ฝนห่าใหญ่ตกลงมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ราวกับเจตนาจะกักขังไม่ให้สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้เคลื่อนไหว ชั่วครู่ที่ฉันกำลังนั่งหงอยอยู่คนเดียว พลันมีเงาร่างสูงโปร่งคุ้นตาเดินเข้ามาใกล้ ฉันอยากลุกขึ้นไปบอกว่าตอนนี้ร้านปิดทำการแล้ว แต่ขยับเขยื้อนไม่ได้...
ใช่ ฉันอยู่ในความฝัน และเป็นความฝันที่เคยเกิดขึ้นจริง
“ผมเห็นไฟเปิด คิดว่าแม่กับนี่นาติดฝนอยู่ในร้าน” มาร์ค แบร์นาร์ด เอ่ยถึงแม่และน้องสาว
“แคลร์พานีน่าไปหาหมอค่ะ ฉันเลยอาสาปิดร้านแทน”
เขาหุบร่มสีน้ำเงินกรมท่าวางใส่ในถังสแตนเลสทรงสูงข้างประตู ก่อนจะหันมาทางฉันและเอามือเสยเส้นผมสีน้ำตาลทองที่เกาะติดความชื้นขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้าจนทำเอาดวงตาของฉันพร่ามัว ฉันไม่มีทางลืมเลือนความรู้สึกหวามไหวในตอนนั้น
เราสองคนติดฝนอยู่ด้วยกันนานเป็นชั่วโมง...
“ดื่มชาไหมครับ” เขาถือถาดที่มีเหยือกไฟฟ้าต้มน้ำร้อน แก้วชาสองใบ กล่องคุกกี้ทูเลย์[1]และโหลเซรามิคบรรจุถุงชากลิ่นรสต่างๆ มาวางบนโต๊ะ
“ดีเหมือนกันค่ะ”
“ผมเคยดื่มชามะลิของไทย ตอนไปเที่ยวเกาะสมุย”
เขาชวนคุย
“ชอบไหมคะ”
“ชอบมากครับ น่าเสียดายที่ไม่มีขายในฝรั่งเศส”
“ถ้าคุณอยากได้จริงๆ ฉันขอให้ญาติส่งมาให้ได้นะคะ”
“ผมเอาจริงนะ”
“ฉันก็ไม่ได้ล้อเล่นค่ะ”
เสียงหัวเราะขบขันของเราสองคนค่อยๆ เลือนราง เหตุการณ์ก้าวกระโดดไปตอนที่ฉันสอนมาร์คทำซูชิอยู่ในห้องครัวที่อะพาร์ตเมนต์ของเขา
“ทำไมไส้ซูชิของคุณ ไม่ทะลักออกมาเหมือนของผม” มาร์คเลิกคิ้วข้างหนึ่ง สายตาส่อแววฉงนจ้องมองสิ่งที่อยู่ในมือของเราแต่ละคนสลับกัน
“เวลาม้วนแผ่นสาหร่ายให้ใช้ปลายนิ้วกดเข้ามาจากด้านหน้าค่ะ”
ฉันกลั้นหัวเราะกับท่าทางมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังของเขา “นิ้วหัวแม่มือแค่ประคอง ไม่ต้องออกแรงบีบ ทำแบบนี้ค่ะ”
ฉันวางมือเหนือเขาและสาธิตวิธีการกดนิ้วที่ถูกต้อง มาร์คยืนตัวแข็งทื่อแล้วก็นิ่งเงียบไปเฉยๆ ฉันรีบก้มลงมองที่พื้นกลัวว่าจะเผลอไปเหยียบเท้าของเขา
“คุณไม่สบายหรือเปล่าคะ”
“ปล่าวครับ...ผมแค่...อยากให้คุณยืนกุมมือแบบนี้ นานอีกสักหน่อย” เขายิ้มกริ่ม นัยน์ตาสีฟ้าเป็นประกายระยับส่อถึงอารมณ์เบิกบาน
“ให้ยืนนานๆ ก็เมื่อยสิคะ”
ฉันปล่อยมือ ขยับออกมายืนตำแหน่งเดิม กลิ่นน้ำหอมผู้ชายผสมกลิ่นกายของเขาชวนให้เคลิบเคลิ้มมึนเมายิ่งกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เสียอีก
“ถ้าคุณไม่ชอบยืน ผมจะซื้อเก้าอี้ทำอาหารมาไว้ให้คุณ”
“ไม่คิดจะทำกับข้าวให้ฉันกินบ้างหรือคะ”
“คิดสิครับ ให้ผมแสดงฝีมือเย็นนี้เลยเป็นไง”
เราสองคนหัวเราะและพูดจาเย้าหยอกกันอย่างมีความสุข จากนั้นภาพก็ตัดมาตอนที่เราช่วยกันเลือกของขวัญคริสมาสต์ให้กับคนในครอบครัวของอีกฝ่าย
“แม่กับปะป๊าชอบนอนเบียดกันบนโซฟาเวลาดูซีรี่ส์ ฉันคิดว่าต้องหาผ้าห่มผืนใหญ่กว่านี้” ฉันไล่พลิกดูป้ายแสดงรายละเอียดของสินค้าที่เรียงรายอยู่บนชั้นวาง
“เรารีบซื้อของแล้วกลับไปดูซีรี่ส์ที่ห้องผมกันเถอะ” มาร์คยิ้มอย่างมีเลศนัย
“เผยไต๋ไวเกินไปหรือเปล่าคะ”
“เห็นที คราวหน้าผมคงต้องวางแผนให้แนบเนียนกว่านี้”
ฉันเงยหน้าขึ้นเพื่อที่จะมองสบตากับเขา ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างเลือนหายไป... เมื่อเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ฉันถูกกระชากกลับมาสู่โลกแห่งความจริงที่ปราศจากความรู้สึกหอมหวานดั่งเช่นในวันวาน
ย่างเข้าสู่สัปดาห์ที่สามของเดือนมกราคม โรคไข้ใจทุเลาลงเพียงเล็กน้อย ฉันยังมีอาการหดหู่หม่นหมอง นอนไม่ค่อยหลับ เบื่ออาหาร ขาดแรงจูงใจในการทำสิ่งสร้างสรรค์ และที่สำคัญคือเงินในบัญชีธนาคารมียอดคงเหลือแค่ 200 ยูโร
อีกตั้งสิบกว่าวันเงินทุนค่าเล่าเรียนจากรัฐบาลถึงจะโอนเข้าบัญชีเงินฝาก ฉันไม่อยากแบมือขอตังค์แม่กับปะป๊า เพราะรายจ่ายที่งอกเงยขึ้นมา อาทิ ค่าโทรศัพท์(มือสอง)เครื่องใหม่ และค่าปรับ 135 ยูโร เกิดจากผลของการกระทำอันโง่เขลาที่ฉันสมควรต้องรับผิดชอบด้วยตนเอง
ฉันลงทุนเปลี่ยนเบอร์มือถือเพื่อตัดขาดการติดต่อกับมาร์ค เลี่ยงใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์ตอนขับรถกลับบ้าน พยายามทำตัวให้ยุ่งวุ่นวายตลอดเวลา หางานพิเศษทำหลังเลิกเรียน ทว่าในสมองยังคิดถึงเขาอยู่ ในความฝันที่เลิศเลอเกินกว่าจะใฝ่ฝันของฉัน เขายังคงมีอำนาจสูงสุด
บ่อยครั้งที่ฉันนึกสงสัยว่ามาร์คคิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า เขารู้สึกโหยหาสัมผัสจากฝ่ามือที่อบอุ่นนุ่มนวลเหมือนกันบ้างไหม ลึก ๆ แล้วฉันแอบคาดหวังให้เขาตามมาง้องอน แม้ว่าฉันจะไม่เคยระบุที่อยู่บ้านหรืออะพาร์ตเมนต์ให้เขารับรู้อย่างแน่ชัด
ในยามค่ำคืน ฉันได้ตระหนักถึงความน่ากลัวของฮอร์โมนเพศหญิง จิตใต้สำนึกกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ทั้งก่นด่าที่ฉันไม่ทำตามความปรารถนาของตนเองที่อยากจะละทิ้งศักดิ์ศรีอันเย่อหยิ่งแล้ววิ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา
ฉันมีพฤติกรรมคล้ายพวกเสพติดความเจ็บปวด แค่ได้ยินเสียงเพลงที่เราสองคนเคยนั่งฟังด้วยกัน น้ำในดวงตาของฉันก็เอ่อคลอ... ทำไมฉันต้องร้องไห้แสดงความอาลัยอาวรณ์ต่อเขาอีก ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าลมปากของผู้ชายอย่างเขาเชื่อถือไม่ได้ ความฝันและความหวังที่เคยวาดไว้มันพังทลายไปหมดแล้ว
“คิดอะไรอยู่ ? ”
เสียงของปะป๊าดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เล่นเอาคนที่นั่งเหม่ออยู่หน้าทีวีสะดุ้งเฮือก
“เปล่าค่ะ” ฉันฉีกยิ้มกลบเกลื่อนอาการพิรุธ
“ถ้าว่างก็มาช่วยป๊าเก็บไฟคริสมาสต์หน่อย”
ปะป๊าถือกล่องเครื่องมือสารพัดช่างเดินนำออกไปก่อน ท่าทางเงียบขรึมเหมือนไม่มีอะไร แต่น้ำเสียงและสายตาห่วงใยของคนเป็นพ่อ ทำให้ฉันรับรู้ได้ว่าปะป๊ามีเรื่องสำคัญที่ต้องพูด
“อายทำหน้าเศร้าเหมือนคนญาติเสีย”
ปะป๊าใช้กรรไกรตัดที่รัดพลาสติกใส่ถุงขยะ โดยที่ฉันเป็นคนม้วนสายไฟเก็บลงกล่องกันน้ำ สายตาเจนโลกที่เพ่งมองมาทำให้ฉันก้มหน้าหลบอย่างจนตรอก
“มีปัญหาใช่ไหม”
“แค่ปัญหาวัยรุ่นค่ะ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย”
“สามวันก่อน ป๊าได้รับจดหมายแจ้งใบรับรองการเสียค่าปรับจากกรมทางหลวง”
สิ่งที่ได้ยินจากปากของปะป๊า ทำเอาฉันเกือบสำลักลมหายใจ บ้าจริง... ฉันลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองใช้ชื่อของปะป๊าเป็นเครดิตทำธุรกรรมทางการเงินทุกประเภท
“อายแค่ขับรถเร็วเกินกำหนด[2]”
“ป๊าเลี้ยงอายมาตั้งแต่ยังไม่หย่านม คิดว่าคนเป็นพ่อไม่รู้หรือว่าลูกสาวตัวเองเป็นคนยังไง ถ้าไม่เจอกับเรื่องหนักหนาสาหัสจนรับมือไม่ไหว อายไม่มีทางทำอะไรเสี่ยงอันตรายแบบนั้น” ปะป๊าถอนหายใจยาว
“ป๊าไม่อยากให้อายปกป้องคนอื่นจนทำให้ตัวเองต้องตกที่นั่งลำบาก”
“อายทำตัวเองทั้งนั้นค่ะ”
ปะป๊าทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ อาการเดียวกับตอนที่ไปพบผู้ปกครองของเพื่อนสมัยมัธยมปลายที่บูลลี่ว่าฉันเป็นตัวแพร่เชื้อโคโรน่าไวรัส แต่ท่านไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าการกล่าวตักเตือนอีกฝ่าย
“ก็เป็นเสียอย่างนี้” ปะป๊าบ่นเสียงขึ้นจมูก
ฉันกัดริมฝีปากล่างพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล...เดินไปกอดปะป๊าที่แข็งแรงเหมือนหมียักษ์ รู้สึกราวกับตัวเองยังเป็นเด็กหญิงวัยห้าขวบที่โดนจับได้ว่าแอบขโมยกินเค้กวันเกิดของคนอื่น
“วันที่อนุญาตให้อายออกไปอยู่อะพาร์ตเมนต์ ปะป๊าเป็นคนบอกแม่ว่าอายโตแล้ว อายสามารถรับผิดชอบชีวิตของตัวเองได้ อายแค่โดนใบสั่ง ปะป๊าถึงกับหมดความเชื่อมั่นในตัวอายเชียวเหรอคะ”
“อายเป็นเด็กดี ป๊าอยากให้อายคบหากับคนดีเหมือนกัน”
ฉันสูดจมูกเบาๆ ก้าวถอยออกมาอย่างเข้มแข็ง
“ขอบคุณค่ะ ปะป๊า”
“สัญญาก่อนว่าจะไม่ทำเรื่องเสี่ยงอันตรายอีก”
“สัญญาค่ะ”
เราสองคนพ่อลูกช่วยกันเก็บไฟประดับใส่กล่องพลาสติกกันน้ำและตัดแต่งกิ่งไม้แห้งทำให้สวนหน้าบ้านดูสวยงามน่ามองมากขึ้น แม้ว่าฤดูใบไม้ผลิจะมาเยือนในอีกสามเดือนข้างหน้า...
บ้านของเราอยู่ในเมืองลาบิโยล(เลอ) (La Biolle) ติดกับทางหลวงชนบทสาย41 เชื่อมต่อไปถึงเมืองอันซีและเมืองเจนีวา(Genève)ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เช่นเดียวกับร้านตัดเย็บเสื้อผ้าบูติคของแคลร์ซึ่งอยู่ในเมืองแซงต์-เฟลิกซ์ (Saint Félix)
ระหว่างที่ฉันและปะป๊าง่วนอยู่กับการตักซอสเพสโต้และซอสโบโลเนสแบ่งใส่โหลแก้วสุญญากาศเพื่อนำไปเป็นเสบียงกักตุนไว้ที่อะพาร์ตเมนต์ แม่ก็หิ้วถุงกระดาษเดินเข้ามาที่ห้องรับแขกซึ่งเป็นพื้นที่เปิดโล่งติดกับห้องครัวและบาร์เครื่องดื่ม หัวใจฉันเต้นแรงตอนที่เห็นอักษรคำว่าอะเตลีเยร์-เละ-ดัวต์-เดอ-ฟี (Atelier les doigts de fée) ชื่อร้านของแคลร์ !
“อายมีเรียนตอนสิบเอ็ดโมงใช่ไหม ช่วยแวะเอาชุดเช่าไปคืนให้แม่ทีนะ”
“เดี๋ยวผมจัดการให้เอง ยังไงก็ต้องเอารถไปตรวจสภาพที่ศูนย์อยู่แล้ว”
การเสนอตัวเข้าช่วยเหลือของปะป๊า ทำให้ฉันรู้สึกทั้งยินดีและไม่ยินดี แม้ว่าไม่มีความเป็นไปได้ที่จะเจอกับมาร์คที่นั่นในช่วงเช้าของวันจันทร์
“ให้ลูกไปนั่นแหละ แคลร์น่าจะมีเรื่องอยากพูดด้วย”
“พวกผู้หญิงนี่แปลกจริงๆ ทำไมถึงไม่โทรคุยกัน”
“ลูกเพิ่งเปลี่ยนเบอร์มือถือ คุณนี่...เป็นพวกต่อต้านสิทธิสตรีหรือยังไง”
“ดูแม่เขาสิ ป๊าแสดงความคิดเห็นบ้างไม่ได้เลย”
“อย่าไปถือสาผู้หญิงวัยทองค่ะ” ฉันป้องปากพูดเสียงเบา ปะป๊าหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างชอบใจ
“สุมหัวนินทาอะไรฉัน” แม่ท้าวเอวท่าทางเอาเรื่อง
ปะป๊าวางมือจากโหลแก้วสุญญากาศ เดินไปหาแม่ที่ห้องรับแขกและโอบกอดเหมือนพยายามง้องอน ก่อนจะใช้มือข้างที่เปื้อนคราบซอสโบโลเนสป้ายปากแม่
“อร่อยมั้ยที่รัก”
“ว๊ายย...คนบ้า เล่นสกปรก”
แม่วิ่งไล่ทุบปะป๊าไปทั่วบ้าน เสียงโวยวายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะและเงียบลง...
ร้านของแคลร์เปิด 9โมงตรง ฉันแน่ใจว่าตัวเองเป็นลูกค้าคนแรก นีน่าวิ่งมากอดฉันด้วยความดีใจ เธออายุน้อยกว่าฉันสองปีแต่ส่วนสูงล้ำกว่าฉันเกือบครึ่งฟุต เราสองคนเข้ากันได้ดีเพราะมีอะไรคล้ายกันหลายอย่าง อาทิ นิสัยซุ่มซ่าม โกหกไม่เก่ง จมูกไว หูไว และไม่มีความมั่นใจเหมือนกัน
ทว่านีน่าหวาดกลัวการเข้าสังคมจนไม่ยอมไปเรียนต่อ แต่ฉันไม่รู้สาเหตุที่ทำให้เธอมีปมในใจและไม่กล้าซักถามละลาบละล้วง
“เราคิดถึงพี่มากๆ ทำไมไม่ยอมมาเยี่ยมเราเลย”
“พี่มัวหลงเพลินกับเทศกาลน่ะ”
ฉันรู้สึกละอายใจเหลือเกิน ที่ทำตัวหายสาบสูญไปจากวงจรชีวิตของแคลร์กับนี่น่า ตั้งแต่ช่วงที่แอบคบหาดูใจกับมาร์คจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
“เธอสูงขึ้นหรือเปล่าเนี่ย”
“นิดนึง” นีน่าหัวเราะ พร้อมกับทำท่าจีบนิ้ว
“โอ้...นึกว่าเธอลืมเส้นทางมาที่นี่เสียแล้ว”
แคลร์เข้ามากอดทักทาย
“แม่ฝากชุดมาคืนค่ะ” ฉันยื่นถุงให้แคลร์
“ฉันมีเรื่องให้ช่วย แต่ติดต่อเธอไม่ได้เลย” แคลร์บ่น
“ฉันซุ่มซ่ามจนทำมือถือพังค่ะ เลยถือโอกาสเปลี่ยนเบอร์ใหม่เผื่อจะโชคดีขึ้น”
ฉันกดโทรหยอดเข้ามือถือของแคลร์ แล้วต่อด้วยมือถือของนีน่า “เบอร์ใหม่ของฉัน เลขสวยไหมคะ”
“ว้าว เลขท้ายเรียงลำดับเสียด้วย” แคลร์หัวเราะชอบใจ
“ว่าแต่... คุณมีเรื่องอะไรให้ช่วยเหรอคะ”
“ฉันอยากให้เธอมาช่วยงานปรับแก้ขนาดเสื้อผ้าของลูกค้าในวันเสาร์และรับงานตัดเย็บกระโปรงบัลเล่ต์ไปทำตอนเลิกเรียน ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยมีเวลาเพราะต้องไปดูแลมาร์คที่โรงพยาบาล”
“อะไรนะคะ! มาร์คอยู่ที่โรงพยาบาล ? ”
ฉันอุทานอย่างลืมตัว
“เขาขับรถชนกับรถของแฟนนางแบบบนมอเตอร์เวย์ มีเรื่องเจ็บตัวตั้งแต่วันแรกของปีใหม่เลยล่ะ”
คำตอบที่ได้ยินจากปากแคลร์ ยืนยันสถานะของฉันทางอ้อม ฉันรู้สึกหน้าชาไปทั้งแถบราวกับเพิ่งโดนตบ หมายความว่ามาร์คมีโลกสองใบหรืออาจจะมากกว่านั้น ความห่วงหาอาทรที่มีต่อสวัสดิภาพของเขาถูกแทนที่ด้วยความเจ็บแค้นเคลือบแคลงใจ
“แฟนนางแบบของมาร์ค... ใช่ โซฟีหรือเปล่าคะ”
ฉันถามซอกแซกเพื่อค้นหาความจริง
“พี่รู้จักโซฟีด้วยเหรอคะ” นีน่ามองฉันอย่างสงสัย
“พี่เคยได้ยินมาร์คคุยโทรศัพท์กับเธอน่ะ” ฉันกล่าวอ้าง แล้วก็หันไปถามแคลร์ “เขาเป็นอะไรมากไหมคะ”
“มาร์คต้องเข้าเฝือกอ่อนทั้งแขนทั้งขา แต่ฉันคิดว่าเขาคงบอบช้ำที่ใจมากกว่า” แคลร์ถอนหายใจเบาๆ
“ฉันขออวยพรให้มาร์คฟื้นตัวในเร็ววันนะคะ”
ฉันพยายามปิดบังแววเสียดสีในน้ำเสียงให้แนบเนียนที่สุด แม้ว่าในใจคิดต่าง ผู้ชายสำส่อนอย่างเขาคงไม่มีหัวใจให้รู้สึกรู้สมอะไรหรอก...
[1] Almond Tulies ขนมเบื้องฝรั่งเศส, คุกกี้ทูเลย์ หรือ คุกกี้ลิ้นแมว ขนมแผ่นบางคล้ายลิ้นแมว หอมเนย หวานไม่มาก มีความกรุบกรอบ
[2] ความเร็วสูงสุดบนถนนมอเตอร์เวย์ในประเทศฝรั่งเศส คือ 130KM/H