ตอนที่ 4

1177 Words
มาร์คัส ซามายาส อัครพรชัย บินจากกรีซมาถึงเมืองไทยช่วงบ่ายแก่ ๆ ของอีกวันหนึ่ง เขาลงจากเครื่องก็ขึ้นรถที่ลักษกรส่งมารับเดินทางไปยังคฤหาสน์ อัครพรชัย ทันที เขาอยากจะสะสางไอ้เรื่องบ้าบอ คอแตกนี่ให้จบ ๆ ไป จะได้กลับไปทำงานที่มีอยู่ล้นมือของตนเองเสียที หนุ่มลูกครึ่งกรีซ - ไทย พ่นลมหายใจออกมา เมื่อรถลีมูซีนคันหรูสีดำวิ่งเข้ามาในเขตของคฤหาสน์อัครพรชัย ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่ว่าต้นไม้ ทางเดิน หรือแม้แต่สีของตัวตึก เมื่อรถจอดสนิทเรือนร่างสูงใหญ่ของ มาร์คัส ก็ก้าวลงมาจากรถ ชายหนุ่มยืนเด่นตระหง่านอยู่ท่ามกลางคนรับใช้ที่ต่างพากันวิ่งออกมารับ “สวัสดีค่ะคุณมาร์ส ป้านึกว่าคุณมาร์สจะไม่กลับมาหาป้าเสียแล้ว ป้าคิดถึงคุณมาร์สมากเลยค่ะ” ป้าสร้อยแม่นมที่เคยเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กวิ่งเข้ามาสวมกอดด้วยความคิดถึง ชายหนุ่มกอดตอบ ก่อนจะกระซิบเสียงนุ่มกับหญิงชราที่ตนเองเคารพดุจแม่ “ผมก็คิดถึงป้าสร้อยครับ แต่งานทางนู้นยุ่งมาก ผมแทบไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่นเลย นอกจากงาน” ปลายจมูกโด่งฝังลงบนแก้มที่ตอบและเหี่ยวย่นตามกาลเวลาของป้าสร้อยด้วยความรักใคร่ และการกระทำของเขาก็เรียกเสียงกรี๊ดของสาวใช้หลายคนที่ยืนอยู่ข้างหลังป้าสร้อยให้ดังระงมขึ้น พวกนางต่างอิจฉาป้าสร้อยกันเป็นแถว “มีอะไรก็ไปทำไป อย่ามายืนเสนอหน้าแถวนี้” ป้าสร้อยหันไปดุแม่สาว ๆ ที่ยืนมองมาร์คัสตาเป็นมันอยู่ข้างหลังด้วยความไม่พอใจ “ยังดุเหมือนเดิมนะครับเนี่ย” มาร์คัสแซวหญิงชรา ขณะประคองท่านให้เดินเข้าไปในคฤหาสน์ ห้องรับแขกกว้างขวาง ตกแต่งด้วยกระเบื้องและหินอ่อนชั้นดีที่ส่งมาจากต่างประเทศ แจ่มชัดอยู่ในสายตา บ้านของเขา บ้านที่เขากับแม่เคยอยู่ มาร์สแค่นหัวเราะอยู่ภายในใจ ตอนนี้มันไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปแล้ว... ไม่มีอะไรเป็นของเขาเลย แม้กระทั่งพ่อของตนเอง หากไม่ได้รับปากมารดาไว้ก่อนตายล่ะก็ จ้างให้เขาก็ไม่มีวันมาเหยียบบ้านหลังนี้อย่างแน่นอน “เดี๋ยวป้าไปเอาน้ำมาให้ทานนะคะ คุณมาร์สเชิญนั่งก่อน” ดวงตาที่กำลังกวาดมองไปทั่วห้องด้วยความแข็งกร้าว อ่อนแสงลงเมื่อเปลี่ยนมาจ้องมองป้าสร้อยแม่นมของตนเอง “ครับป้าสร้อย... เอ่อ แล้วนี่ลักษกรไม่อยู่หรือครับ เขานัดผมไว้วันนี้นี่” คิ้วเข้มสีดำสนิทยกขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่มุมปากหยักสวยจะยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน “คำพูดของเขาเชื่อไม่ได้อยู่แล้วนี่ ผมไม่น่าคาดหวังอะไรกับเขาเลย” มาร์คัสหมุนกายสูงใหญ่ของตนเองเดินไปทรุดนั่งลงบนโซฟาชั้นดีที่ท่าทางจะแพงหูฉี่ “คุณลักษกรไปหาคุณพรทิวา คู่หมั้นค่ะ” ป้าสร้อยอ้ำอึ้งตอบออกมาไม่เต็มเสียงนัก ชายหนุ่มแค่นยิ้ม “แล้วแม่ของเขาล่ะ” “ไปด้วยกันค่ะคุณมาร์ส” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนจะล้วงมือหยิบโทรศัพท์ยี่ห้อดังรุ่นล่าสุดออกมากดเบอร์โทรออก ป้าสร้อยเห็นชายหนุ่มที่ตนเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะต้องการความเป็นส่วนตัว จึงรีบปลีกตัวออกไปอย่างรู้มารยาท “นายอยู่ที่ไหน ลักษกร” มาร์คัสกรอกเสียงห้วนกับโทรศัพท์ทันทีเมื่อคู่สนทนาอีกฝากรับสาย “หากนายไม่กลับมาภายในหนึ่งชั่วโมงนี้ พี่จะกลับเอเธนส์” ชายหนุ่มกดปิดโทรศัพท์ทันที ดวงตาสีนิลวาวโรจน์ด้วยความเกรี้ยวกราด สิ่งที่เขาเกลียดมากที่สุดในชีวิตรองจาก ผู้หญิง ก็คือ การไม่ซื่อสัตย์กับคำพูดตนเอง ลำแสงสีแดงฉานของดวงตะวันยามอัสดงสะท้อนขึ้นมาเป็นลำเส้นสวยแต้มขอบฟ้า สายพระพายแผ่วพลิ้วนำความเย็นฉ่ำของอากาศยามสนธยามาต้องผิวกาย มือบางรีบยกขึ้นสวมกอดอกไว้ทันทีที่ความเหน็บหนาวแล่นตรงเข้าถึงหัวใจ หล่อนกำลังจะกลับบ้าน... บ้านหรือ? มันเหมือนบ้านที่ไหนกัน ความอบอุ่น ความเอื้ออาทรมันไม่เคยมีอยู่เลยในบ้านเช่าหลังนี้ มีแต่คนใจร้าย... น้านารีใจร้าย! เท้าบอบบางขาวสะอาดผิดกับรองเท้าเก่าแก่ที่ใส่ รีบก้าวเร็วขึ้น เมื่อนึกถึงคำพูดคาดโทษของนารีที่กรอกหูหล่อนไว้ตลอดคืนที่ผ่านมา “รีบกลับมาเลยนะ ไม่อย่างนั้น ฉันจะขายน้องแกจริง ๆ” ความอำมหิตแล่นเข้าสู่หัวใจชอกช้ำครั้งแล้วครั้งเล่า นารีไม่เคยมีเมตตากับหล่อนแม้แต่น้อย “ยิหวาจะทนเป็นครั้งสุดท้าย...” ให้คำมั่นกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่สั่นพร่า น้ำตารื้นเต็มสองตา เมื่อนึกถึงสิ่งที่กำลังจะต้องไปเผชิญหน้า แบล็กเมล์! คำนี้ฟังแล้วมันทำให้หล่อนรู้สึกขยะแขยงตัวเองเสียจริง ๆ “ไปไหนมา จำไม่ได้หรือไง ว่าวันนี้เรามีนัดกับไอ้ลักษกรมันน่ะ” เมื่อเหยียบย่างเข้ามาภายในบ้านเช่าหลังเล็ก น้ำเสียงแหลมปรี๊ดของนารีก็ทะลวงเข้ามาในโสตประสาท “ยิหวาไปทำธุระมาค่ะ” สาวน้อยหลบตา ขณะอ้อมแอ้มตอบออกไปไม่เต็มเสียงนัก หล่อนไม่ชอบโกหก เพราะโกหกทีไร ก็มักจะถูกจับได้ทุกที แต่ครั้งนี้หล่อนจำเป็นต้องทำ แม้ว่ามันจะทำได้ไม่ดีนักก็ตาม “ธุระอะไร บอกมานะ” นารีเดินทะมึนเข้ามาหา จ้องหน้าหลานสาวอย่างไม่ไว้ใจ หล่อนกลัวว่าดวงยิหวาจะไปตามหาน้องสาวทั้งสองคนของตนเอง แต่ตามยังไงก็คงไม่เจอหรอก... นารีหัวเราะเยาะอยู่ในใจ “คือ... ยิหวาไปเดินเล่นมาค่ะ” หญิงสาวรีบเก็บความจริงที่หล่อนออกไปตระเวนตามหาน้องทั้งสองคนใส่เซฟล็อกกุญแจเอาไว้อย่างรวดเร็ว ขณะเงยหน้าขึ้นจ้องมองนารี กลีบปากงามคลี่ออกจากกันเป็นรอยยิ้ม แต่มันเป็นรอยยิ้มเหี่ยวเฉาจนน่าเวทนา “แต่ก็ช่างเถอะ รีบไปแต่งตัวซะ ฉันนัดไอ้หน้าจืดไว้ สองทุ่ม” นารียักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินเข้ามาหาหลานสาว “แต่งตัวให้สวย ๆ ล่ะ ใส่ชุดที่ฉันพาดไว้บนเก้าอี้นะ ชุดนั้นรับรองแกจะดูเหมือนนางฟ้าเลยทีเดียว ต่อให้มันรักคู่หมั้นขนาดไหน มันก็ต้องเปลี่ยนใจ” หญิงวัยกลางคนฉีกยิ้มหวานกว้างอย่างถูกใจกับแผนที่ตนวางล่อเหยื่อเอาไว้ นางฟ้าเหรอ... ดวงยิหวาเยาะหยันตัวเองอยู่ภายในใจ นางมารร้าย ต่างหากล่ะ ที่มันเหมาะเจาะคู่ควรกับผู้หญิงที่หลอกลวงผู้ชายไม่เลือกหน้าแบบหล่อน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD