับอะไรดีไม่เคยไปไหนมาไหนไกล ๆ ยังไม่รู้ทันอะไรอีกหลายอย่างให้น้องกับหลานเราได้เรียนรู้เสียบ้างก็ดี พ่อเชื่อนะว่าสุดท้ายแล้วทั้งคู่จะคิดได้เป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีที่ไหนอยู่แล้วสุขกายสบายใจเท่าที่บ้านหรอกและการได้อยู่กันเป็นครอบครัวย่อมดีกว่าพ่อไปทางแม่ไปทาง” “ครีมก็หวังว่ายัยหนูเล็กจะคิดแบบนั้นได้นะคะ” หญิงสาวบอกกับคนเป็นพ่อขณะที่หลุบตาลงด้วยความรู้สึกผิด ไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าบ้านจริงแท้อย่างที่ผู้เป็นพ่อพูด แต่ตัวเธอก็ยังดึงดันขอเวลาสิบปีออกมาตามความฝันก่อนจะกลับไปอยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตา เธอช่างเป็นลูกที่อกตัญญูเสียจริง “พ่อก็หวังว่าเมื่อวันนั้นมาถึงจะได้เห็นทั้งน้องรุ้งและน้องครีมกลับมาอยู่บ้านเรานะ” “ค่ะพ่อคราม ครีมสัญญา ยัยรุ้งยอมกลับบ้านเมื่อไหร่ครีมจะกลับไปอยู่กับพ่อคราม กับแม่เพียงแล้วก็น้อง ๆ” “ไม่สิ ต้องพาลูกเขยกลับมาด้วย อย่ามาคนเดียว” คนเป็นพ่อตอบกลับเสียงเย้าแหย่ก่อนที่จะขอวางสายเมื่อมีเอกสารที่ต้องเซ็นต์ รติภัทรย่นคิ้ว ราชนาวีอยู่คาบสมุทรอินเดียแล้วเมื่อไหร่จะกลับมาเอายัยเด็กดื้อสองคนนี้กลับล่ะเนี่ย ‘สามเดือนนะรัก ฉันให้เวลาแก3เดือน ถ้าแกไม่กลับมาฉันจะพายัยเด็กดื้อพวกนี้กลับบ้านเอง แล้วเป็นบ้านฉันด้วยไม่ใช่บ้านแก’ รติภัทรบ่นในใจก่อนที่จะเดินเข้าไปหาสองแม่ลูก “ว่าไงแม่ลูก ได้โรงเรียนใหม่กันหรือยัง?” “โรงเรียนของหนูเล็กได้แล้วค่ะ ไม่ไกลจากคอนโดพี่ครีมเท่าไหร่ เรื่องโรงเรียนยังไม่ต้องรีบหรอกเพราะว่าช่วงนี้ยังเป็นช่วงปิดเทอม” รัมภาภัสร์บอกก่อนจะแสดงสิ่งที่กำลังสนใจอยู่ให้พี่สาวได้ดู “ส่วนของรุ้ง นี่เลย เขากำลังเปิดรับสมัครพอดี ที่เดียวกับพี่ครีมด้วย” ปัจจุบันรติภัทรเป็นมัณฑนากรอยู่ที่บริษัทออกแบบและตกแต่งภายในแห่งหนึ่ง รัมาภัสร์เองก็จบมัณฑนศิลป์มาเช่นเดียวกับพี่สาวแต่ยังไม่ทันได้ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาก็ดันมีรัมภาวีร์เสียก่อน เวลานี้จึงเป็นโอกาสดีที่เธอจะได้ทำตามความใฝ่ฝันของเธอ แม้จะรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าสักวันเด็กหญิงรัมภาวีร์จะต้องร่ำร้องกลับไปหาคนเป็นพ่ออย่างคนที่สายเลือดตัดกันไม่ขาดแต่เธอก็อยากจะลองทำงานที่ใฝ่ฝันสักครั้ง แม้เวลามันอาจจะสั้นก็เถอะ “ตามใจทั้งคุณแม่คุณลูกเลยจ้า อยากทำอะไรก็ทำ พี่ไปทำงานก่อนนะ แล้วเดี๋ยวพี่จะลองคุยกับบอสดู” “ขอบคุณค่ะ” “ตั้งใจทำงานนะครีมจ๋า กลับมาเร็ว ๆ ด้วยหนูเล็กอยากกินหมูกระทะ” หนูน้อยรัมภาวีร์บอกพร้อมกับโบกมือไปมา “โอเค งั้นเดี๋ยวเย็นนี้ครีมจ๋าจะพาไปกิน แต่ครีมจ๋าเปย์เยอะไม่ไหวนะ งบน้อย” คนเป็นป้าบอกก่อนที่จะออกจากห้องไปในทันที รัมภาภัสร์ยิ้มก่อนจะแปะมือกับฝ่ามือน้อย ๆ ของลูกสาว “ครีมจ๋าไปแล้ว เราออกไปกันบ้างดีกว่า” “หนูเล็กพร้อมมาก” หนูน้อยตอบรับก่อนที่สองแม่ลูกจะจูงมือกันออกจากห้องบ้าง สถานที่แรกที่จะไปก็คือบริษัทที่รติภัทรทำงานอยู่ เพราะรัมภาภัสร์ชอบที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง เธอจึงคิดที่จะไปสมัครงานด้วยตัวเองไม่อยากจะให้ใครเรียกว่า “เด็กฝาก” “ครีมจ๋าต้องตกใจแนะเลย” “ก็เราต้องการให้ครีมจ๋าตกใจนี่เนาะ” รัมภาภัสร์บอกยิ้ม ๆ ในระหว่างที่พี่สาวเลี่ยงออกไปคุยโทรศัพท์เธอและลูกสาวได้ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วถึงแผนการที่จะไปปรากฎตัวที่บริษัทของรติภัทรเพื่อที่จะสมัครงานและจะไม่บอกรติภัทรจนกว่าคุณป้ายังสาวจะเห็นเอง ไม่นานหลังจากนั้นสองแม่ลูกก็มาถึงบริษัทสิรากรการออกแบบซึ่งเป็นที่ทำงานของรติภัทร “สิรากรยินดีต้อนรับค่ะ มาติดต่ออะไรคะ” “ดิฉันเห็นประกาศรับสมัครมัณฑนากรในเว็บของบริษัท ที่บอกว่ายื่นสมัคร และประกาศผลทันทีหลังสอบสัมภาษณ์น่ะค่ะ ก็เลยมาสมัคร” หญิงสาวบอกแก่พนักงานต้อนรับของบริษัทที่ออกมาต้อนรับก่อนจะสอบถามเพื่อความแน่ใจ “ยังรับสมัครอยู่ไหมคะ?” “อ้อ รับค่ะ บอสยังไม่ได้มัณฑนากรตามคอนเซปต์เลย เลยยังเปิดรับอยู่ เชิญทางนี้เลยค่ะ” พนักงานต้อนรับสาวตอบก่อนจะเดินนำสองแม่ลูกไปยังทิศทางที่มุ่งตรงไปยังห้องของผู้เป็นประธานบริษัท “เดี๋ยวค่ะ ดิฉันพาลูกมาด้วย อนุญาตให้พาไปด้วยเหรอคะ?” คนพาลูกมาด้วยถามอย่างสงสัยเมื่อไม่เห็นทีท่าแปลกใจของพนักงานสาวที่เธอมีอีกคนหนีบมาด้วย พนักงานสาวยิ้มก่อนจะอธิบายให้ฟัง “ต้องบอกเลยว่าที่นี่ชิลมากค่ะ อนุญาตให้พนักงานพาลูกพาหลานที่อายุสามขวบขึ้นไปเข้ามาได้ หลายคนพาลูกมาทำงานด้วยยังมีเลยค่ะ ยิ่งช่วงปิดเทอมนะคะเด็กเนี่ยแน่นยิ่งกว่าโรงเรียนอีก ถ้าคุณได้ทำงานที่นี่ไม่ต้องกังวลเรื่องลูกเลย จะพามาเมื่อไหร่ก็ได้ จะไปรับมานั่งรอหลังโรงเรียนเลิกก็ได้ เพราะเราเลิกงานห้าโมง” “ว้าว ไม่เคยเห็นที่ไหนเลยค่ะ” “ที่นี่เราเน้นเรื่องความสบายใจของพนักงานและครอบครัวค่ะ ถ้าพนักงานสบายใจไม่กังวลเรื่องลูกก็จะทำงานได้เต็มที่ขึ้น ที่นี่เรามีโซนสำหรับลูกหลานพนักงาน พาลูกมาอยู่ใกล้ คุณพ่อคุณแม่คนไหนก็สบายใจจริงไหมคะ?” “จริงค่ะ ยิ่งฟังยิ่งอยากได้งานนี้จัง” รัมภาภัสร์บอก ส่วนเด็กหญิงรัมภาวีร์มองไปรอบ ๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ เธอชอบที่นี่ นึกอยากให้ช่วงที่ปิดเทอมอยู่นี้มารดาได้ทำงานที่บริษัทนี้เสียจริง ๆ ดูแล้วคงสนุกไม่น้อย “อ้อ ลืมแนะนำตัวเลย ดิฉันชื่อลิน อายุสามสิบถ้าอายุน้อยกว่าจะเรียกพี่ก็ไม่ว่ากันค่ะ” วรรณณลิน หรือ ลิน พนักงานต้อนรับสาวผู้เป็นมิตรแนะนำตัวพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ “รัมภาภัสร์ค่ะ เรียกว่ารุ้งหรือสีรุ้งก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะพี่ลิน” รัมภาภัสร์ตอบกลับก่อนที่หนูน้อยจะแนะนำตัวเองอย่างรู้งาน “ส่วนหนูชื่อรัมภาวีร์ค่ะ เรียกหนูเล็กก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะลินจ๋า” “ว้าว ปากหวานจังเลยลูก ท่าทางเป็นเด็กฉลาดนะจ๊ะเนี่ย” เพราะหนูน้อยไม่เรียกป้าวรรณณลินจึงรู้สึกเอ็นดูหนูน้อย ส่วนคนถูกเอ็นดูนั้นก็แค่เป็นเด็กรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางไม่อยากถูกเขม่นเพราะผู้หญิงวัยนี้ไม่ชอบให้เรียกป้าให้ดูแก่ก็เท่านั้น “แกค่อนข้างแก่แดดน่ะค่ะ แต่ก็รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางเชียวล่ะค่ะ” “ฉลาดแบบนี้ดีแล้วค่ะ พี่ชอบ นี่คนแรกเลยนะที่ไม่เรียกพี่ว่าป้า ลูกคนอื่นล่ะมาถึงสวัสดีป้ากันหมดเลย” วรรณณลินบอกก่อนที่จะเดินนำไปยังโต๊ะตัวใหญ่ที่มีสาววัยสามสิบห้าปีนั่งอยู่ ป้ายบนโต๊ะเขียนว่าเลขานุการ สองแม่ลูกจึงเดาได้ว่าหญิงสาวคงเป็นเลขานุการของประธานบริษัทหรือใครสักคนที่เกี่ยวข้องกับการเปิดรับมัณฑนากรครั้งนี้ “สวัสดีตอนเช้าค่ะพี่เมย์ เช้านี้มีคนมาสมัครเป็นมัณฑนากรหนึ่งอัตราค่ะ น้องพิจารณาแล้ว คนนี้ตรงตามเงื่อนไขของบอสแน่นอน” วรรณณลินบอกแก่เลขานุการสาวเกือบใหญ่ “รุ้งจ๊ะ นี่พี่เมลาณี หรือพี่เมย์ เป็นเลขาของท่านประธาน พี่เมย์คะ นี่น้องรุ้งค่ะ มาสมัครเป็นมัณฑนากร” “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันนะคะ พี่ขอเอกสารแนะนำตัวด้วยค่ะ” เมลาณีผู้เป็นเลขานุการของท่านประธานเอ่ยบอก คนเตรียมพร้อมมาตั้งแต่แรกยื่นสิ่งที่เมลาณีต้องการให้สาววัยเกือบกลางคนทันที “เดี๋ยวพี่จะเอาเข้าไปให้ท่านประธาน ลินพาน้องรุ้งไปรอที่ห้องสัมภาษณ์ให้ทีนะ” “ตามนั้นค่ะคุณพี่ มาค่ะน้องรุ้ง ตามพี่มา” วรรณณลินบอกก่อนจะนำไป หนูน้อยบ่นว่าต้องเดินอีกแล้วแต่ก็ตามไปโดยไม่เกี่ยงงอนก่อนที่เวลาต่อมาสองแม่ลูกจะได้นั่งรอภายในห้องที่มีทึบฝั่งประตูและผนังด้านขวา แต่ด้านซ้ายเป็นกระจกเงาและฝั่งตรงข้างกับประตูเป็นกระจกใสที่มองออกไปเห็นทิวทัศน์ด้านนอก “มีกระจกด้วยค่ะแม่รุ้ง กระจกแบบบ้านคุณตา” หนูน้อยบอกก่อนจะโบกไม้โบกมือไปทางฝั่งกระจกเงา “อย่าซนสิคะ เดี๋ยวคนฝั่งโน้นที่ดูเราอยู่ก็ตกใจแย่เลยที่หนูรู้ทัน”คนเป็นแม่บอกก่อนที่จะนั่งรออย่างสงบเสงี่ยม กระจกแบบบ้านคุณตาที่เด็กหญิงรัมภาวีร์พูดถึงนั้นคือกระจกชนิดพิเศษที่ฝั่งหนึ่งมองเห็นอีกฝั่งได้ แต่ฝั่งตรงข้ามมองกลับมาไม่เห็น ที่บ้านของคุณพ่อเธอ ไม่สิ... จริง ๆ แล้วบ้านหลังนั้นเป็นของคุณตาเธอที่ยกให้เป็นของขวัญแต่งงานของคุณแม่และคุณพ่อของเธอ ที่บ้านหลังนั้นมีห้องที่สร้างด้วยกระจกชนิดพิเศษอยู่และสมัยเด็กเธอมักจะเล่นกับน้อง ๆ เสมอ โตมาหน่อยก็พาหนูน้อยไปเล่นบ่อย ๆ เวลาที่ไม่พอใจพ่อของลูก กระจกบานนี้เพียงมองก็รู้ได้ว่าเป็นชนิดเดียวกันกับห้องกระจกอันคุ้นตา และทางฝั่งของเธอเห็นแค่เพียงเงาของตัวเองก็หมายความว่าอีกฝั่งของกระจกมีใครสักคนกำลังมองพวกเธออยู่ ถ้าเดาไม่ผิดคงจะเป็นท่านประธานหรือไม่ก็ผู้มีสิทธิ์ตอบรับเธอเข้าทำงาน “เก่งนี่ รู้ด้วยว่ามีคนมองอยู่” เสียงจากลำโพงที่อยู่มุมห้องด้านบนดังขึ้น “ผมชื่อปฐวี สิรากรเป็นประธานของสิรากรกรุ๊ป ผมขอชื่นชมในไหวพริบของพวกคุณแม่ลูก เอาล่ะ เรามาเริ่มสัมภาษณ์กัน กฎมีอยู่หนึ่งข้อที่ต้องปฏิบัติ นั่นก็คือจนกว่าการสัมภาษณ์จะจบห้ามลูกสาวของคุณเอ่ยปากพูดแม้แต่คำเดียว” “เป็นไปตามนั้นค่ะ” สองแม่ลูกตอบพร้อมกันก่อนที่หนูน้อยจะทำท่าทางรูดซิปปากและนั่งเงียบ ๆ “งั้นเรามาเริ่มกันเลยคุณรัมภาภัสร์” เสียงของปฐวีผู้เป็นประธานบริษัทบอกมาก่อนจะเริ่มการสัมภาษณ์ บทสัมภาษณ์ของปฐวีเป็นเรื่องเกี่ยวกับทัศนคติเป็นส่วนใหญ่ รัมภาภัสร์ตอบไปตามความจริงถึงเรื่องทัศนคติและวิธีคิดของเธอจนมาถึงคำถามสุดท้ายที่ปฐวีถามมาว่าทำไมเธอถึงอยากทำงานและถ้าได้งานคิดว่าจะทำงานที่นี่ได้นานแค่ไหน “ดิฉันค่อนข้างจะตรงไปตรงมา ขอบอกตามตรงว่าที่ดิฉันมาสมัครงานที่นี่ก็เพราะเป็นจังหวะที่ลูกสาวงอนพ่อของแกเราจึงพากันขึ้นมากรุงเทพเพื่อที่จะประชดพ่อของแก ในช่วงเวลานี้ดิฉันอยากจะทำงานในสายอาชีพที่เรียนมาสักครั้งก่อนที่พ่อลูกเขาจะดีกัน ส่วนเรื่องระยะเวลา ดิฉันมั่นใจว่าเกินสามเดือน” “สามีคุณทำงานอะไร ทำไมพูดเหมือนมั่นใจว่าอีกสามเดือนพ่อกับลูกเขาจะยังไม่คืนดีกัน” ปฐวีถามอย่างประหลาดใจ น้ำเสียงของเขาดูทึ่งในคำตอบที่ตรงไปตรงมาของหญิงสาวไม่น้อย “เขาเป็นทหารเรือค่ะ ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่คาบสมุทรอะไรด้วยซ้ำ” “โอเค ที่ผ่านมาไม่มีใครตอบผมได้ตรงแบบคุณและตรงใจผมเลย แต่คุณทำได้ ผมรับคุณเข้าทำงาน แต่...” ปฐวีบอกและเว้นคำพูดไว้ที่แต่ก่อนจะพูดต่อ “เดือนแรกเป็นการทดลองงาน ผมไม่จ่ายเงินเดือน ผมจะจ่ายเมื่อคุณทำงานครบสองเดือนโอเคไหม?” “โอเคค่ะ” “โอเค ถ้าอย่างนั้นคุณสะดวกเริ่มงานวันไหน?” ปฐวีถาม คำตอบของรัมภาภัสร์เป็นคำตอบที่เขาอยากได้ฟังจากคนที่เขาจะรับเข้าทำงานเขาจึงไม่ลังเลที่จะรับเธอเข้าทำงาน แม้จะรู้ว่าอีก3เดือนข้างหน้าเธออาจจะต้องลาออกก็ตาม ในเมื่อเขายินดีจะรับเธอคนนี้เข้าทำงานเขาก็เตรียมการไว้สำหรับวันนั้นแล้วว่าจะยื่นข้อเสนอใดให้เธอไม่ลาออกและเป็นข้อเสนอที่ไม่สร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวของหญิงสาว “วันนี้เลยก็ได้ค่ะ” คนอยากทำงานเอ่ยบอก “เวลาไม่คอยท่า ยิ่งเริ่มทำเร็วเท่าไหร่ ยิ่งคุ้มค่าสำหรับดิฉันค่ะ” “โอเค งั้นผมจะให้คุณเมย์พาคุณและลูกสาวมาหาผมที่นี่ แล้วผมจะแนะนำให้รู้จักกับหัวหน้าทีมมัณฑนากรที่ปากจัดที่สุดในสามโลก แต่ก็ทำงานดีที่สุดของบริษัท คุณจะได้ทำงานกับเธอ” “รับทราบค่ะ ท่านประธาน” พูดจบสองแม่ลูกก็แตะมือกันก่อนที่เมลาณีจะเข้ามาและนำไปยังห้องของท่านประธาน “แม่รุ้ง ๆ เมื่อคืนหนูเล็กเห็นรูปเขาในห้องครีมจ๋าแต่เป็นรูปตอนหนุ่มกว่านี้ ในรูปใส่ชุดนักเรียน” ทันทีที่ได้เห็นโฉมหน้าของปฐวีหนูน้อยก็กระซิบบอกคนเป็นแม่ทันที รัมภาภัสร์ที่สังเกตสังกาอยู่แล้วก็ยิ่งมั่นใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม “พี่ พี่ปรัช นี่ พี่ปรัช พี่ปรัชใช่ไหมคะ?” เมื่อมองจนแน่ใจหญิงสาวก็เรียกอีกฝ่ายทันทีด้วยความดีใจในขณะที่ปฐวี หรือ ปรัชได้แต่ประหลาดใจ “รู้จักชื่อเล่นผมด้วย เอ๊ะ เดี๋ยวนะ นามสกุลอารีราชนาวินทร์ นี่มันนามสกุลเพื่อนผมนิ คุณเป็นอะไรกับเพื่อนผม?” “สีรุ้งไงคะ น้องสาวพี่ครีมไง” เธอแนะนำตัวทันทีที่เห็นสีหน้าประหลาดใจ ที่แท้แล้วปฐวีคนนี้คือเพื่อนรุ่นเดียวกับพี่สาวของเธอ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคู่ปรับตลอดกาลของคนเป็นพี่เลยก็ว่าได้ และที่สำคัญสมัยเรียนรติภัทรมักจะปล่อยข่าวลือว่าปฐวีเป็นเกย์ที่ชอบตามเทียวไล้เทียวขื่อราชนาวีไปทั่วโรงเรียน และยังเป่าหูเธอกับน้อง ๆ ให้เชื่ออีกด้วย ‘หนูเล็กคงตกใจแย่เลยถ้ารู้ว่าพี่ปรัชเป็นคู่จิ้นของพ่อ ไม่พูดมากดีกว่า’ “น้องสีรุ้ง น้องสาวยัยสีครีม เห้ย จริงดิ พี่นึกว่าโตมาจะหน้าเหมือนยัยสีครีมเสียอีก” ปฐวีเหมือนจะระลึกได้จึงเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “พ่อครามบอกว่ารุ้งหน้าค่อนไปทางแม่เพียงน่ะค่ะ ส่วนพี่ครีมเหมือนพ่อคราม” “เห้ย พี่ไม่ได้เจอเรานานมากอะ ตั้งแต่พี่จบม.ปลายแล้วไปเรียนต่อที่เมกา ไม่รู้เลยนะเนี่ย ว่าเรามีลูกโตขนาดนี้แล้ว แซงหน้ากันนี่นา” สมัยก่อนเพราะต้องการยั่วโมโหรติภัทรชายหนุ่มจึงเข้ามาตีสนิทกับรัมภาภัสร์ ทั้งคู่จึงสนิทกันและสร้างความเข้าใจผิดให้รติภัทรอยู่ช่วงหนึ่งว่าชายหนุ่มเข้ามาจีบน้องสาวและน้องสาวก็ตกลงเป็นแฟนกับอีกฝ่ายจนตามหวงน้องสาวไปเสียทุกที่ แต่สุดท้ายแล้วรติภัทรผู้หวงน้องก็ต้องหน้าแตกเมื่อรู้ความจริงว่าแค่สนิทกันแบบพี่น้องเท่านั้น “เอ๊ะ ไม่ถูก เราเป็นน้องยัยสีครีม แล้วก็ไม่ได้ใช้นามสกุลแม่ทั้งคู่ เราก็ต้องใช้อัศวโยธินสิ ทำไมใช้นามสกุลไอ้รักได้ล่ะ?” เพราะห่างหายจากบ้านเกิดมามากว่าสิบปีปฐวีจึงไม่รู้อะไรมากนัก และไม่ค่อยว่างไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นจึงไม่รู้ข่าวคราวของใคร แค่เพื่อนในรุ่นคนไหนแต่งงานแล้วเขายังไม่รู้ แล้วประสาอะไรกับน้องสาวคู่ปรับ และเพื่อนสนิทที่แยกไปเรียนนายเรือและห่างหายกันไปนานอย่างราชนาวีที่เขาจะไปรู้ “นี่ลูกสาว แสดงว่าเราแต่งงานแล้ว แล้วเราก็ใช้นามสกุลอารีราชนาวินทร์ นี่เราไปเกี่ยวดองอะไรกับบ้านไอ้รัก?” “เพื่อนพี่ปรัชเป็นพ่อของหนูเล็กค่ะ ดีเอ็นเออยู่บนหน้านั่นน่ะมองดูสิ” รัมภาภัสร์บอกพร้อมกับให้หันดูหน้าหนูน้อยรัมภาวีร์ที่โขลกสำเนาผู้เป็นพ่อมาถูกต้องทั้งที่เธอเป็นคนอุ้มท้องและคลอดออกมา “เห้ย จริงดิ” ไม่ใช่เรื่องของเด็กหญิงรัมภาวีร์เท่านั้นที่ทำให้ชายหนุ่มอึ้ง เขายังตกตะลึงที่รัมภาภัสร์ไปตกร่องปล่องชิ้นกับราชนาวีที่ยิ่งกว่าคู่กัดได้ หรือที่เขาบอกว่าเกลียดอะไรมักได้อย่างนั้นจะเป็นจริง จริงไม่จริงไม่รู้ รู้แค่ว่านอกจากทั้งคู่จะตกร่องปล่องชิ้นกันแล้วยังมีโซ่ทองคล้องใจที่สำเนาใบหน้าได้พ่อมาเต็มร้อยอีกด้วย “เรื่องมันยาวค่ะ เอาเป็นว่า รู้แค่ว่าหนูเล็กเนี่ย ลูกเขาก็พอ ส่วนเรื่องรุ้งกับเขาไม่ต้องถาม เคยเป็นอย่างไรตอนนี้ก็เหมือนเดิม เพียงแต่เพลาลงมานิดหน่อยก็เท่านั้น” หญิงสาวบอกก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “กลับมาที่เรื่องงาน ให้รุ้งทำงานกับพี่ครีมได้ไหมอะ” “เอ่อ พี่ก็จะให้เราทำงานกับยัยนั่นแต่แรกแล้วล่ะ ยัยนั่นยังปากร้ายคงเส้นคงวาแต่ก็ทำงานเก่งคนที่ได้ทำงานกับยัยนั่นถือเป็นระดับมือดีของบริษัทเลยล่ะ” ปฐวีบอกพร้อมกับลำดับเรื่องราวภายในใจ รัมภาภัสร์บอกว่าลูกสาวงอนพ่อและพ่อเป็นทหารเรือ ซึ่งพ่อของหนูน้อยก็คือราชนาวี หมายความว่าหนูน้อยกำลังงอนราชนาวีและตกลงกับแม่หนีออกจากบ้านประชดราชนาวีอย่างนั้นใช่ไหม? แล้วราชนาวีจะไม่เอาเรื่องเขาใช่ไหมที่รับรัมภาภัสร์เข้าทำงาน? “ว้าว ดีเลย จริงสิ ยังไม่ได้แนะนำเลย นี่รัมภาวีร์ค่ะ เรียกแกว่าหนูเล็กก็แล้วกัน ตอนนี้อายุห้าขวบแต่สมองราวกับยี่สิบสอง แก่แดดอย่าบอกใครเชียว หนูเล็กคะ ไหว้ลุงปรัชสิคะ ลุงปรัชเป็นเพื่อนครีมจ๋าแล้วก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพ่อรัก” หญิงสาวแนะนำหลังจากที่พูดคุยกับพี่คนสนิทจนปล่อยให้ลูกสาวงงอยู่นาน นอกจากจะเป็นเพื่อนแล้วราชนาวีกับปฐวียังมีสถานะเป็นลูกพี่ลูกน้องกันด้วย “สวัสดีค่ะลุงปรัช” “ไม่เรียกลุงปรัชสิ ทียัยครีมยังเรียกครีมจ๋าเลย เรียกว่าปรัชจ๋า โอเคไหม?” ชายหนุ่มต่อรองเมื่อคำเรียกมันค่อนข้างไม่ถูกใจ “เดี๋ยวเลี้ยงไอติม” “ตามนั้นค่ะปรัชจ๋า” “เอาของกินมาล่อล่ะยอมตลอดเลยนะแม่คนตะกละ” คนเป็นแม่ว่าให้อย่างเอ็นดู ปฐวีเองก็ยิ้มเอ็นดูหลงรักหนูน้อยเข้าเต็มเปา หนูน้อยรัมภาวีร์น่ารักและฉลาดหลักแหลมเสียจนเขานึกเสียวสันหลัง น่ารักขนาดนี้พ่อคงหวงน่าดู มีแววว่าขึ้นฝั่งเมื่อไหร่ต้องรีบมาเอากลับแล้วเก็บไว้อย่างมิดชิดเป็นแน่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD