ผมกับไอ้คาลวิ่งหอบสังขารที่สะบักสะบอมมาจนถึงบ้าน
บอกตามตรงว่าวันนี้โคตรตื่นเต้น ผมไม่ได้รู้สึกสนุกแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ
“เซียง! เข่ามึงเป็นแผล”
ไอ้คาลร้องบอกผมด้วยความตกใจ ก่อนจะก้มลงไปเปิดดูแผลที่หัวเข่า สงสัยน่าจะเกิดจากการตกหลังไอ้คาลตอนวิ่งหนียายรี
“เหลิ่นนอยเดียว บ่เป็นหยังดอก” (ถลอกนิดเดียว ไม่เป็นอะไรหรอก)
“ไม่เป็นได้ไง เลือดไหลขนาดนี้”
ว่าแล้วมันก็เดินจูงแขนผมเข้าไปในห้องน้ำทันที
ไอ้คาลจัดการตักน้ำในถังขึ้นมาราดลงแผลที่หัวเข่าผมเบา ๆ
“แสบมั้ย”
“แสบล่ะเนาะ” (แสบน่ะสิ)
“ไปทำแผลกัน”
ว่าแล้วมันก็จูงแขนผมเดินตามขึ้นมายังห้องนอน มันสิตกใจอิหยังขนาดนั่นวะ ประสาล้มซือ ๆ มันสิได้ทายาอิหยังคักปานนั่น (จะตกใจอะไรขนาดนั้นวะ กะอีแค่หกล้มเฉย ๆ มันต้องทายาอะไรขนาดนี้เลยหรอ)
ถึงจะไม่ได้อยากทายา แต่ผมก็ไม่ได้คัดค้านอะไรมัน ยอมนั่งชันเข่านิ่ง ๆ ให้มันนำสำลีที่ชุบยาสีแดงมาไล่วนที่หัวเข่าผมแผ่วเบา
“ซี๊ดดดด! คะ คาล กูเจ็บ อย่าเฮ็ดแฮง” (กูเจ็บ อย่าทำแรง)
ผมเบ้หน้าด้วยความเจ็บแสบ ฝ่ามือหนาเอื้อมไปเกาะไหล่มันไว้แน่น
ไอ้คาลดูนิ่งงันไปชั่วขณะ มันพยายามพ่นลมหายใจเข้าออกช้า ๆ คล้ายกับกำลังจะสกัดกั้นอารมณ์อะไรบางอย่างภายในจิตใจ
ไอ้คาลเชยหน้าขึ้นช้า ๆ ในระยะประชิด มันจ้องมองในตาผมนิ่ง ผมเองก็เหมือนต้องมนต์สะกดในสายตาคู่นี้ไปชั่วขณะ
“หายไว ๆ นะ”
พูวววว
มันโน้มหน้าลงจนปากแทบจะชิดแผลผมก่อนจะเป่าลงที่หัวเข่าเบา ๆ อย่างอ่อนโยน
ตึกตัก
ตึกตัก
ตึกตัก
“………..”
เกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ ๆ หัวใจผมถึงเต้นแรงขนาดนี้
เหมือนปุ่มสมองของผมเออเร่อไปชั่วขณะ ผมนิ่งงัน ไม่ไหวติง แต่มีเพียงก้อนเนื้อด้านซ้ายที่กำลังทำงานอย่างหนัก เมื่อกี้…มันเกิดอะไรขึ้นวะ
“วันเสาร์มึงเปิดร้านสองทุ่มเท่าเดิมปะ”
เสียงไอ้คาลปลุกให้ผมสะดุ้งตัวรีบตื่นจากภวังค์ทันที
“บ่ เสาร์อาทิตย์กูเปิดหกโมงแลง แต่มื่อนี่สิเปิดไวอยู่ ว่าสิเปิดสามโมง ค่ำ ๆ หมู่กูสิมาซุมข้าวแลง กูเลยว่าสิปิดร้านจักสามทุ่ม” (ไม่ เสาร์-อาทิตย์ กูเปิดหกโมงเย็น แต่พรุ่งนี้กูจะเปิดไวกว่าปกติ ว่าจะเปิดซักบ่ายสาม เพราะว่าเพื่อนกูจะมากินข้าวด้วย กูว่าจะปิดซักสามทุ่ม)
“เอ่อ…อะไรคือซุมข้าวแลง”
เห้ออออ!! มื่อนึงกูต้องมานั่งแปลไทยให้มึงจักเทือวะ (วันนึง กูต้องมานั่งแปลไทยให้มึงกี่รอบวะ)
“ซุมกะคือมาร่วมกันนี่ล่ะ ร่วมกันกินข้าวเย็นน่ะ แต่มันกะบ่แมนแต่ข้าวดอก หลัก ๆ กะกินเหล้านี่ล่ะ”
ผมหันไปอธิบายยาวเหยียด
นาน ๆ ทีผมกับเพื่อนรักของผมจะมาตั้งวงกินเหล้ากัน แต่ตอนเช้าไอ้ปึ๊ดมันไลน์มาบอกว่าได้กับแกล้มชั้นดีมา ผมเลยต้องรีบเคลียร์งานเพื่อให้พร้อมสำหรับกินเหล้าคืนนี้
ผมกับไอ้คาลใช้เวลาเตรียมร้านไม่นาน พอถึงบ่ายสามก็ได้เวลาเปิดร้านทันที
ไอ้คาลมันถือว่าเป็นคนเรียนรู้งานได้ไวมาก สอนอะไรไปแป๊บเดียวมันก็ทำได้คล่องเลย แถมยังไหวพริบโคตรดี เรียกได้ว่ามีมันเข้ามาช่วย ผมสบายขึ้นเยอะเลย น่าแปลกใจเหมือนกันว่าที่ทำงานเก่ามันกล้าไล่มันออกได้ไง
“ลาบถุงนึงครับ”
ชายหนุ่มแต่งตัวดูดี สวมชุดสูทสีดำเดินเข้ามาสั่งลาบ
“นั่งรอแป๊บนึงเด้อครับ”
ผมหันไปตอบรับอย่างสุภาพ
“คาล ๆ เอาน้ำให้ลูกค้าแน” (เอาน้ำให้ลูกค้าหน่อย)
ผมหันไปสั่งไอ้คาลที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเช็ดโต๊ะ มันก็รีบเดินเข้าไปตักน้ำอย่างเป็นงาน
“ไม่เป็นไรครับ ๆ”
ลูกค้าที่มาใหม่รีบส่ายหน้าพัลวัน
เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุด ลูกค้าจึงแน่นร้านกว่าปกติ โชคดีที่ได้ไอ้คาลมาช่วยอีกแรง
“ได้แล้วครับอ้าย 60 บาท” (ได้แล้วครับพี่ 60 บาท)
ผมยื่นถุงลาบไปตรงหน้าชายชุดสูทสีดำ แต่งโตดูดี ทรงมีฐานะ เว่าไทยเยาะ ๆ สิกินเป็นอยู่บ้อลาบ
“พอดีเจ้านายผมเขาชอบอาหารฝีมือคุณมาก เขาเลยฝากผมมาซื้อ นี่ครับค่าลาบ ไม่ต้องทอนนะครับ”
หือ!? แบงค์พันเลยหรอ
“โอ้ คึให้หลายแท้ครับ” (โห ทำไมให้เยอะจังเลยครับ)
ผมไม่เคยได้ทิปเยอะขนาดนี้มาก่อน เลยค่อนข้างหนักใจที่จะรับไว้ทั้งหมด
“รับไปเถอะครับ เจ้านายผมกำชับว่าจ่ายแบงค์พันไม่ต้องทอน”
“อ๋ออ~ ขอบคุณหลาย ๆ เด้อครับอ้าย” (ขอบคุณมาก ๆ นะครับพี่)
ผมยกมือขึ้นขอบคุณ เขาเองก็ลนลานรีบยกมือก้มไหว้ผมยกใหญ่
อ้ายอันนี่คึมารยาทดีแท้วะ (พี่คนนี้ทำไมมารยาทดีจังวะ)
“ไม่เป็นไรครับ ๆ ไว้พรุ่งนี้จะมาอุดหนุนใหม่นะครับ”
เขาฉีกยิ้มกว้างก่อนจะถือถุงลาบเดินออกจากร้านไป
“คาล ๆ ลูกค้าให้ใบพันบ่ต้องทอนวะ” (คาล ๆ ลูกค้าให้ทิปแบงค์พันไม่ต้องทอนว่ะ)
ผมฉีกยิ้มกว้างเดินเข้าไปคล้องคอไอ้คาลจากทางด้านหลัง
“ดีจังเลยเนาะ”
มันยกยิ้มจ้องมองดูผมที่กำลังกะโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
“อยู่กับมึงล่ะหมานดีวะ มึงนี่เป็นโตเงินโตทองกูอิหลี” (อยู่กับมึงแล้วโคตรโชคดีเลยว่ะ มึงนี่เป็นตัวเงินตัวทองของกูจริง ๆ)
“หึหึ เนียนหลอกด่ากูเลยน้าา~”
มันกลั้วหัวเราะขณะที่กำลังจัดผักหลากชนิดลงใส่จานเพื่อเตรียมสำหรับเสิร์ฟคู่กับอาหาร
“มื่ออื่นเขาว่าสิมาซื้ออีก คันได้ใบพันสุมื่อ กูกะสิได้ค่าเทอมอยู่เด้ะกูว่า มึงว่าบ่” (พรุ่งนี้เขาบอกว่าจะมาซื้ออีก ถ้าได้แบงค์พันทุกวัน น่าจะได้พอค่าเทอมอยู่นะ มึงว่ามั้ย)
ผมหันไปขอความคิดเห็นจากมัน
“อื้อ ยังไงก็ได้ครบค่าเทอมมึงแน่ ๆ ไม่ต้องห่วง กูจะช่วยมึงเอง”
ขอให้เป็นจริงอย่างที่มันพูดทีเถอะ ถึงผมสามารถดรอปเรียนได้ แต่ใช่ว่าผมจะอยากดรอปซะที่ไหน อุตส่าห์เรียนมาขนาดนี้แล้ว อย่างน้อย ๆ ก็ขอจบพร้อมเพื่อนหน่อยเถอะ