โชคชะตา

2110 Words
1 โชคชะตา “คุณธีขา อ๊ะ อ๊า” เสียงครวญครางของหญิงสาวร่างเล็ก ทว่ากลมกลึง โดยเธออยู่ในท่าโก้งโค้งอยู่บนเตียง โดยมีร่างใหญ่เจ้าของชื่อกระแทกกระทั้นเข้าหาอย่างไม่ยั้ง เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังก้องประสานเสียงครวญครางหวานใสและเสียงแหบพร่าของเขา ซึ่งกิจกรรมบนเตียงที่เริ่มขึ้นมาหลายชั่วโมงก็จบลงในนาทีต่อมา หญิงสาวนอนตัวสั่นสะท้านพร้อมเสียงหายใจหอบหนัก ส่วนฝ่ายชายเมื่อถอดถอนออกจากตัวหญิงสาว เขารอให้ร่างกายหายเกร็งกระตุก ก็ดึงถุงยางโยนลงขยะข้างเตียง ก่อนจะเดินตัวเปลือยเปล่าเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้หญิงสาวมองตามอย่างขัดใจ เพราะลึกๆ อยากได้สัมผัสที่อ่อนโยนหลังมีเซ็กซ์ เช่นกอด หรือหลับใหลไปด้วยกันบนเตียง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะธีธัสก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เริ่มต้นมีความสัมพันธ์กัน ที่มีเงื่อนไขเพียงแค่เซ็กซ์ และเงินหรือข้าวของตอบแทนที่เขามอบให้ ไม่มีความรัก ไม่มีความผูกพัน ไม่มีพันธะต่อกัน สะดวกเมื่อไหร่ก็เจอกันเท่านั้น ลิลลี่รู้จักกับธีธัสเมื่อสองปีก่อน เขายังใช้ชีวิตอยู่เมืองนอก ตอนนั้นอีกฝ่ายกลับมาเยี่ยมเมืองไทย เจอกันในผับดัง ก่อนสานสัมพันธ์สวาทในทันที จากนั้นแลกเบอร์ติดต่อ ก่อนเขากลับไปใช้ชีวิตเมืองนอกตามปกติ เพราะธีธัสเรียนจบปริญญาโทที่อเมริกา และทำงานที่นั่นมาตลอด แต่เขาก็กลับเมืองไทยทุกปี เวลาที่เธอไปเที่ยวอเมริกา ก็จะแวะไปหาเขา กระทั่งตอนนี้เขากลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยอย่างถาวรแล้ว ถึงแม้ลิลลี่จะมีความรู้สึกที่มากกว่านั้นให้กับธีธัส แต่เธอก็ไม่กล้าบอกหรือแสดงออก เพราะกลัวว่าเขาจะตัดเธอออกจากชีวิต ที่สำคัญเขามีผู้หญิงเพื่อสนองความต้องการหลายคน แต่เธอคือเบอร์หนึ่งของเขา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จะคิดว่าตัวเองสวยกว่าทุกคนก็ไม่ใช่ ด้อยกว่าต่างหาก เพราะคนอื่นๆ เป็นทั้งไฮโซ ดารา นางแบบ หรือแม้แต่วงการนางงาม เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะรู้สึกพิเศษกับธีธัสมากแค่ไหนก็ต้องเก็บงำไว้ในใจ ยินดีรับเพียงเงินและสิ่งตอบอื่นๆ ที่เขาหยิบยื่นให้ นอกจากข้อตกลงหลักๆ ที่มีต่อกันแล้ว ในระหว่างมีเซ็กซ์ก็ห้ามเรียกร้องในสิ่งที่เขาทำให้ไม่ได้ สิ่งนั้นคือ...ห้ามจูบปาก หรือร้องขอการออรัลเซ็กซ์จากเขา อย่างมากก็นิ้วของเขาที่แทงลึกเข้าไปในตัวเธอ แม้จะขัดใจอยู่บ้าง แต่ความดุดันในการกระแทกกระทั้นเข้าหาอย่างดิบเถื่อน มันก็ทำให้เธอพึงพอใจในเซ็กซ์ของธีธัส ชายหนุ่มใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวแค่ครึ่งชั่วโมงก็กลับออกมาด้วยการแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว และบอกสั้นๆ เช่นทุกครั้ง “ผมกลับก่อนนะ” พร้อมกับวางกล่องเครื่องประดับบนโต๊ะหัวเตียง “ขอบคุณค่ะ” ลิลลี่รีบหยิบกล่องเครื่องประดับมาเปิด เป็นสร้อยข้อมือจากแบรนด์ดังที่เพิ่งออกใหม่ เธอยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ลืมความขุ่นมัวในใจเมื่อครู่ แล้วรีบถ่ายรูปลงอวดในอินสตาแกรมทันที เพื่อให้คนที่ยังไม่มี หรือไม่มีปัญญาจะหาคนมาเปย์ อิจฉาเล่น! ก้าวขาเข้ามาในเพนต์เฮ้าท์ไม่กี่นาที เสียงโทรศัพท์มือก็ดังขึ้น เป็นสายจากคนเดิม ที่เขาไม่ได้รับมาหลายชั่วโมง เพราะปิดเสียงไว้ตั้งแต่ก้าวเข้าไปในห้องพักของลิลลี่ เขาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาในมุมนั่งเล่น ก่อนจะกดรับสาย ยังไม่ทันจะพูดอะไร ปลายสายก็โวยวายใส่ จนเขาต้องขยับเครื่องห่างจากใบหู [ฉันนึกว่าแกตายห่าคาอกยัยลิลลี่ไปแล้วนะโว้ย กว่าจะรับสายได้] พอได้ยินแบบนั้นแล้วธีธัสก็แทบอยากจะวิ่งไปเตะไอ้เพื่อนรักของเขา ดันปากโป้งบอกพี่ชายว่าเขาอยู่ไหนเมื่อหลายชั่วโมงก่อน อติรุจคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าเขากำลังอยู่กับลิลลี่ เพราะก่อนที่จะมาหาลิลลี่ เขาอยู่กับอีกฝ่ายในผับแห่งหนึ่ง “พี่ก็รู้นี่ว่าผมไม่ว่าง ยังกระหน่ำโทร. หาไม่หยุด” [ส่วนแกก็กระหน่ำเสียบยัยลิลลี่ไม่สนสี่สนแปดอะไรใช่ไหม!] “งั้นพี่ว่าธุระของพี่มาเลยดีกว่า” เขาตัดบท เพราะไม่อยากฟังอีกฝ่ายพล่ามยาว [ยังจะมีหน้ามาถาม ก็รู้อยู่ว่าเรื่องอะไร] “ก็ผมบอกแล้วไงว่าเดือนหน้า” [แกมาอาทิตย์หน้าเลยไอ้ธี ใจคอจะให้ฉันทำงานอยู่คนเดียวหรือไง โห กลับมาจะเดือนแล้ว พักผ่อนพอแล้วไหม ให้ฉันได้ไปพักมั้งเหอะ นี่หนิงจะทิ้งฉันอยู่แล้วเนี่ย] ปลายสายร้อนรน กระหน่ำโทร. หาน้องชายไม่หยุด เพราะหลายเดือนมานี้เขาต้องมาดูแลรีสอร์ตที่เชียงใหม่ จนแฟนสาวบ่นน้อยใจ และขู่จะเลิกหากเขาไม่แบ่งเวลาให้เธอ “ก็บอกแล้วไง...” [หุบปากเลยไอ้ธี พ่อยกรีสอร์ตให้แกนะโว้ย ลืมไปแล้วหรือไง] “ก็ผมยังไม่พร้อม” [งั้นแกก็ขายทิ้งไปเลยไหม เพราะฉันก็จะกลับไปดูแลโรงแรมแล้ว] พอได้ยินแบบนั้นธีธัสก็เลี่ยงอีกต่อไปไม่ได้ “โอเค อาทิตย์หน้าผมไป” [เออ ก็แค่นี้แหละ ทำไมต้องให้ฉันโมโหก่อนวะ] อีกฝ่ายตัดสายไปแล้ว ธีธัสได้แต่นั่งเงียบๆ ถอนหายใจยาว พร้อมกับเรื่องราวเก่าๆ ที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขาเป็นเพียงลูกเมียน้อยของนักธุรกิจชื่อดังที่มีฐานะร่ำรวยอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ในวันที่พ่อของเขาเหลือเวลาบนโลกนี้เพียงแค่สองเดือนเท่านั้น ธีธัสไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับพ่อเลย ตั้งแต่จำความได้เขาก็อยู่กับแม่มาตลอด แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรขาดในชีวิต เพราะแม่เป็นทุกอย่างของเขาแล้ว ทั้งที่แม่ก็เป็นเพียงช่างตัดเสื้อผ้าธรรมดา พอโตขึ้นมาก็เคยถามถึงพ่อ แม่ก็บอกเพียงว่าพ่อตายไปตั้งแต่เขายังเด็ก พอบอกอยากดูรูปพ่อ ใบหน้าแม่ฉายชัดความเศร้า และนั่นทำให้เขารู้ว่าพ่อกับแม่อาจจบกันไม่ดี เขาก็เลยไม่กล้าถามอะไรแม่อีก แม้จะแคลงใจว่าจริงๆ แล้ว พ่อตายไปแล้ว หรือพ่อกับแม่เลิกรากันเฉยๆ ส่วนเรื่องครอบครัวแม่นั้น ธีธัสรับรู้จากปากแม่ว่าเป็นเด็กต่างจังหวัด พ่อแม่เสียเพราะอุบัติเหตุทางรถตั้งแต่ยังเด็ก อาศัยอยู่ป้ามาตลอด กระทั่งป้าเสียก็เดินทางมาหางานทำในกรุงเทพฯ และไม่เคยกลับบ้านเกิดอีกเลย แม้แต่ตอนที่พาเขาออกจากบ้านหลังเดิม ที่เคยเขาเคยอยู่ตั้งแต่เกิด แม่ก็พาเขาไปอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง ทว่าก็ทิ้งเขาไปในวันที่เขากำลังเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ด้วยอุบัติเหตุ มีรถพุ่งชนขณะเดินข้ามถนน หลังจากไปจ่ายตลาด คนขับรถกระบะเมา และถูกดำเนินคดี พร้อมจ่ายเงินชดเชย เขาได้เงินจำนวนนั้น และเงินประกันชีวิตของแม่สำหรับใช้จ่ายในเรื่องการเรียนและชีวิตประจำวันของตนเอง รวมทั้งทำงานพาร์ทไทม์ไปด้วย เขาไม่ได้ลำบาก แต่ก็ไม่ได้มีเงินเหลือเฟือจะฟุ่มเฟือย หรือจับจ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็นกับชีวิต ในตอนนั้นเขาคิดว่าตนเองโชคดีมากที่มีคนรักที่ดี ไม่ได้บ้าวัตถุหรืองอแงจะให้เขาซื้อเสื้อผ้า ข้าวของแพงๆ ให้ เหมือนแฟนสาวของเพื่อนบางคน เมื่อเรียนจบปริญญาตรีเขาก็ทำงานในบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่ง อยู่ฝ่ายการตลาด ตั้งใจทำงาน เก็บออม เพื่อสานฝันว่าวันหนึ่งจะสร้างครอบครัวกับคนที่เขารัก แต่ฝันทุกอย่างก็ทลายลง พร้อมกับความจริงที่ว่าความรักที่ดีไม่มีอยู่จริง เงินเท่านั้นที่จะทำให้ความฝันของคนเราเป็นจริงได้ ตอนนั้นเขาหมดแรง ทั้งโกรธแค้น ผิดหวัง แต่ก็ยังตัดใจไม่ได้ นอนจมน้ำตา ไม่รู้สึกหิว ไม่รู้สึกง่วง ไม่มีแรงจะลุกไปทำงาน เวลาผ่านไปนับเดือนเขาก็ดีขึ้น แม้ความทรงจำระหว่างเขากับดาริณจะหลอกหลอน แต่เขาพยายามมีชีวิตให้เดินหน้าต่อไป เริ่มต้นสมัครงานแห่งใหม่ ขณะที่รองาน เงินเก็บเริ่มพร่องไปเยอะ เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากใครบางคน ที่บอกว่าตัวเองเป็นพี่ชายต่างแม่ของเขา เมื่อเจออีกฝ่ายก็ได้รับรู้ว่าพ่อจ้างนักสืบเอกชนตามหาเขา โดยเริ่มจากชื่อจริงและนามสกุลของแม่ กระทั่งรู้ว่าเขาเคยเรียนอยู่ที่ไหน กระทั่งได้เจอกัน จากนั้นชีวิตเขาก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป ยกเว้นอะไรบางอย่างในใจ ที่แม้จะพยายามแค่ไหน เขาก็สลัดมันทิ้งไปไม่ได้ ธีธัสไม่เคยลืมสิ่งที่ดาริณกระทำกับเขา! แถมยังมีความทรงจำหวานชื่นคอยหลอกหลอนจนบางคืนก็นอนไม่หลับ ในทุกที่ที่มีความทรงจำ เขาไม่คิดจะย่างกรายไป แต่พ่อดันเขียนพินัยกรรม ยกรีสอร์ต ซึ่งเป็นธุรกิจหนึ่งของครอบครัวให้เขา ที่นั่น...เขาเคยไปเที่ยวกับดาริณ โดยที่ตอนนั้นไม่รู้ว่านั่นคือธุรกิจของครอบครัวพ่อตัวเอง ส่วนโรงแรมที่เป็นธุรกิจหลักนั้นให้พี่ชายต่างแม่ของเขา ธีรดนย์ อีกฝ่ายจึงหัวเสียที่เขาไม่ไปดูแลธุรกิจที่เป็นมรดกจากพ่อ เพราะธีรดนย์ดูแลรีสอร์ตให้ตั้งแต่เขาไปเรียนปริญญาโทที่เมืองนอก จากนั้นเขาก็ถือโอกาสใช้ชีวิตหาประสบการณ์ทำงานอีกสามปี เพิ่งจะกลับเมืองไทยเมื่อเดือนก่อนนี้เอง เขายอมรับพยายามบ่ายเบี่ยงและหลบเลี่ยงที่จะไปดูแลรีสอร์ต จนทำให้ธีรดนย์หัวเสีย อีกฝ่ายคงคิดว่าเขาขี้เกียจ วันๆ เอาแต่เที่ยวและมั่วผู้หญิง ธีธัสปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจไปตามนั้น เพราะเขาบอกความจริงอีกฝ่ายว่า ไม่อยากไปทำงานที่นั่น เพราะครั้งหนึ่งเคยมีความทรงจำที่แสนหวาน ก่อนสุดท้ายกลายเป็นยาพิษ ที่เผาไหม้ใจอยู่ตอนนี้ ธีรดนย์คงเยาะเย้ยในความอ่อนแอของเขา ถึงธีรดนย์จะไม่ใช่พี่ชายต่างแม่แบบในละครหลังข่าว ที่ชอบแข่งขันชิงดีชิงเด่น หรือเกลียดชังกัน แต่อีกฝ่ายก็เป็นคนปากร้าย และกวนประสาทพอควร แต่เขาก็ยอมรับว่าธีรดนย์เป็นเพียงคนเดียวในครอบครัว อรุณกรที่ต้อนรับเขาอย่างเต็มใจ พร้อมดูแลปกป้องยามที่ถูกญาติๆ รังเกียจว่าเป็นเพียงลูกเมียน้อย บางคนประชดประชันที่จู่ๆ เขาได้รับมรดกจากพ่อ ที่นอกจากรีสอร์ตแล้ว ยังมีที่ดินอีกหลายแปลงทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อสังหาริมทรัพย์อีกหลายรายการ รวมทั้งเงินสดก้อนโตอีกจำนวนหนึ่ง รวมๆ แล้วมรดกที่ได้รับจากพ่อก็มีมูลค่านับพันล้าน เหมือนกลายร่างจากยาจกเป็นเศรษฐีในพริบตา แต่พ่อคงคิดล่วงหน้าถึงปัญหาของเขากับเครือญาติ ถึงได้ยกรีสอร์ตให้เขาแต่เพียงคนเดียว เพื่อทุกคนจะได้สบายใจว่าเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของครอบครัว ซึ่งคือโรงแรม โดยมีธีรดนย์เป็นคนดูแลในตำแหน่งกรรมการบริหาร ด้วยหุ้นที่มากกว่าเครือญาติทั้งหมด เขาเคยถามธีรดนย์ว่าทำไมถึงดีกับเขา อีกฝ่ายตอบว่า พ่อให้ดูแลเขา และตบท้ายด้วยว่า ‘แม่ฉันเคยทำร้ายแม่แกจนต้องพาแกหนีไป ตอนนี้ก็ถือเสียว่าฉันทำเพื่อไถ่โทษที่แม่ฉันเคยทำไม่ดีกับแกและแม่แล้วกันนะ’ คำตอบนั้นตรงไปตรงมา ถึงไม่ดีที่สุด แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรเกินจะรับได้ ตอนนี้แม่ของธีรดนย์ก็จากโลกไปแล้ว แต่เพราะเหลือกันอยู่สองคน ท่ามกลางหมู่ญาติที่อยากรวบหุ้นในธุรกิจหลักทั้งหมดไว้เสียเอง ธีรดนย์เหมือนหัวเดียวกระเทียมลีบในดงญาติๆ ความสัมพันธ์ของเราดีขึ้นตามวันเวลา แม้ส่วนใหญ่เขาจะอยู่เมืองนอกเสียมากกว่า แต่ก็คุยกันตลอด จนรู้สึกเหมือนเราก็ไม่ได้ต่างจากพี่น้องในครอบครัวอื่นๆ ................
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD