“มึงเป็นแม่มึงหยังบักห่าหนิ” (มึงเป็นอะไรวะเนี่ย)
ไอ้ปื๊ดใช้ฝ่ามือดันหัวผมออกด้วยความรำคาญ หลังจากที่ผมเจอหน้าพวกมันก็เอาแต่สวมกอดจนพวกมันออกปากด่า
“มันคึบ่เต้นแฮงวะ” (ทำไมมันไม่เต้นแรงวะ)
ผมวางมือทาบลงที่อกด้านซ้ายพี่มันกำลังกระตุกเต้นในจังหวะปกติ น่าแปลก ทีกับไอ้คาลทำไมผมถึงใจสั่นได้ขนาดนั้นล่ะ
“มึงว่าคนเฮาสิใจเต้นแฮงย่อนอิหยังได้แน” (มึงคิดว่าคนเราใจเต้นแรงได้เพราะอะไรบ้างวะ)
“แน~ มึงไปใจเต้นแฮงกับผู้ได๋มา บักเซียง” (ฮันแน่~ มึงไปใจเต้นแรงกับใครมาวะ ไอ้เซียง)
ไอ้แคนชี้หน้า พร้อมกับเอ่ยแซวจนผมทำตัวไม่ถูก
“กะ กูกะถามไปสั่นล่ะ เบิ่งหนังมาแล้วพระเอกมันใจสั่นบ่ฮู่สาเหตุ” (กูก็ถามไปงั้นแหละ ดูหนังแล้วพระเอกมันใจสั่นไม่รู้สาเหตุ)
ผมแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ยิ่งเพิ่มความพิรุธเข้าไปอีก
“หนังเรื่องหยังวะ กูสิเข้าไปเบิ่ง เนาะปึ๊ด” (หนังอะไรวะ กูจะเข้าไปดู เนอะไอ้ปึ๊ด)
มันว่าพร้อมกับคล้องคอไอ้ปึ๊ดเอาไว้หลวม ๆ สายตาก็จับจ้องมาที่ผมอย่างจับผิด
“สูบ่ต้องเบิ่งดอก มันบ่มวน” (พวกมึงไม่ต้องดูหรอก มันไม่สนุก)
“บ่มวนแล้วมึงเบิ่งหาสะแตกหยัง กูว่าบ่แมนแล้ว ๆ มึงคิดคือกูบ่ B1” (ไม่สนุกแล้วมึงดูทำไมวะ กูว่ามันไม่ใช่ละ มึงคิดเหมือนกูมั้ย B1)
“กูกะคิดคือมึงนั่นล่ะบัก B2” (กูก็คิดเหมือนมึงนั่นแหละ B2)
ไอ้สองตัวนี้มองหน้ากันยิ้ม ๆ ราวกับพวกมันไปรู้อะไรมา
“คิดห่าหยังของซุมสู มันบ่ได้มีอิหยัง” (คิดห่าอะไรของพวกมึง มันไม่ได้มีอะไรทั้งนั้นแหละ)
“คันบ่ได้มีหยัง มึงหน้าแดงเฮ็ดหยังซั่น มึงเบิ่งมันดู้ล่ะปึ๊ด หน้าแดงพอปานดากลิง” (ถ้าไม่ได้มีอะไรมึงจะหน้าแดงทำไมวะ มึงดูมันดิไอ้ปึ๊ด หน้าแดงอย่างกับก้นลิง)
ทันทีที่มันพูดจบผมก็รีบยกมือขึ้นมาทาบแก้มตัวเองอย่างลนลานยิ่งทำให้พวกมันล้อผมหนักขึ้น
ซ่าาา!!
แต่แล้วพวกผมก็ต้องวงแตก เมื่อใครบางคนเดินถือแก้วน้ำเข้ามาสาดใส่หน้าไอ้ปึ๊ดอย่างจัง
“เอ้าาา! โทษทีว่ะ กูนึกว่าเสียงเปรตมันร้องขอส่วนบุญเลยสาดน้ำไล่”
หนึ่งในชายฉกรรจ์ห้าคนว่าพลางยกยิ้มจนไอ้ปึ๊ดถลาตัวเข้าไปหวังจะซัดหน้ามันให้จม แต่ก็ถูกไอแคนรั้งตัวไว้ซะก่อน
“บักห่าหนิ มึงคึเว่าหมา ๆ จังซี่วะ” (ไอ้ห่า ทำไมมึงพูดหมา ๆ อย่างงี้วะ)
ผมลุกขึ้นประจันหน้ากับพวกมันอย่างไม่นึกกลัว ผมไม่ชอบมีเรื่องต่อยตีก็จริง แต่ถ้าใครมาทำพวกผมก่อนผมไม่ยอมแน่
“ ทำไม พวกบ้านนอกอย่างมึงจะมีปัญญามาทำอะไรกูได้ ”
เหมือนว่าพร้อมกับเดินเข้ามาผลักไหล่จนผมตัวเซไปตามแรง ตัดความอดทนในตัวผมจนขาดสะบั้น
“มึงคึดว่าสิเฮ็ดสันดานหมา ๆ จังซี่ได้ผู้เดียวสั่นติ” (มึงคิดว่าจะทำสันดานหมา ๆ แบบนี้ได้คนเดียวงั้นหรอ)
ผมยกยิ้มอย่างยียวนก่อนจะหันไปคว้าชามก๊วยเตี๋ยวบนโต๊ะที่กินเส้นยังไม่หมดด้วยซ้ำสาดใส่หน้ามันอย่างจัง
เว่าได้เลยว่ามันแสบไปฮอดฮูดังแท้ บักพริกแดงจืงคืง ลูกซิ่นกระเด็นติดเบ้าตาคักปานนั่น จังบ่ล่ะมึง (พูดได้คำเดียวว่ามันแสบไปถึงรูจมูกเลยล่ะครับ พริกแดงแจ๋ ลูกชิ้นกระเด็นติดเบ้าตาซะขนาดนั้น เข็ดไหมล่ะมึง)
“เชี่ยยย!! มึงกล้าทำกูหรอ”
มันโกรธจัดกระชากคอเสื้อผมเข้าไปชิดตัวพร้อมกับง้างหมัดจนสุดแขนหวังจะซัดหน้าผมให้จม แต่มีหรือผมจะยอมให้มันกระทำอยู่ฝ่ายเดียว ผมไม่รู้จักพวกมันหรอกนะแต่ถ้าพวกมันคิดจะมาหาเรื่องผมก็สู้ไม่ถอยอยู่แล้ว
ปี๊ดดดดด!!
“มีเรื่องอะไรกัน”
เสียงรปภ.ตะโกนสลับกับเสียงลูกหวีดก่อนที่ชายในเครื่องแบบสีฟ้าจะถือกระบองวิ่งหน้าตั้งเข้ามาสยบเหตุการณ์
“กูไม่ปล่อยมึงไว้แน่”
ผลัก!!
มันจ้องมองผมตาเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อแล้วผลักผมออกก่อนจะพาพวกของมันเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงจากไป
“อย่าคิดว่ากูย่านมึงเด้อ” (อย่าคิดว่ากูกลัวมึงนะ)
เสียงไอแคนตะโกนไล่หลังทั้งที่เมื่อกี้นี้มันยังหดหัวอยู่ข้างหลังไอ้ปึ๊ดอยู่เลย
“บ่มีหยังแล้วครับอ้าย เข้าใจผิดกันซือ ๆ” (ไม่มีอะไรแล้วครับพี่ เข้าใจผิดกันเฉย ๆ”
ผมหันไปบอกพี่รปภ.ที่วิ่งหน้าตั้งเข้ามามองดูสภาพโต๊ะที่เลอะเทอะด้วยก๊วยเตี๋ยวและน้ำแดงลามมาถึงพื้นก่อนจะสายหน้าด้วยความละเหี่ยใจ
“บักอันนี่อีกล่ะติ ซุมโตระวังไว้นำเด้อ บักนี่มันกัดบ่ปล่อย มีเรื่องนำหลายคนแล้ว พ่อมันใหญ่ตั้ว พ้อหน้ากะหนีโลดอย่าห่าวใส่บ่สั่นสูล่ะสิยาก”
(ไอ้นี่อีกแล้วหรอ พวกนายระวังไว้ด้วยนะ ไอ้นี่มันกัดไม่ปล่อย มีเรื่องไปทั่ว พ่อมันยศใหญ่ เจอหน้าเมื่อไหร่ก็หนีทันทีอย่าเก่งกับมัน ไม่งั้นพวกมึงนายนั่นแหละจะลำบาก)
“ครับอ้าย” (ครับพี่)
พี่ รปภ.กล่าวตักเตือนด้วยความเป็นห่วง หลังจากนั้นแกก็สั่งให้แม่บ้านมาเก็บกวาดออกให้ แต่พวกผมก็ปฏิเสธรีบอาสาเก็บกวาดเองเพราะพวกผมเป็นคนทำเลอะ
“มันเป็นไผวะ” (มันเป็นใครวะ)
ผมเอ่ยถามไอ้ปึ๊ดขณะที่กำลังช่วยกันเช็ดโต๊ะอาหาร
“มันซือแมน ลูกนายตำรวจ มึงจำได้บ่ที่กูเคยเว่าให้ฟังว่ากูชนะพนันตีไก่ กูชนะบักห่านี่ล่ะ แต่มันเสือกบ่จ่ายกู เลยมีเรื่องกัน กูก็คึดว่าเคลียร์กันแล้วแต่มือนั่นล่ะเด้ะ แต่เบิ่งทรงบักห่านี่คือสิบ่เซาง่าย ๆ วะ” (มันชื่อแมน ลูกตำรวจยศใหญ่มึงจำได้ไหมที่กูเคยเล่าให้ฟังว่ากูชนะพนันตีไก่ กูชนะไอ้นี่แหละ แต่มันเสือกไม่จ่ายกูเลยมีเรื่องกัน กูก็นึกว่าเคลียร์กันแล้วตั้งแต่วันนั้น แต่ดูท่าไอ้นี่คงจะไม่ยอมจบง่าย ๆ ว่ะ)
“มันเล่นซุมเฮาอีกแท้” (มันเล่นพวกเราอีกแน่)
ไอ้แคนดูมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“บักปึ๊ดบ่ปานได๋ดอกกูว่า แต่บักเซียงนี่ตี้ มึงฮาดก๊วยเตี๋ยวใส่หัวมันปานนั่น มันเอาคืนมึงแท้” (ไอ้ปึ๊ดไม่เท่าไหร่หรอกแต่ไอ้เซียงนี่สิ มึงเล่นราดก๊วยเตี๋ยวใส่หัวมันขนาดนั้น มันเอาคืนแน่)
“กะกูคันแข่วเนาะ” (ก็กูหมั่นไส้หนิ)
ผมเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้
อย่างที่บอกไปนั่นแหละครับ ผมกับเพื่อนก็มีกันอยู่แค่นี้ ใครมาหาเรื่องเพื่อนผมก็เท่ากับมาหาเรื่องผมเหมือนกัน
“ยามนี่เฮากะโตติดกันไว้ มีหยังสิได้ซอยกันทัน” (ช่วงนี้เราก็ตัวติดกันไว้ก่อน มีอะไรจะได้ช่วยกันทัน)
ไอ้ปึ๊ดเสนอ ซึ่งผมก็เห็นด้วยเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็พอได้หารจำนวนตีนกันล่ะวะ