วางระเบิดความรู้สึก

1365 Words
ความร้าวรานในน้ำเสียงของมาร์คทำให้ฉันนึกอยากรู้ขึ้นมา ฉันเงยหน้าและมองสบตากับเขาอย่างลืมตัว นัยน์ตาสีฟ้าที่เคยสดใสคู่นั้นหม่นเทา เขาเสยผมไปด้านหลัง ท่าทางเหมือนคนคิดไม่ตกและเป็นกังวล “ทำไมหรือคะ” ทำไมสีหน้าเขาเคร่งเครียด ? ฉันรู้สึกใจหายวาบ หรือว่า...โซฟีจะ...ไม่รอด... “ผมพยายามจะอธิบายเรื่องนี้กับคุณมาตลอด” มาร์คกุมมือฉันเอาไว้ เพื่อให้ฉันใจเย็นๆ แต่เท่าที่เห็น...เขานั่นแหละที่ดูร้อนใจมากกว่า “ผมกับโซฟีไม่เคยคบหากันในฐานะคู่รัก เราเป็นแค่เพื่อนเที่ยวและบางครั้งก็มีเซ็กซ์กัน” ฉันหน้าแดง ค่อยๆ ดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขา “Friends with benefits” ฉันพึมพำออกมาเสียงแห้ง “ใช่ครับ หลังจากที่ผมรู้จักกับคุณ ผมก็ขอยุติความสัมพันธ์กับโซฟีและไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเธออีกเลย วันนั้นผมเปิดประตูให้เธอ เพราะคิดว่าคุณกลับมาเอาโทรศัพท์มือถือ โซฟีมาขอร้องให้ผมจูบเธอเป็นครั้งสุดท้าย ผมยอมทำตามที่เธอขอเพราะอยากให้เธอรีบไป คิดไม่ถึงว่าคุณจะกลับมาจังหวะนั้น” มาร์คจ้องฉันเขม็ง “แต่ฉันได้ยินแคลร์เอ่ยถึงโซฟีในฐานะที่เธอเป็นแฟนของคุณ” ฉันพูดอย่างมั่นใจ “ผมจำเป็นต้องกล่าวอ้างให้แม่และคนอื่น ๆ เข้าใจว่าโซฟีคือแฟนผม เพื่อยุติเรื่องราวที่มันบานปลายทั้งหมด เพราะตำรวจมีวิดีโอจากกล้องวงจรปิดที่เป็นหลักฐานยืนยันว่าเธอตั้งใจขับรถชนผมบนมอเตอร์เวย์” เขาประเมินท่าทีของฉัน “ผมไม่เคยโกหกคุณ” สีหน้าและแววตาของเขาดูจริงใจ แต่ฉันไม่อยากหูเบา...ไม่อยากเจ็บซ้ำสองกับผู้ชายคนเดิม “แล้วคุณมีวิดีโอที่ว่านั่นไหมล่ะคะ” “ผมเก็บรักษามันไว้อย่างดีเลยล่ะ” มาร์คหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แตะปลายนิ้วบนหน้าจอ เขาเปิดหลักฐานสำคัญให้ฉันดูชัดๆ ด้วยตาเนื้อของตัวเอง มีทั้งคลิปวิดีโอที่ได้จากกล้องวงจรปิดของกรมทางหลวงและวิดีโอจากกล้องมุมต่างๆ ในรถยนตร์คันเก่าของเขา ฉันตะลึง...หัวใจบีบรัดจนเจ็บ ตอนที่เห็นรถสปอร์ตสีแดงพุ่งชนรถเอสยูวีสีดำพลิกคว่ำ ทุกอย่างมันน่ากลัวและดูโหดร้ายเกินไป ไม่น่าเชื่อว่ามาร์คจะมีชีวิตรอดปลอดภัยมาได้ “ทำไม... เธอ...ทำแบบนั้น” เสียงฉันดังแผ่ว รู้สึกเหมือนหัวใจกระดอนขึ้นมาจุกอยู่ตรงลำคอ “โซฟีรับไม่ได้ที่ถูกผมผลักไส พอเห็นผมขับรถออกไปตามง้อคุณ เธอคงโกรธจนคลั่ง” บ้าบอที่สุด...ฉันกลืนคำพูด นึกถึงสภาพตัวเองตอนถูกตำรวจขับรถประกบแล้วก็เข้าใจว่าเราทุกคนเคยทำเรื่องผิดพลาดกันทั้งนั้น ฉันเอนหลังพิงพนักโซฟาและหลับตาลง พยายามสลัดความคิดต่างๆ นาๆ ที่กำลังตีกันวุ่นวายออกไปจากสมอง “เหลือเชื่อจริง ๆ ” “คุณไม่เคยเปิดอ่านข้อความของผม” “ฉัน...กลัวตัวเองจะใจอ่อน กลัวจะถูกคุณหลอกค่ะ” “ผมนึกอยู่แล้ว” เขาหัวเราะอย่างขมขื่น “คุณถึงได้เปลี่ยนเบอร์โทร” “แล้วยังไงคะ ฉันไม่ได้พยายามฆ่าคุณสักหน่อย” ฉันเบือนหน้าไปมองภาพวาดที่แขวนไว้บนผนังห้อง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกน้อยใจ ดูเหมือนว่าเขายอมให้อภัยคนทั้งโลก...ยกเว้นฉันคนเดียว “ไม่ อารยา...คุณฆ่าผมทั้งเป็น ผมโดนกักตัวอยู่ในโรงพยาบาลและพูดความจริงกับใครไม่ได้สักคน ผมทำได้แค่ภาวนาให้คุณอ่านข้อความของผมและรอคุณติดต่อกลับมา ทันทีที่หมอถอดเฝือกให้ ผมก็พยายามตามหาตัวคุณ แล้วก็ได้เห็นคุณกอดจูบกับคนอื่น” ลำคอฉันแห้งผากไปหมด ทำไม...ฉันถึงกลายเป็นคนผิดล่ะ “คุณคิดว่าฉันดีใจที่เรื่องทุกอย่างมันเป็นแบบนั้นหรือคะ ? ” เสียงฉันสั่นเครือ “ผมขอโทษ...” มาร์คถอนหายใจยาว พลางใช้ปลายนิ้วมือนวดสันจมูก “น้ำชาเย็นชืดหมดแล้ว” เขาลุกขึ้น หยิบถ้วยชาทั้งสองใบไปเททิ้งที่อ่างล้างจาน จากนั้นก็เติมน้ำ นำไปอุ่นในตู้อบไมโครเวฟเสร็จสรรพ ก่อนจะเดินกลับมาที่โซฟารับรองแขก เราทั้งคู่ปิดปากเงียบ นั่งจิบชาที่ชงใหม่ ท่ามกลางบรรยากาศกึ่งหวานกึ่งขมภายในห้อง...รู้สึกเหมือนบาดแผลฉกรรจ์ได้รับการเยียวยาหลังจากที่ควักหัวใจของอีกฝ่ายออกมาย่ำยี กระทั่งหายโกรธเคือง “ฉัน...ขอโทษที่ไม่เชื่อใจคุณ” ฉันเอ่ยคำวิเศษณ์ออกไปจนได้ “ขอโทษง่าย ๆ แค่นี้เอง” มาร์ควางถ้วยชาลงบนโต๊ะ ร่างสูงใหญ่ขยับมาใกล้ เขายกแขนโอบฉันเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด ความอบอุ่นใกล้ชิดทำให้บรรยากาศระหว่างเราเปลี่ยนไป “ไม่คิดจะปลอบขวัญผมสักหน่อยหรือ” น้ำเสียงเขาเว้าวอน “คราวนี้ คุณวางแผนได้แนบเนียนเชียวนะคะ” ฉันทำเป็นปากเก่ง ทั้งที่ในใจหวาดหวั่น มาร์คยกมือเชยคางฉันเพื่อให้มองสบตากับเขา “อารยา...ผมรักคุณมากนะ” นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นเข้มขึ้นราวกับไพลินที่สัมผัสแสงไฟ ชีพจรในกายฉันเต้นรัว เมื่อกลีบปากล่างถูกปลายนิ้วหัวแม่มือของเขาแตะไล้ “เลิกใจร้ายกับผมได้แล้ว” เสียงกระซิบของมาร์คดังอยู่ข้างแก้ม ริมฝีปากร้อนรุ่มประกบจูบริมฝีปากของฉัน เขาใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งประคองท้ายทอยฉันเอาไว้ ฟันหน้าของเรากระทบกัน เขาสอดปลายลิ้นเข้ามาไล้ลิ้นฉันอย่างเร่าร้อนและเรียกร้อง ร่างหนาหนักกดฉันจมลงบนโซฟา เสื้อผ้าของเราสองคนหลุดลุ่ย สะโพกแนบสะโพก ฉันรับรู้ได้ถึงความต้องการของเขา “หยุดก่อนค่ะ” ฉันหอบหายใจ เราไม่เคยจูบกันดุเดือดขนาดนี้ “ให้ตาย... ผม...” เขาซุกหน้าเข้าหาซอกคอของฉัน ส่งเสียงพึมพำเหมือนคนกำลังเจ็บปวด ก่อนจะพลิกกายนอนตะแคงข้าง และโอบกอดฉันไว้ในวงแขน ฉันผล็อยหลับไป และงัวเงียตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนที่ท้องฟ้ามืดสนิท “มาร์ค” ฉันกะพริบตาติดต่อกันอย่างงุนงง ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในความฝันหรือความจริง กระทั่งได้ยินเสียงล้อเลียน “นอนต่อเถอะครับ” เขายิ้มกริ่ม ฉันดันร่างออกจากอ้อมอกอุ่น มองไปที่นาฬิกาแขวนบนผนังห้อง “สองทุ่มแล้ว คุณน่าจะปลุกฉัน” “ปลุกทำไม ผมอยากนอนกอดคุณแบบนี้ทั้งคืน” “กลัวว่าคุณจะปวดแขนน่ะสิคะ” ฉันขยับนั่งตัวตรง ทว่าโดนท่อนขาเพรียวยาวแข็งแรงทั้งสองข้างของมาร์คล็อครอบเอวเอาไว้ ทำให้ลุกหนีไปไหนไม่ได้ “คุณไม่ห่วงว่าผมจะปวดที่อื่นบ้างหรือ” เขาพูดอย่างมีเลศนัย “เราเพิ่งคืนดีกันนะคะ” เสียงฉันแกว่งเล็กน้อย รู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้า พอนึกถึงอาการตื่นตัวของเขาแล้ว... ฉันก็เป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเอง มาร์คลุกขึ้นนั่งพรวดพราด เขาจ้องฉันเขม็ง ก่อนจะหันไปทางอื่นและถอนหายใจเฮือก “เห็นคุณหน้าแดงทีไร... ผมรู้สึก...ต้องการคุณทุกที” “หือ ? ” ฉันมองเขาอย่างตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินเขาเอ่ยคำพูดห่ามๆ “พรุ่งนี้ผมจะมาใหม่” มาร์คพุ่งเข้าหาฉันแบบจู่โจม ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างประคองใบหน้าของฉันไว้ เขาแนบริมฝีปากจูบฉันด้วยความกระหาย เสียงครางพร่าต่ำที่เล็ดลอดออกมาจากลำคอแกร่ง ทำเอาฉันสติกระเจิง ฉันไม่เคยลืม... เขาส่งเสียงแบบนี้ ครั้งแรกที่เรา... “ฝันถึงผมด้วยนะ” มาร์คกล่าวลา ประตูล็อคอัตโนมัติถูกปิดลง ขณะที่ฉันยังอยู่ในสภาพเลอะเลือน ฉันไล้ปลายนิ้วบนกลีบปากบวมเจ่อของตัวเองอย่างเหม่อลอย เขาเล่นทิ้งระเบิดอารมณ์ไว้ก่อนไป แล้วฉันจะนอนหลับได้ยังไงกันล่ะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD